11 มิ.ย. 2020 เวลา 10:16 • การศึกษา
รูปนันทาเถรี
รูปนันทาเถรี
ธรรมดาของสรรพสัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
ไปสู่ความเสื่อม แม้แต่ชีวิตของเราก็เสื่อมไปตามลำดับ จากวัยทารกไป
สู่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยแก่ชรา นั่นเป็นความเสื่อมที่เรา
มองเห็นได้ เราถูกความเสื่อมครอบงำแล้วนำไปสู่ความตาย คือในที่สุด
ทุกชีวิตต้องเสื่อมสลายไปสู่ความตายหมด เพราะฉะนั้นเราไม่ควรประมาท
ในการดำเนินชีวิต ควรมองให้เห็นโทษของความเสื่อมนั้น จะได้คลายจาก
ความยึดมั่นถือมั่นในโลกทั้งปวง แล้วแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้น
มุ่งสู่พระนิพพานกันทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ว่า..
“ สรีระอันกรรมทำให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต
เป็นที่ตั้งลงแห่งชรา มรณะ มานะ และการลบหลู่คุณท่าน”
ร่างกายของมนุษย์นั้น ถ้าเราใช้ปัญญาที่บริสุทธิ์พิจารณาให้ดีจะเห็นว่า
เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ จะหยาบหรือประณีต
ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะใจของผู้เป็นเจ้าของ ถ้ามีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ดีงาม
ผิวพรรณวรรณะก็จะดี ถ้าใครมักโกรธหยาบกระด้าง ผิวพรรณวรรณะ
จะหยาบกร้าน ร่างกายที่เสื่อมโทรมเน่าเปื่อยได้ง่ายนี้ เป็นโครงกระดูก
ที่ฉาบด้วยเลือดและเนื้อ ที่นับวันมีแต่จะเสื่อมไปสู่ความแก่ และความตาย
แต่ถึงกระนั้น คนส่วนมากก็ยังหลงใหลในกายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ
ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงนี้ ดังเช่นเรื่องของหญิงผู้หลงใหลในความงามของตัว
ซึ่งต่อมาได้เห็นสัจธรรมความไม่เที่ยง และในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระ
อรหันต์ เรื่องมีอยู่ว่า
ในครั้งพุทธกาล พระญาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดความเลื่อมใส
ในพระรัตนตรัย และได้ตัดสินใจออกบวชกันมากมาย พระนางรูปนันทา
ผู้มีพระสิริโฉมงดงาม จึงคิดว่า เจ้าพี่ใหญ่ของเราสละสิริราชสมบัติ
ออกผนวชเป็นพระพุทธเจ้า พระนันทะเจ้าพี่ของเราก็ผนวช พระมารดา
ก็ออกผนวช เราควรจะออกผนวชบ้าง คิดดังนั้นแล้วพระนางก็ตัดสินใจ
ไปสู่สำนักภิกษุณีเพื่อขอผนวช แต่พระนางเป็นผู้รักสวยรักงาม เมื่อรู้ว่า
พระบรมศาสดามักจะตรัสถึงขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ
วิญญาณ ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนางเกรงว่า
พระบรมศาสดาจะตรัสถึงโทษในรูปโฉมของตนจึงไม่ได้เสด็จไปฟังธรรม
จากพระองค์
พระนางมักจะได้ยินมหาชนสรรเสริญกันบ่อยๆ ว่า “มนุษย์ในโลกนี้ ถ้าได้เห็นพระบรมศาสดาแล้ว ที่จะไม่มีความเลื่อมใสนั้นเป็นไม่มี เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้มีความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง” ซึ่งในเรื่องของความเลื่อมใสของบุคคลนั้น ท่านจัดไว้ ๔ จำพวกด้วยกัน
พวกที่ ๑ คือ “รูปัปปมาณิกา” มีความเลื่อมใสในรูป ใครได้เห็นพระวรกาย
ของพระพุทธองค์ ซึ่งประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ และอนุพยัญชนะครบ
ถ้วนสมบูรณ์ มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งประดุจทองคำ สว่างไสวด้วยพระรัศมี
ก็เกิดความเลื่อมใส
พวกที่ ๒ คือ “โฆสัปปมาณิกา” มีความเลื่อมใสในเสียง เมื่อได้มาฟังธรรม
ฟังพระสุรเสียงของพระบรมศาสดาที่ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ มีความ
แจ่มใส ชัดเจน นุ่มนวล น่าฟัง กลมกล่อม ไม่แตกพร่า ลึกซึ้ง ก้องกังวาน
ก็เกิดติดอกติดใจ มีความอาจหาญร่าเริงในธรรม อยากปฏิบัติตามคำ
ของพระองค์
พวกที่ ๓ คือ “ลูขัปปมาณิกา” เลื่อมใสในความเศร้าหมอง สมถะ เรียบง่าย
มักน้อย สันโดษ เห็นแล้วก็บังเกิดความเลื่อมใส
พวกที่ ๔ คือ “ธัมมัปปมานิกา” มีความเลื่อมใสในพระธรรม เพราะฟังธรรม
แล้วเกิดปัญญา ใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง จึง
เกิดความเลื่อมใส
เมื่อพระนางรูปนันทาเถรีได้ฟังคำพรรณนาคุณของพระบรมศาสดาเช่นนั้น
เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปฟังธรรมบ้าง จึงบอกภิกษุณี
ทั้งหลายว่า จะขอไปฟังธรรมด้วย ภิกษุณีมีใจยินดีว่า นานนักหนาแล้วที่
พระนางรูปนันทาเถรีไม่ได้ไปฟังธรรม ถ้าพระนางไปสู่สำนักของ
พระศาสดา วันนี้พระองค์คงจะแสดงพระธรรมเทศนาอันวิจิตรพิสดาร
เป็นพิเศษ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริว่า วันนี้รูปนันทามีอินทรีย์แก่กล้า บารมีเต็ม
เปี่ยม พร้อมที่จะบรรลุอรหัตผลแล้ว เมื่อพระเถรีได้เสด็จเข้าไปใน
พระวิหารพร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย พระนางทรงดำริว่าเราจะไม่แสดงตน
ดังนั้นได้แอบอยู่ข้างหลังภิกษุณีเหล่านั้น ทอดพระเนตรพระบรมศาสดา
ด้วยจิตเลื่อมใส ขณะนั้นเองพระพุทธองค์ทรงเนรมิตหญิงงามประดุจ
เทพธิดาอายุราว ๑๖ ปี แต่งกายสวยงามประดับประดาด้วยอาภรณ์
เครื่องประดับต่างๆ ครบถ้วน ยืนถวายงานพัดอยู่ใกล้ๆ พระพุทธองค์
พระนางรูปนันทานึกชื่นชมอยู่ในใจ แล้วนึกเปรียบเทียบกับตนเอง รู้สึกว่า
ตนเหมือนกาที่กำลังอยู่ต่อหน้านางพญาหงส์ทอง พระนางมีใจจดจ่อยินดี
ในรูปของหญิงนั้นมาก จะดูตรงไหนก็งามไปหมด ทันใดนั้นเองพระ
บรมศาสดาทรงบันดาลให้รูปของหญิงนั้นแก่ไปเรื่อยๆ ครั้นพระเถรีได้
ทอดพระเนตรเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ก็เกิดความสลดใจ
รำพึงว่า “โอ รูปนี้ไม่งามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” พระศาสดาทรงเนรมิต
รูปนั้นเสื่อมโทรมไปอีก จนกลายเป็นหญิงชราแก่หง่อม มีฟันหัก
ผมหงอก หลังค่อม ทำตัวงกๆ เงิ่นๆ ก็ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน
 
จากนั้น พระบรมศาสดาทรงเนรมิตรูปนั้นให้มีพยาธิรุมเร้า ถูกโรคภัย
ไข้เจ็บเบียดเบียน ร้องครวญแล้วล้มลงกับพื้น นอนดิ้นทุรนทุรายกลิ้ง
เกลือกไปมาบนปัสสาวะ และอุจจาระของตน พระนางรูปนันทาเห็นหญิง
นั้นแล้วเบื่อระอามาก สักครู่หญิงนั้นก็สิ้นลมหายใจ ศพพองขึ้นอืด มี
น้ำหนองไหลเยิ้ม และมีหมู่หนอนชอนไชไปตามทวารทั้ง ๙ คือ ตา
หู จมูก ปาก และทวารหนัก ทวารเบา
พระเถรีพิจารณาซากศพนั้นแล้ว เกิดความสลดสังเวช เห็นอัตภาพ
ของมนุษย์ไปตามความเป็นจริงว่า “หญิงนี้แม้จะสวยเพียงไร แต่ในที่สุด
ก็ต้องตาย ไม่ช้าความแก่ ความเจ็บ และความตาย จะต้องเกิดขึ้นกับเรา
เช่นกัน” คิดดังนี้แล้วจึงคลายจากความยินดี คลายความยึดมั่นถือมั่นใน
อัตภาพร่างกาย มีใจเป็นกลางๆ พร้อมที่จะรองรับธรรมะที่ยิ่งขึ้นไป
พระบรมศาสดาทรงรู้วาระจิตว่า ตอนนี้พระนางมีใจบริสุทธิ์ขึ้นแล้ว
ตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนนันทา เธอจงดูร่างกายอันกรรมปรุงแต่ง มีความ
อาดูร ไม่สะอาด เปื่อยเน่า มีสิ่งสกปรกไหลออกอยู่ตลอดเวลา แต่คน
พาลมีความลุ่มหลงมัวเมาปรารถนากันนัก สรีระของหญิงนั้นเสื่อม
ไปฉันใด สรีระของเธอนี้ ก็ฉันนั้น เธอจงมองให้เห็นธาตุทั้งหลายเป็น
ของว่างเปล่า อย่ามีใจยินดีในภพนี้อีกเลย เธอคลายความพอใจในภพ
ได้แล้ว จักเป็นบุคคลผู้สงบเที่ยวไป”
ขณะนั้น พระเถรีได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา จิตก็บริสุทธิ์
เข้าไปเรื่อยๆ จนได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน พระบรมศาสดา
ทรงรู้ว่าพระนางบรรลุธรรมกายแล้ว จึงทรงแนะนำให้เข้าถึงธรรมที่
ละเอียดยิ่งขึ้นอีก เพื่อยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ให้ได้บรรลุอรหัตผล จึงตรัสว่า
“ดูก่อนนันทา เธออย่าทำความเข้าใจว่า สาระในร่างกายนี้มีอยู่ เพราะ
ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีสาระอะไรเลย สรีระนี้ถูกกรรมปรุงแต่งด้วย
กระดูก ๓๐๐ ท่อน เป็นเหมือนนครแห่งกระดูก เธออย่ายึดมั่นถือมั่น
ในโลกทั้งปวง จึงจะพ้นทุกข์”
ขณะฟังพระธรรมเทศนา พระนางก็ปล่อยใจไปตามกระแสธรรม ไม่ยึดมั่น
อะไรทั้งสิ้น จิตก็หลุดพ้นต่อไปอีก จนกระทั่งหลุดพ้นถึงที่สุด ได้บรรลุ
อรหัตผล เป็นพระอรหันตเถรี ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ กิจที่จะทำต่อไป
ไม่มีอีกแล้ว ภพชาติสิ้นแล้ว ได้บรรลุถึงนิพพาน
ดังนั้น พวกเราจะต้องสละปลดปล่อยวางกันให้ได้ ทำใจให้หยุดนิ่งเข้า
ไปเรื่อยๆ ในกลางกาย อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์ในสังขารร่างกายนี้
อย่ายึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งสิ้น ให้ทำใจหยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น มุ่งตรง
ต่อหนทางพระนิพพาน เพื่อแสวงหาความบริสุทธิ์ภายในที่แท้จริง
ให้พวกเราตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย เราจะได้บรรลุ
เป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์กันทุกๆ คน
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพุทธสาวก-พุทธสาวิกา
หน้า ๓๒๓ - ๓๓๑
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ
(ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๔ หน้า ๔๓
โฆษณา