10 มิ.ย. 2020 เวลา 13:10 • บันเทิง
13 Reasons Why SS4: บทสรุปของความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก
*คำแนะนำ: 13 Reasons Why SS4 มีฉากที่นำเสนอเกี่ยวกับความรุนแรงทั้งทางกายและจิตใจ ผู้ชมหลายท่านอาจจะรู้สึกอึดอัดเวลารับชม ด้วยเหตุนี้จึงขอแนะนำให้ดูพร้อมผู้ปกครองหรือเพื่อนเพื่อลดหย่อนความตึงเครียดลง
*คำเตือน: บทความนี้จะมีการเปิดเผยเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง 13 Reasons Why SS4 (มีสปอยล์)
บทความนี้คงไม่ได้พูดถึงเรื่องย่อซักเท่าไหร่ เพราะซีรีส์เรื่องนี้มีรายละเอียดยิบย่อยมากมายที่คุณจะต้องสัมผัสด้วยตนเอง หากคุณติดตามมาตั้งแต่ซีซันแรก แนะนำให้ชมเลยครับเพราะซีซันนี้ปิดจบความวุ่นวายและบาดแผลที่ทับถมมาตั้งแต่ซีซันแรกได้เป็นอย่างดี 13 Reasons Why SS4 (13 บันทึกลับหัวใจสลาย) เป็นซีซันที่คลายปมที่ผู้สร้างและทีมเขียนบทผูกมาตั้งแต่ซีซันแรก... เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอด 3 ปีว่าซีรีส์เรื่องนี้ควรเดินทางมาถึงซีซัน 4 จริงหรือ ตัวละครบางตัวมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องจริงหรือ คอนเซ็ปต์ 13 บันทึกลับที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ซีซันแรกยังคงอยู่ในซีซันสุดท้ายหรือไม่ และคุ้มค่าหรือไม่กับการเฝ้ารอดูจุดจบ 10 ตอนของ ‘ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก’ ในซีซันนี้ มาหาคำตอบไปพร้อมกันครับ
ก่อนจะไปพูดถึงประเด็นที่เครียด ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ได้บอกเล่าสภาพความเป็นจริงทางสังคมอย่าง‘การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา’ของประชาชนชาวอเมริกัน เพราะซีซันนี้ตัวละครต่าง ๆ ต้องแยกย้ายกันไปเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนในระดับอุดมศึกษาในสหรัฐฯ มีราคาสูง หลายคนจะต้องกู้ยืมเงินในการจ่ายค่าเรียน คนที่มีความสามารถพิเศษหรือมีความโดดเด่นทางวิชาการจริง ๆ ก็อาจจะได้รับทุน ในขณะที่หลายคนก็ไม่สามารถเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้เพราะไม่มีแรงสนับสนุนด้านการเงินมากพอ หลายคนต้องกู้ยืมเงินในการเรียนจนสุดท้ายนำไปสู่ภาวะหนี้สิน เหตุการณ์ในซีรีส์คือ หลายตัวละครมักจะพูดถึง “loans” หรือการกู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าเรียน และตัวละครอย่างจัสติน โฟลีย์ (รับบทโดย แบรนดอน ฟลินน์) ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเวลาพูดถึงค่าใช้จ่ายในการเรียน เพราะไม่อยากรบกวนเงินของพ่อแม่เคลย์ในการส่งตนเองเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสหรัฐฯ กับประเทศอื่นในยุโรป หลายประเทศเปิดโอกาสให้ประชาชนเรียนในระดับมหาวิทยาลัยฟรีเพราะรัฐบาลสนับสนุน อาทิ เดนมาร์ก สวีเดน เป็นต้น
เป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่ซีซันสองเป็นต้นมาไม่ได้อิงตามหนังสือของ Jay Asher อีกต่อไป แต่เป็นการปรุงแต่งบทพูดของตัวละครและมีการขยายเส้นเรื่องออกไปเพื่อตอบรับกระแสอันโด่งดังที่ได้รับมาจากซีซันแรก ซึ่งการขยายเส้นเรื่องเช่นนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แน่นอนว่า “เละเทะ” “เริ่มไปกันใหญ่แล้ว” “ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว” คำพูดเหล่านี้เริ่มเด่นชัดขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ประกาศว่าจะทำซีซันสามต่อ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าการขยายเส้นเรื่องในครั้งนี้ไม่ได้เสียเปล่าไปทั้งหมด (แม้จะรู้สึกว่าหลายฉากเป็นน้ำไปซะเยอะก็ตาม) เพราะแอบแฝงประเด็นปัญหาสังคมที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึง ‘ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก’ ในสังคมอเมริกันได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาที่แอบแฝงในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่ผู้ชมจากประเทศอื่นก็น่าจะเคยประสบพบเจอ คำศัพท์ที่อธิบายซีรีส์เรื่องนี้ได้ดีคงจะเป็น relevant
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้มีความทารุณทางอารมณ์อย่างแท้จริง มีหลายฉากที่ผมรู้สึกอึดอัดและอยากเข้าไปช่วยเหลือตัวละครด้วยตนเอง นั่นอาจจะเป็นเพราะผู้ชมอย่างผมมองเห็นปัญหาโดยภาพรวม ไม่ได้กำลังประสบปัญหาเหล่านั้นเหมือนตัวละครจึงคิดหาทางแก้ได้ง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม ตัวละครที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ ของซีซันนี้คือ เคลย์ เจนเซน (รับบทโดย ดีแลน มินเน็ตต์) ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่เจ็บปวดและบอบช้ำทางใจอย่างแสนสาหัสได้อย่างแยบยล ด้วยความที่เคลย์เป็นตัวละครหลักที่ยึดโยงตัวละครอื่น ๆ ทำให้หลายช่วงของซีซันนี้จะมีเสียงของเขาบรรยายประกอบไปพร้อมกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตัวละครอื่นกำลังพบเจอ จุดนี้สอดคล้องกับบุคลิกของเคลย์ที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นแม้ว่าตนเองจะกำลังแบกรับภาระใดใดอยู่ก็ตาม เพื่อนเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น อาทิ การแย่งปืนมาจากตำรวจที่ใช้อำนาจข่มเหงเพื่อนในโรงเรียนจนสุดท้ายเขาต้องถูกนำส่งโรงพยาบาล การวิ่งเข้าไปตะโกนในสถานีตำรวจว่าเขามีปืนในครอบครองเพราะเพื่อนที่ตนรักและผูกพันกำลังจะเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำความรู้สึก “ล้มเหลว” ที่เขาไม่อยากเผชิญกับมันเลย หากสังเกตบทพูดของเคลย์ ประโยคที่เขาพูดอยู่บ่อยครั้งคือ “I always tried to do the right thing” (ผมพยายามที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง) แต่หลายครั้ง สิ่งที่ถูกต้อง ในความคิดของเขากลับเป็นสิ่งที่ผิดในความคิดคนอื่น
พูดตามความจริง เคลย์เป็นตัวละครที่ผมว่าน่าจะทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดกับการรับชมมากที่สุด ด้วยสภาพจิตใจที่บอบช้ำ การสูญเสียคนรอบตัวไปตั้งแต่ซีซันแรก (แฮนนาห์ เบเกอร์) ความกดดันจากคนรอบข้าง ทำให้เขาไม่สามารถโชว์ความอ่อนแอออกมาได้ “…you never let your guard down.” เขาเชื่อเสมอว่าจะต้องเข้มแข็งและไม่อ่อนข้อต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ความเชื่อนี้แหละครับที่ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในซีรีส์ เพราะสุดท้ายแล้วเคลย์ก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์จะอ่อนแอบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ทั้งนี้ จะโทษว่าเคลย์เป็นตัวปัญหาคงไม่ได้เพราะสภาพสังคมหล่อหลอมให้เขากลายเป็นแบบนี้
2
“If you're going through hell, keep going” – เคลย์ เจนเซน
แต่เดิมผู้กล่าวประโยคนี้คือ วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อปลุกใจประชาชนชาวบริทิชไม่ให้สูญเสียกำลังใจ ซึ่งเคลย์ยกประโยคนี้มาพูดตอนที่เขากำลังจะเสียสละตัวเองออกไปช่วยเหลือเพื่อนในโรงเรียนขณะที่กำลังอยู่ในช่วงหลบภัยจากเหตุกราดยิง (ต่อมาเฉลยว่าเป็นเพียงแค่การฝึกซ้อม) ณ จุดนั้นเขาคิดแค่เพียงว่าเขาไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้มือปืนกราดยิงเพื่อนและบุคลากรในโรงเรียน
ซึ่งเมื่อเขาค้นพบความจริงว่าเหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้ไม่ได้มาจากไทเลอร์ ดาวน์ (รับบทโดย เดวิน ดรูอิด) ที่เคยคิดจะก่อเหตุกราดยิงในซีซันสามหรือนักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนที่มีแรงจูงใจในการก่อเหตุ เขาสูญเสียการควบคุมสติอารมณ์ไปอย่างสิ้นเชิงและเข้าไปแย่งชิงปืนสั้นมาจากตำรวจหวังให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเขาก็มีอำนาจเหมือนกัน พฤติกรรมต่าง ๆ ของเคลย์อาจอธิบายได้ด้วยกรอบแนวคิดเรื่อง สังคมปิตาธิปไตย (patriarchy) หรือภาษาง่าย ๆ ที่คนคุ้นหูคือสังคมชายเป็นใหญ่ที่ไม่ว่าทั้งเพศชายหรือเพศหญิงก็ตกเป็นเหยื่อของกรอบนี้ทั้งนั้น เคลย์เป็นตัวละครที่เพื่อนมักจะไว้วางใจมาเสมอ อาทิ ไทเลอร์ที่เคยเกือบจะก่อเหตุกราดยิงแต่เคลย์ก็เปลี่ยนความคิดของเขาได้ทันท่วงทีหรือแม้แต่ตอนที่ไทเลอร์เป็นสายให้กับตำรวจ เขาก็ทำหน้าที่ไปรับไปส่งไทเลอร์ จนกระทั่งในช่วงท้ายของซีซันเคลย์ก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปกับโทนี แพดิลลา (รับบทโดย คริสเตียน นาวาร์โร) เพื่อไปเริ่มต้นเส้นทางชีวิตใหม่ เคลย์แบกรับสถานะความหวังจากคนรอบข้างไว้จนเขาสูญเสียความเป็นตัวเองไป มีบทพูดหนึ่งที่ตัวละครอื่นกล่าวถึงเขา
“Clay is paranoid because he cannot be weak.” (เคลย์กำลังหวาดระแวงเพราะเขาจะโชว์ว่าอ่อนแอไม่ได้) สังคมปิตาธิปไตยตั้งความหวังกับเพศชายไว้ว่าจะต้องเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ เป็นที่พึ่งของเพศหญิง เป็นสุภาพบุรุษ ต้องปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างไม่อย่างงั้นคนจะหาว่า ‘ไม่แมน’ ชุดความคิดเหล่านี้ทำให้เขาเลือกทำในสิ่งที่เขาคิดว่ามันถูกต้อง
แต่ก็นั่นแหละครับการกระทำที่บุ่มบ่ามไร้การคิดไตร่ตรองย่อมนำไปสู่หายนะ นอกจากนี้ สังคมปิตาธิปไตยยังส่งผลกระทบต่อตัวละครชายคนอื่น ๆ อาทิ มอนตี เดอ ลากรุซ (รับบทโดย ทิโมธี กรานาเดโรส์) ที่โดยแท้จริงแล้วเขาเป็นเกย์ แต่ไม่สามารถบอกใคร ๆ ได้เพราะด้วยบุคลิกที่แข็งแรงกำยำและดูขรึมมาตั้งแต่ซีซันแรก การไม่ยอมรับตัวเองของเขาได้รับอิทธิพลมาจากสภาพสังคมที่กดทับอัตลักษณ์ส่วนตัว สุดท้ายเขาก็ไม่มีโอกาสได้เป็นตัวของตัวเองและจบชีวิตในคุก ประเด็นที่สะเทือนอารมณ์ของตัวละครมอนตีคือฉากที่พ่อของเขาไปเยี่ยมเขาในคุกและสอบถามเขาว่าเขาเป็นเกย์ใช่มั้ย วินาทีที่เขาตอบว่าใช่ พ่อก็ถุยน้ำลายใส่หน้าเขาและเดินจากไป
นอกจากระบบสังคมแบบปิตาธิปไตยจะกดทับเพศชาย LGBTQ+ เพศหญิงก็ประสบปัญหาไม่ต่างกัน เพราะหลายครั้งที่ตัวละครอย่างเจสซิกา เดวิส (รับบทโดย อะลิชา โบ) พยายามเรียกร้องสิทธิผู้หญิงทั้งประเด็นการแต่งกาย การมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความเห็นย่อมไม่ประสบความสำเร็จเพราะก็ยังมีผู้ชายหลายคนที่ไม่เชื่อว่าเพศหญิงจะขึ้นมาทัดเทียมกับเพศตนได้ บทพูดที่ผมรู้สึกชอบมาก ๆ คือฉากที่ตัวละครหญิงมานั่งคุยกันและมีคนพูดขึ้นมาว่า “Maybe we’ve got no power here.” (บางทีพวกเราอาจจะไม่มีอำนาจในส่วนนี้เลย) และเจสซิกาตอบกลับไปว่า “yeah, story of my life.”
วลีที่ว่า story of my life นี่บอกเล่าการต่อสู้อันยาวนานของสตรีได้เป็นอย่างดี แม้ว่าผู้หญิงจะพยายามเรียกร้องสิทธิของตนเองให้เท่าเทียมเพศชายมากแค่ไหน สุดท้ายระบบและโครงสร้างที่ออกแบบมาให้กดทับสิทธิและเสรีภาพของเพศหญิงก็ยังคงอยู่ ผมเชื่อว่าเหตุการณ์นี้สามารถเกี่ยวโยงกับสภาพทางสังคมได้หลากหลายประเทศเลยแหละครับ ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ
“f—k the patriarchy”- เจสซิกา เดวิส
ประเด็นที่ผมว่าน่าจะสะท้อนเหตุการณ์ในปัจจุบันได้ดีคือประเด็นความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ เริ่มต้นจากเรื่องความเชื่อที่ว่าคนขาวเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่ง (white supremacy) เห็นได้จากฉากที่ตัวละครอย่างโทนีที่เป็นคนลาตินอเมริกาต้องปะทะมวยกับนักชกคนขาวที่มีสัญลักษณ์ของนาซีประทับเป็นรอยสัก ฉากนี้เปรียบเทียบสังคมอเมริกันว่ากำลังมีการแบ่งแยกกลุ่มประชากรออกจากกันด้วยสีผิวและชาติกำเนิด ในช่วงแรกโทนีเสียเปรียบและมีท่าทีว่าน่าจะแพ้อีกฝ่าย แต่เมื่อตัวละครคนผิวดำอย่างคาเล็บ (รับบทโดย อาเจ บราวน์) เข้ามาช่วยแนะนำก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายจนได้ แม้ในความเป็นจริง ลัทธิคนขาวสูงส่งจะไม่สามารถถูกขจัดออกไปได้แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นว่าการร่วมมือระหว่างกันของทุกชาติพันธุ์สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เหมือนกรณี #BlackLivesMatter ที่ไม่ได้มีแค่คนผิวดำเท่านั้นที่ออกมาเรียกร้อง แต่คนผิวขาว คนเอเชีย คนลาติน ฯลฯ ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่อยุติธรรม
เมื่อพูดถึงประเด็น #BlackLivesMatter แล้วย่อมหลีกหนีเรื่องความโหดร้ายทารุณและการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (Police brutality) ที่ซีรีส์เรื่องนี้ก็นำเสนอออกมาให้ได้รับชมเช่นกัน ความรุนแรงของตำรวจที่มีต่อนักเรียนในโรงเรียน Liberty High สร้างความไม่พอใจให้แก่หลายคน ซึ่งเกี่ยวโยงกับ white supremacy ที่กล่าวไปข้างต้นด้วย เห็นได้จากฉากที่นักเรียนคนขาว (จัสติน โฟลีย์) มีเหตุทะเลาะวิวาทกับนักเรียนคนลาติน (ดีเอโก ทอร์เรส) ตำรวจเลือกเข้ากำลังกับดีเอโกเป็นคนแรก ละพูดสบถเหยียดหยามแม้ดีเอโกจะเป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยมก็ตาม
ประเด็นลัทธิคนขาวสูงสุด การประทุษร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ซีรีส์พยายามนำเสนอออกมาล้วนมีส่วนเกี่ยวโยงกับประเด็นการควบคุมอาวุธปืน (gun control) ในสหรัฐฯ เพราะอาวุธปืนถูกกฎหมายในสหรัฐฯ มีร้านขายอาวุธปืนแบบเปิดเผย
ซีรีส์ใช้เรื่องราวของตัวละครต่าง ๆ บอกผ่านความรู้สึกของนักเรียนที่อยู่ในเหตุกราดยิงว่าความรุนแรงในครั้งนี้กระทบต่อสภาพจิตใจมากเพียงใด หลายคนโทรหาพ่อแม่เพราะเชื่อว่าตนอาจจะไม่ได้รอดออกไป หลายคนสารภาพความลับที่อยู่ภายในจิตใจให้คนอื่นรู้เพื่อที่ว่าหากต้องจบชีวิตในวันนี้จะได้ไม่รู้สึกเสียใจ ผมว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องทบทวนกฎหมายข้อนี้เหมือนที่จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์สั่งการรับซื้ออาวุธปืนจากประชาชนภายหลังเหตุการณ์เหตุกราดยิงมัสยิดในไครสต์เชิร์ช
ผมว่าประเด็นสำคัญที่สุดที่เป็นต้นเรื่องให้เกิดความรุนแรงและ ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก ในเรื่องนี้คือ การบูลลี่และข่มเหงผู้อื่นโดยใช้กำลัง ซึ่งประเด็นนี้อยู่กับซีรีส์ 13 Reasons Why มาตั้งแต่ซีซันแรก ตัวละครสำคัญอย่างแฮนนาห์ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศและคนรอบตัวที่โหดร้ายกับเธอจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่จบชีวิตของเธอลง ไทเลอร์ที่ถูกข่มขืนและทำร้ายร่างกายอย่างแสนสาหัสจนเกือบทำให้เขากลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรมกราดยิง เจสซิกาที่ถูกข่มขืนซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่เสมอ เหตุการณ์เหล่านี้สร้าง ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก ให้แก่ตัวละครหลายคน กว่าจะเยียวยาและสมานบาดแผลที่บอบช้ำก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน ซึ่งผมก็เชื่อว่าพฤติกรรมที่ไปประกอบไปด้วย bullying, abuse, homophobe, sexual harassment ฯลฯ ยังคงอยู่ในสังคมอเมริกัน (และอีกหลายประเทศทั่วโลก) และสร้างบาดแผลทางใจให้แก่คนจำนวนมาก
สุดท้ายนี้ 13 Reasons Why SS4 ถือเป็นผลงานที่ทำออกมาได้ดี แต่ไม่เหมาะสำหรับทุกคน (เหมาะสำหรับผู้ที่มีความพร้อมในการรับชมความโหดร้ายเหล่านี้) เพราะหากบุคคลใดที่เคยประสบปัญหาเหล่านี้ได้มารับชม อาจจะรู้สึก triggered และต้องเผชิญกับอดีตอันโหดร้ายอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ซีซันนี้ก็ใส่รายละเอียดบางช่วงที่ทำให้รู้สึกเยิ่นเย้อมากเกินไป ทำให้คนดูรู้สึกหลงกับประเด็นก่อนหน้าที่กำลังนำเสนอ กลับไปที่คำถามช่วงต้นว่าคอนเซ็ปต์ 13 บันทึกลับยังคงอยู่หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้ชมแต่ละคนว่าจะตีความคำว่า “13 บันทึกลับหัวใจสลาย” ว่าอย่างไร หากมองแค่ว่าบันทึกลับเหล่านั้นจบไปพร้อมกับชีวิตของแฮนนาห์ ก็ย่อมได้หรือจะมองว่าบันทึกลับเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตของตัวละครอื่น ๆ จวบจนซีซันสุดท้ายก็ย่อมได้ โดยภาพรวมซีซันสี่ปิดจบ ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก ในหลายตัวละครได้อย่างกลมกล่อม ตอนสุดท้ายที่ชื่อว่า graduation (การสำเร็จการศึกษา) เปรียบเสมือนบทใหม่ในหนังสือชีวิตที่ตัวละครทุกคนจะต้องเผชิญ แต่ละคนก็มีหนทางเป็นของตนเอง ทิ้งอดีตอันแสนขื่นขมไว้ข้างหลังและเดินหน้าต่อไปแม้กระทั่งตัวละครหลักอย่างเคลย์ก็ยอมรับกับตัวเองแล้วว่าเขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปหลายประการ“I realise I’ve done the wrong thing.” (ผมตระหนักได้แล้วว่าได้กระทำสิ่งที่ผิดไป) หากคุณมีสภาพจิตใจที่พร้อมรับกับความโหดร้ายต่าง ๆ ที่ตัวละครต้องพบเจอ ซีซันนี้มีในรับชมใน Netflix เลยครับ
“Will you survive high school? Will I survive? Because I know many people who didn’t” - เคลย์ เจนเซน
โฆษณา