คินสึงิ ความงามของบาดแผลแห่งชีวิต
เป็นเล่มที่อ่านไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่อุทานออกมาเงียบ ๆ คนเดียวว่า...ดี...ดี...ดีเหลือเกิน
ขอพูดถึงหน้าปกก่อน สะดุดตาเพราะปกเลยค่ะ สีพื้นปกสวย ยิ่งเส้นรอยแตกที่พาดผ่านหน้าปก แทนรักทอง ที่นูนและสะท้อนแสง ทำให้หน้าปกเรียบง่าย แต่ก็ทรงเสน่ห์ lay out การจัดวางปก ก็บ่งบอกว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นแน่ ๆ
อ่ะ เข้าเรื่อง...ผู้เขียนเป็นจิตแพทย์ค่ะ เล่มนี้คือ How to แต่ไม่ใช่แบบหนังสือเรียน เหมือนฟังผู้เขียนเล่าเกี่ยวกับความเจ็บปวด สอนวิธีทำให้เราเข้มแข็ง เพื่อมีชีวิตอยู่กับเรื่องเลวร้าย รับมือความท้าทายได้ เป็นภาษาเข้าใจง่าย เมื่ออ่านและคิดตาม ตอบคำถามตามในใจ ก็เหมือนได้นั่งคุยกับจิตแพทย์ใจเย็น เข้าใจ และพร้อมรับฟังคนหนึ่ง รวมถึงได้ค้นเข้าไปในจิตใจตัวเอง แถมท้ายบทมีสรุปประเด็นให้ด้วยค่ะ
เพราะทุกคนก็เคยเจ็บปวด หรือเจ็บปวดอยู่
....................
หนังสือมี 3 ภาคนะคะ
ภาคหนึ่ง
เริ่มที่การให้เรายอมรับด้วยหัวใจก่อน ว่าเราเคยหรือเจ็บปวดอยู่ นำเสนอมุมมองต่อความเจ็บปวดใหม่ บอกเราว่าไม่จำเป็นต้องแสดงออกว่าเข้มแข็ง ทั้งที่ในใจ...สลายไปหมดแล้ว เจ็บปวดก็ยอมรับว่าเจ็บปวด จะได้ก้าวไปสู่การรักษา เยียวยา ซ่อมแซม ไม่จมปลัก ไม่หลอกตัวเองต่อไปอีก
“รู้และยอมรับความจริงของชีวิตว่า เรื่องเลวร้ายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อย่างหลีกหนี อย่าเพิกเฉย และอย่าปฏิเสธ” (42)
“เราต้องฝึกฝนตัวเองให้มีความสามารถที่จะรับมือและกอบกู้ตัวเองกลับคืนมาหลังเผชิญเรื่องเลวร้ายให้ได้”(42)
เล่าถึงว่า ทำไม? เราต้องเจ็บปวด
“เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ความเจ็บปวดเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันมีหน้าที่อันชัดเจนคือเพื่อให้เราปรับตัว ช่วยเตือนเรา ว่ามีบางสิ่งกำลังเข้ามาทำร้าย จู่โจม หรือทำให้บาดเจ็บ ไม่ว่าจะที่ร่างกายภายนอกหรือจิตใจ” (35)
บอกถึงระดับความเจ็บปวดทางใจ / การแสดงออกถึงความเจ็บปวด บางคนเจ็บปวดมาก แต่ไม่แสดงออก หรือแสดงออกน้อย
“คนที่โวยวายที่สุด อาจไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุด อย่าสับสนระหว่างความเจ็บปวดกับการแสดงออกถึงความเจ็บปวด” (42)
“เราไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวด แต่เราสามารถควบคุมการแสดงถึงความทุกข์ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราเลือกจะแสดงออก เราอาจจะสื่อสารและแบ่งปันความรู้สึกนั้นออกไป ดึงคนอื่นให้เข้ามามีส่วนร่วม การทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติและอาจเป็นประโยชน์ด้วย เพราะเมื่อเราแบ่งปันความเจ็บปวดออกไป เราอาจปลุกเร้าความเห็นอกเห็นใจ จากผู้ที่สามารถช่วยเหลือเราขึ้นมาได้” (40-41)
ความเจ็บปวดมีที่มาจาก
ได้แก่ เรื่องเลวร้าย ความสับสน ความผิดหวัง ความเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดหมาย เห็นผิด คิดผิด ความจริง จินตนาการ ความกลัว การคาดการณ์ (ุ62)
และหลายครั้งเวลาที่เราเจ็บปวด เราจะเฝ้าย้ำคิดย้ำทำว่า ทำไม? ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา? ซึ่งบางทีมันก็มีคำตอบ บางทีบางเรื่องมันก็ไม่มีคำตอบหรือเหตุผลเหมือนกัน
“เราต้องการคำตอบนี้เพื่อลดทอนความเจ็บปวด เพื่อทำความเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังความทุกข์ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มีเหตุผลอะไรอยู่เลยก็ตาม” (67)
และเมื่อเราเจ็บปวด เรายอมรับมัน เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง บางทีก็อดไม่ได้ที่จะหันไปปรึกษา ระบาย กับคนรอบตัว และคำตอบที่ได้นั้น มัน work กับคนนั้น แต่มันอาจจะไม่ work กับเราด้วย แม้จะเป็นเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน มิหนำซ้ำอาจสร้างบาดแผลให้เรามากขึ้นไปอีก เพราะ
“เหตุการณ์แบบเดียวกันอาจจะไม่ได้ทำร้ายคน ๆ หนึ่งในรูปแบบเดียวกันเสมอไป ขึ้นอยู่กับบริบท ความสนใจ ข้อห่วงใย และจุดเปราะบางต่อความทุกข์ของชีวิตซึ่งจะเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิตของเรา เราข้ามผ่านช่วงชีวิตที่มีความสนใจในเรื่องที่แตกต่างกัน การจัดลำดับความสำคัญก็เปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ค่อยสลักสำคัญสำหรับเราเมื่อวานอาจกลับกลายมาเป็นเรื่องสำคัญมากในวันนี้ เราเติบโตขึ้นและกลายเป็นผู้ใหญ่ รู้สึกแข็งแรงขึ้น แต่ก็อาจจะขี้กลัวมากขึ้น แปลว่าเราไม่สามารถทำนายได้เลยว่าเราจะมีปฏิกิริยากับเรื่องหนึ่ง ๆ อย่างไรจากการเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่เคยผ่านมา เพราะเป็นไปได้ว่าเมื่อบริบทในชีวิตเปลี่ยน บางทีก็ไม่ทันรู้ตัว แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราเจ็บปวดไม่เท่าเดิม” (91)
“ผมขอให้คุณเปลี่ยนเรื่องเลวร้ายที่เข้ามาให้กลายเป็นความท้าทาย แล้วจิตวิญญาณนักสู้จะระเบิดออกมาจากภายในของคุณเพื่อช่วยให้คุณเอาชนะปัญหา กอบกู้ชีวิตกลับคืนมา และแข็งแกร่งงดงามขึ้นกว่าเดิม เมื่อชีวิตเล่นงานคุณจนหมอบราบคาบ จงประเมินพลังกาย พลังใจ สภาวะทางอารมณ์ และเรื่องรอบตััวที่เสียหายไปใหม่ จากนั้นก็ปัดฝุ่นออกจากแข้งขา แล้วกลับไปสู้ต่อด้วยปัญญาที่มากกว่าเดิมและความสามารถที่พรักพร้อมกว่าเดิม” (109)
โดยสรุปแล้วภาค 1 จะเป็นการเล่าถึงที่มาที่ไปของความเจ็บปวด และฉุดมือผู้อ่านลุกขึ้น ท้าทาย เชียร์ ให้สู้กับความเจ็บปวด หรือแม้แต่ให้ออกมาจากจินตนาการ เปลือก กำแพง เบื้องหน้าที่แสดงออกกับคนอื่น กระทั่งตัวเองว่า มีความสุข ไม่เคยทุกข์ ไม่เคยเจ็บปวดใด ๆ
....................
ภาค 2 จะเป็นการบอกถึง How to ว่าจะจัดการกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เป็นขั้นตอนเลยค่ะ โดยเทียบกับ “คินสึงิ” (Kintsugi) ตามชื่อหนังสือ ที่เป็นศิลปะของญี่ปุ่น เป็นการเชื่อมประสานรอยแตกร้าวด้วย “รักทอง” เพื่อขับเน้นร่องรอยตำหนิจากการซ่อมแซม ถือเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ความเป็นมา คือความเปราะบาง ความแข็งแกร่ง และความงดงามในเวลาเดียวกัน
ซึ่งขั้นตอนก็จะประกอบไปด้วย
1. กอบเก็บเศษซาก
2. เชื่อมโยงกับความเข้มแข็งทางอารมณ์ (ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะเรื่องเลวร้าย)
3. ซ่อมแซมสิ่งที่แตกหัก (มีเป็นขั้นตอนการเยียวยา)
4. แต่งแต้มตำหนิให้งดงาม
...................
ภาคสาม ก็จะเป็นกรณีศึกษาค่ะ รวบรวมได้ครอบคลุมนะคะ ใครมีความเจ็บปวดตรงกับเคสไหน ถ้าได้อ่าน คิดว่าจะช่วยได้มาก ๆ เลยค่ะ และภาคนี้ ในบทแรกให้ชื่อตอนว่า บิเซน-ยะคิ (Bizen-Yaki): ศิลปะแห่งความอุตสาหะ (ศิลปะอีกอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น คือศิลปะการทำถ้วยชามโบราณแบบหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการสร้างลายลงบนผิวถ้วยชามเพื่อเพิ่มความงาม โดยอาจใช้ฟางมัดแล้วค่อยนำเข้าเผาไฟ ซึ่งส่วนของถ้วยที่โดนฟางก็จะเข้มขึ้นเป็นลาย หรืออาจเกิดลายจากการโดนสะเก็ดไฟซัดใส่) (ข้อมูลจากสำนักพิมพ์ Move ผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ค่ะ)) เหมือนจะเปรียบให้เห็นภาพว่าการที่เราจะเลิกหลบซ่อน เลิกเพิกเฉย เลิกปฏิเสธ ความเจ็บปวด ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความอุตสาหะในการบังคับตัวเอง ฝืนใจตัวเอง เพื่อซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง เติบโต งดงามจากบาดแผลของความเจ็บปวดในชีวิต
ยกตัวอย่างเคส
1. ซ่อมแซมการงาน > ผู้หญิงที่ทำงานอย่างถวายหัว จนทิ้งด้านอื่น ๆ ในชีวิตไปหมด แล้ววันหนึ่งถูกให้ออกจากงาน
2. ซ่อมแซมความภาคภูมิใจ > เด็กชายที่ถูกพ่อทำร้ายร่างกาย
3. ซ่อมแซมชีวิต > พ่อที่สูญเสียลูกสาววัยกำลังน่ารักน่าชังไป
4. ซ่อมแซมความรัก > ภรรยาที่บังเอิญไปรู้ว่าสามีนอกใจ
5. ซ่อมแซมความหวัง > ผู้หญิงที่จะฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า
6. ซ่อมแซมความเบิกบาน > ผู้หญิงที่เคยสุขภาพแข็งแรง เพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย
ซึ่งแต่ละเคสจะมีขั้นตอนแรก ๆ เหมือนกัน คือ ถอยออกมามอง / คิดให้ต่าง / ลงมือทำ ขั้นตอนหลังจากนี้ก็จะแตกต่างตามแต่ว่าต้องการจะซ่อมแซมเรื่องอะไร
....................
แล้วหนังสือก็พามาถึงบทสรุปส่งท้ายสั้น ๆ ค่ะ
ผู้เขียนเล่าถึงศิลปะญี่ปุ่นอย่างสุดท้ายให้เรา ๆ ท่าน ๆ อ่าน คือ
มตไตไน (Mottainai): ศิลปะแห่งการให้โอกาสใหม่กับชีวิต แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความเสียใจ และเสียดาย ในการสูญเสียสิ่่งมีค่าไป เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เรารักษา หรือทำให้กลับคืนมาอีกครั้ง ไม่ละทิ้งสิ่งที่มีคุณค่า อย่างน้อยถ้าเสียไปก็ยังได้เรียนรู้จากบทเรียน ประสบการณ์ เรื่องราวที่เกิดขึ้น (444)
......................
สรุปสิ่งที่ได้ : หนังสือเปรียบเทียบให้เรามอง บาดแผล ความเจ็บปวด แบบใหม่ ในแบบที่ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องผิดพลาด เป็นเรื่องที่ลืม ๆ ไป แต่ฝังค้างอยู่ในจิตใต้สำนึก เป็นเรื่องน่าอับอาย ต้องหลบซ่อนจากคนอื่น แม้กระทั่งตัวเองให้มิด หรือหลับหูหลับตาทำตามคำแนะนำของทุกคนที่บอกเรา แต่หนังสือบอกให้ยอมรับและก้มลงกอบกู้เศษซากที่แตกบิ่น ลุกขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างกล้าหาญและเข้มแข็ง ซ่อมแซมส่วนที่แตกหักด้วย “รักทอง” ทำให้รอยแตกหักนั้นงดงามด้วยประสบการณ์และบทเรียนทรงคุณค่าในแบบของตัวคุณเอง มีชีวิตต่อไป พร้อมรับมือกับบาดแผลความเจ็บปวดในอนาคต ที่คุณจะก้าวผ่านไปได้ด้วยดีได้อีกแน่นอน เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะครั้งนี้ คุณเจ็บปวดแทบตาย แต่ก็ยังก้าวผ่านมาได้อย่างงดงาม
....................
🎧 Podcast เล่ารีวิวหนังสือ 🎧
....................................
📳ช่องทางเผยแพร่ผลงานรีวิวหนังสืออื่น ๆ📳
#เล่มนี้ฌาร์มาอ่านจบแล้ว #ฌาร์มากับการสลายกองดองของเธอ #เดี๋ยวนี้ใครเขาอ่านหนังสือกัน
#รีวิวหนังสือตามใจฉัน #สายป้ายยาชวนคุณมาอ่านไปด้วยกัน
#คินสึงิ #คินสึงิ_ความงามของบาดแผลแห่งชีวิต #KINTSUGI
ผู้เขียน:Tomas Navarro
ผู้แปล: วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ
ออกแบบปก: Manita Songserm
สำนักพิมพ์: Move Publishing
...