15 มิ.ย. 2020 เวลา 16:36 • การศึกษา
Book Review : เลิกนิสัยทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง
การผัดวันประกันพรุ่ง น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของหลายท่านรวมทั้งตัวผมด้วย บางครั้งผมก็มักทำอะไรอย่างครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งมันมีคำอธิบายพฤติกรรมแบบนี้อยู่ครับ เรียกว่าอาการ “shiny object syndrome” shiny = แสงสว่าง / object = วัตถุ / syndrome = กลุ่มอาการของโรค
.
มันคืออาการที่คนเราจะตอบสนองต่อสิ่งใหม่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงชั่วขณะหนึ่งด้วยความสนใจเป็นพิเศษแล้วเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเลิกสนใจในเวลาไม่นาน เหมือนเด็กน่ะครับ เวลาเจออะไรที่มันแวววาว ก็จะเข้าหาเข้าไปสนใจ เช่น
.
เห็นคนอื่นเลี้ยงปลาหมอแล้วมีรายได้ดี ตัวเองก็อยากเลี้ยงบ้าง ลงทุนทำบ่อ ซื้อพันธุ์ปลา ติดตั้งระบบระบายน้ำ เรียบร้อย พอทำได้สักระยะหนึ่ง ก็ไปเห็นใน Youtube อีกว่าแนวโน้มสุขภาพกำลังเติบโต ก็เลยอยากทำแปลงผักปลอดสารพิษ ลูกปลาหมอยังไม่ทันโตเลยก็เลิกโฟกัส แล้วไปทำแปลงผักแทน พอเจอสิ่งใหม่ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่เต็มที่กับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าชีวิตเลยไม่ได้ขยับจากจุดเดิมเสียที
.
ซึ่งมันต่างกันมากกับคำว่าทำเต็มที่แล้วเจ้งนะครับ คนที่พยายามตั้งใจเต็มที่มักจะหาเหตุผลและข้อผิดพลาดเก็บข้อมูลปรับปรุง หรือคิดทบทวนว่า นอกจากปัจจัยด้านอื่นๆ ที่ทำให้ เจ้งแล้ว ก่อนเขาจะลงมือทำ เขาได้ศึกษาหาข้อมูลมาอย่างเพียงพอหรือเปล่า...ถ้ายังไม่มั่นใจก็อาจทำในสเกลที่เล็กๆ ก่อนจะดีกว่าไหม เพราะถ้ามันผิดพลาดขึ้นมาก็จะได้ไม่เจ็บเยอะ
.
ความสำเร็จไม่มีทางลัดหรอกครับ ต้องพยายามเท่านั้น เอาล่ะ ผมจะขอพาทุกท่านเข้าสู่เนื้อหาของหนังสือเสียทีเกริ่นนำมานานมากแล้ว
.
สิ่งที่ผมได้ค้นพบจากหนังสือเรื่อง
.
เลิกนิสัยทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง
ผู้เขียน Toyokazu Tsuruta (โทโยคาซึ สึรุตะ)
ผู้แปล กมลวรรณ เพ็ญอร่าม
.
คุณคิดว่า ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย เป็นของเราทั้งหมดไหม ถ้าคิดว่าใช่ ลองอธิบายดูว่า ทุกครั้งที่เราโศกเศร้า เราสามารถหยุดความรู้สึกแบบนั้นได้ทั้งหมดไหม ทุกครั้งที่อ่านหนังสืออยู่คุณสามารถห้ามไม่ให้คิดวอกแวกไปเรื่องอื่นๆ ได้หรือไม่ ทุกครั้งที่พยาบาลวัดความดันเลือดแล้วความดันคุณเกิดสูงกว่าค่าปกติคุณสามารถสั่งให้ความดันลดลงในทันทีได้หรือไม่
.
ฉะนั้น ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย จะเป็นของเราเสียทั้งหมดได้อย่างไร บางคนบอกว่าบ้ารึเปล่านั้นก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรานี่นาจะแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างไร จริงครับ ว่าทั้งหมดนี้มันก็คือตัวเรา แต่ผู้เขียนพยายามสอนวิธีที่จะทำให้เราสามารถ ตระหนักรู้ข้อความจาก ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย ได้ดีขึ้นและจัดการกับข้อความเหล่านั้นอย่างถูกต้อง
.
อาการที่อยู่ๆ ก็มีความคิดแว๊บขึ้นมาในหัวนั่นคือข้อความเตือนบางอย่างจากความคิด
.
อาการที่เรายังไม่หยุดโศกเศร้าจากการสูญเสียคนที่รักเป็นเวลานานนั่นคือข้อความจากความรู้สึก
.
อาการที่คุณเหนื่อยหอบเวลาที่ขึ้นบรรไดแค่เพียงไม่กี่ขั้น นั่นคือข้อความจากร่างกาย
.
เมื่อมีข้อความเหล่านี้ส่งมาถึงเรา แปลว่าเราต้องจัดการอะไรบางอย่างทันที เช่นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า อีก 1 วันจะเป็นวันเกิดของลูกสาว คุณต้องรีบไปซื้อของขวัญวันเกิดทันที
.
โดนแฟนทิ้งแต่ยังไม่หยุดเศร้ามา 5 เดือนแล้ว แปลว่าคุณต้องจัดการอะไรบางอย่างกับความรู้สึกนี้เช่น ไปพบจิตแพทย์
.
เหนื่อยหอบง่ายเกินไปแสดงว่าคุณต้องเริ่มออกกำลังกาย
.
การรับฟังอย่างไม่นิ่งดูดายกับข้อความจาก ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเมื่อเกิดความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว พวกเขา(ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย) จะส่งข้อความลับที่ถูกกดทับเอาไว้ออกมา ให้กับเราเอง
.
เคยไหมครับพยายามตามหา Passion ของตัวเอง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ อีกทั้งบางคนก็ตีโพยตีพายว่าคนอย่างตัวฉันไม่มีพรสวรรค์หรอก เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อ ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย
.
คุณจะได้ยินแต่เสียงหัวใจปลอม ที่ทุกข์ทรมานอยากหลุดพ้นจากความยากลำบากและความรู้สึกไร้คุณค่าเท่านั้นเอง ซึ่งมันอาจบอกกับคุณว่า “ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่”
.
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้ง ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย ก็คือการจัดการเรื่องค้างคาที่เต็มไปหมดในหัวของตัวคุณเอง เมื่อมันมีเรื่องเต็มไปหมดมากมาย มันก็จะแว๊บไปแว๊บมา อยู่ในหัวของคุณเอง ตลอดเวลาจนทำให้คุณไม่สามารถโฟกัสในสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ เช่นหน้าที่หรือการงานที่อยู่ตรงหน้า
.
เมื่อคุณสามารถจัดการกับเรื่องค้างคาในหัวได้ประมาณหนึ่งแล้ว ข้อความสำคัญก็จะถูกส่งออกมาเอง
.
การค้นหาพรสวรรค์หรือ Passion ไม่จำเป็นต้องลองทำเรื่องใหม่ๆ เสมอไป ผู้เขียนกล่าวว่า ก็มีหลายคนที่ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองในการตั้งใจทำหน้าที่ จากการงานที่ทำอยู่อย่างเต็มที่และดีที่สุด
.
ทุกๆ เหตุการณ์และการกระทำของเราที่ผ่านมาไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มักจะเชื่อมโยงกับความสำเร็จในปัจจุบันเสมอ ถ้าไม่เชื่อลองเชื่อมโยงดูสิครับ
.
ผมจะลองเล่าตัวอย่างของผมนะครับ ช่วงวัยทำงาน ผมเคยอกหัก 4 ครั้งติดต่อกัน ระหว่างนั้นผมก็หักอกคนอื่นด้วย แต่ก็ใช่ว่าเรื่องเหล่านี้จะไร้ความหมาย เพราะทุกครั้งที่อกหักคือการเดินทางไปพบกับความรักครั้งใหม่เสมอและก็พาผมมาพบกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุดคือภรรยาของผม
.
ผมเคยทำงานในองค์กรที่ผมรู้สึกว่าผมไม่เก่งเลย คนรอบข้างเก่งกันทั้งนั้น หัวใจผมหดเล็กลง ทำให้ผมตั้งใจเรียน ปริญญาโทให้จบและได้งานใหม่ที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับผมอย่างในปัจจุบัน ผมสอนหนังสือให้ความรู้เด็กๆ และยังทำเพจเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นอีกด้วย
.
ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนของผมเมื่อ 7 ปีที่แล้วอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะอะไร หนังสือเล่มนี้จะอธิบายได้ละเอียดกว่านี้มากครับ อยากให้ทุกท่านได้อ่านและมีไว้ครองครอง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าท่านนำความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มาไปปฏิบัติอย่างจริงจังและมีวินัยแล้ว ท่านสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
.
สำหรับผม ผมจะรับฟัง ความคิด ความรู้สึก และร่างกาย ของผมให้มากขึ้นและจัดการกับเรื่องราวหรือข้อความที่ได้รับ อย่างมีแบบแผนและเป็นระบบ เมื่อเกิดความสำเร็จใดๆ ขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามผมก็จะขอบคุณตัวเอง ให้มากขึ้น “นี่แหละครับที่เขาเรียกว่าก่อนรักคนอื่นก็ต้องรักตัวเองให้ได้ก่อน”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา