9 มิ.ย. 2020 เวลา 14:54 • สุขภาพ
Social Distancing จริงหรือ
หลายคนคงจะเห็นด้วยว่า ในช่วงที่สถานการณ์การระบาดของโควิด 19 มีความรุนแรงนั้น หลายคนตั้งใจเต็มที่ในการให้ความร่วมมือเพื่อป้องกันการการแพร่ระบาดของโรคนี้
พวกเขาเหล่านั้นเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองไปมากมาย ทั้งทำงานอยู่กับบ้าน ทำอาหารกินเอง งดออกกำลังกายนอกบ้าน ไม่เที่ยวสถานบันเทิง ไม่ออกไปสันทนาการ ไม่ท่องเที่ยว และไม่ไปสถานเสริมความงามใดๆให้เสี่ยง
ในความตั้งใจของผู้คนกลุ่มใหญ่เหล่านั้น มีตลกร้ายที่ยิ้มไม่ออกและน่าโมโหอยู่หลายประการ ซึ่งเกิดจากการกระทำของคนแค่บางกลุ่ม แต่มันอาจส่งผลกระทบต่อสังคมได้มากมาย
เราไม่รู้ว่าคุณได้เจอเหตุการณ์ใดบ้างที่ตรงกับเรา แต่ที่เราและคนใกล้ชิดเจอมีเยอะเชียวละ
อย่างแรก
ถึงแม้ทุกคนจะพยายามทำอาหารกินเองกันที่บ้าน แต่ก็มีบ้างบางวันที่ต้องออกจากบ้านเพื่อไปซื้ออาหารสดและของใช้มาสต๊อกไว้ตามความจำเป็น และในเมื่อออกไปแล้วหลายคนคงไม่พลาดที่จะไปสั่งอาหารจากร้านโปรดร้านประจำกลับไปทานที่บ้านกัน
ตลกร้ายที่เจอที่นั่นคือ เราป้องกันตนเองโดยการใส่หน้ากาก ลดการสัมผัสผู้คน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ ทำอาหารกินเอง อยากกินร้านโปรดก็สั่งกลับไปกินที่บ้าน เราทุกคนต่างก็คิดว่านั่นคือสิ่งที่ปลอดภัย
แต่เมื่อได้มาเห็นการให้บริการของร้าน เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้น ไม่รู้จะสูญเปล่ากันไปแค่ไหน เพราะพนักงานร้านอาหารหลายคนไม่ได้สวมถุงมือ ไม่สวมหน้ากาก หรือสวมแล้วก็ดึงหน้ากากลงมาอยู่ใต้คาง พิเศษไปกว่านั้นพนักงานบางคนใช้มือที่จับขยับหน้ากากบริเวณจมูกมาจับอาหารของเราด้วย
มันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกตลก แต่เป็นตลกร้ายที่ยิ้มไม่ออก
อย่างที่สอง
อันนี้ไม่ได้เจอด้วยตนเอง แต่ก็ฟังคนอื่นบ่นๆ อย่างเบื่อหน่ายเสมอ เพราะเมื่อต้องต่อคิวรับบริการอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตามร้านค้า หรือตามตู้เอทีเอ็ม หลายคนพยายามยืนให้ห่างๆ กันเพื่อรักษาระยะไม่ให้ใกล้ชิดจนอาจก่อให้เกิดการติดโรคได้ เราไม่รู้ว่าบางคนไม่คนไม่เข้าใจหรือแค่ไม่สนไม่แคร์ใคร เพราะเมื่อคนหนึ่งรักษาระยะห่าง แต่อีกคนที่มาทีหลัง แซงคิวทันทีที่ผู้ใช้บริการก่อนเราเดินออกมา
อันนี้ตลกแบบอึ้งๆ
อย่างที่ 3
เมื่อไปรับบริการตามสถานที่ต่างๆ ที่มีการจัดเก้าอี้ให้นั่งห่างๆ กัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่หากเป็นเก้าอี้ที่เคลื่อนย้ายแยกออกจากกันไม่ได้ เจ้าของสถานที่มักจะใช้วิธีแปะกระดาษแปะสติกเกอร์ทำเครื่องหมายกากบาทเพื่อให้ทราบว่าตรงนี้ห้ามนั่ง แต่เอาเข้าจริงมีบางคนมานั่งแหมะข้างเราโดยที่เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากลุกขึ้นยืนห่างๆ ยอมเมื่อยขาดีกว่าเสี่ยงติดโรค
ส่วนบางที่ที่มีเก้าอี้แบบแยกเป็นตัว เจ้าของสถานที่ก็จัดวางให้มันห่างๆ กัน แต่ประทานโทษเถอะ ผู้รับบริการกลัวเหงาก็โยกย้ายเพื่อมานั่งเป็นกลุ่มเหมือนเดิม
อย่างที่ 4
ทุกคนใส่หน้ากาก แต่พอเจอกันคุยกันไม่ค่อยเข้าใจเพราะเสียงที่ผ่านหน้ากากหลายๆครั้งมันได้ยินไม่ชัดเจน เลยดึงหน้ากากลง คุยกันเสร็จดึงหน้ากากขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างสบายใจ
อย่างที่ 5
ใส่หน้ากากทุกที่ ยกเว้นตอนจาม ดึงหน้ากากลงทันควัน เพราะกลัวหน้ากากมีกลิ่นเหม็นติด อันนี้สนุกเพราะต้องลุ้นว่าคนที่จามข้างๆ เรานั้นจามเอาเชื้ออะไรออกมาบ้าง
อย่างที่ 6
อันนี้เป็นอย่างสุดท้ายที่จะเล่า มันยังไม่เกิดหรอกนะ แต่เราสามารถเห็นภาพล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องญาณทิพย์ ซึ่งก็คือเรื่องการเปิดเรียนภาคเรียนที่ 1 ในวันที่ 1 กรกฎาคม ของปีนี้นั้น ตามนโยบายคือให้จัดนักเรียนเรียนแบบ Socilal Distancing โดยบางโรงอาจจะจัดให้เรียนห้องละไม่เกิน 20 คน ในการจัดการเรียนการสอนแบบนี้แสดงว่าห้องที่มีนักเรียนเกิน 20 คน จะต้องแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม แต่จำนวนครูผู้สอนกับห้องเรียนเท่าเดิม เพื่อแก้ปัญหานี้หลายโรงเลยวางแผนว่าจะจัดตารางเรียนให้นักเรียนมาเรียนวันเว้นวันโดยแบ่งเรียนวันละ 20 คนต่อห้อง หรือบางโรงอาจให้นักเรียนมาเรียนสัปดาห์เว้นสัปดาห์ จริงๆ มันดีมากนะ ถ้าเด็กๆทุกคนมาเรียนโดยรถยนต์ส่วนตัวที่มีผู้ปกครองมาส่ง
แต่ในความเป็นจริงแล้วนักเรียนไทยส่วนใหญ่มากับรถโดยสารประจำทาง และรถเหมา
มีความสงสัยว่าถ้าโรคนี้ยังหลงเหลืออยู่จนถึงช่วงเวลานั้น การแยกในห้องเรียนแล้วรวมบนรถโดยสารหรือรถเหมาที่ใช้เดินทางมาโรงเรียน จะส่งผลยังไงต่อการระบาดของโรคนี้บ้าง
วิธีแก้ที่ดีที่สุดมันก็คงไม่มี เพราะทุกวิธีที่คิดมันก็มีผลกระทบอย่างอื่นตามมาด้วย ดีที่สุดที่พอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือการสอนบุตรหลานให้ดูแลตัวเองให้ถูกต้องเท่านั้น
ถ้าเลือกได้เปิดเทอมนี้ก็คงเลือกไปส่งลูกด้วยตนเองทุกวัน
ขอให้ทุกคนปลอดภัย
โฆษณา