Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ขับรถเที่ยวเองโดยไกด์ตี๋เล็ก
•
ติดตาม
17 มิ.ย. 2020 เวลา 17:31 • ท่องเที่ยว
Trip#4 เขยเมืองนนท์ชวนไหว้พระวัดเด่นวัดดัง
วันหยุดไม่ต้องเดินทางไปเที่ยว ไปทำบุญกันไกลบ้านนัก ขอแนะนำโปรแกรมไหว้พระ 9 วัด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งแต่ละวัดมีความสวยงาม มีสิ่งที่น่าสนใจ คุ้มค่ากับการเดินทางจริงๆ ได้ทำบุญไหว้พระ ได้ช้อปปิ้งสินค้าของฝากกันด้วย
แห่งที่ 1 วัดกู้ ปากเกร็ด สักการะศาลพระนางเรือล่ม
แห่งที่ 2 วัดสะพานสูง กราบรูปหล่อหลวงปู่เอี่ยม พระเกจิชื่อดัง
แห่งที่ 3 วัดบางจาก ลอดอุโบสถ์สะเดาะเคราะห์
แห่งที่ 4 วัดใหญ่สว่างอารมณ์ ทำบุญไหว้พระแล้วช้อปปิ้งตลาดริมน้ำ
แห่งที่ 5 วัดแดงธรรมชาติ กราบพระนาคปรก องค์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
แห่งที่ 6 วัดบางไกรใน ไหว้ศาลนายไกรทอง ผู้ปราบจรเข้ชาละวัน
แห่งที่ 7 วัดตะเคียน ทำบุญไหว้พระ ช้อปปิ้งตลาดน้ำ ของกินอร่อยๆ
แห่งที่ 8 วัดชลอ ชมอุโบสถบนเรือสุพรรณหงส์ลำใหญ่ สวยงามมาก
แห่งที่ 9 วัดราษฎร์ประคองธรรม กราบพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในนนทบุรี
อิ่มบุญ อิ่มท้องกันแบบไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเสียเวลากับการขับรถไกลๆ
แห่งที่ 1 วัดกู้ ปากเกร็ด
เดิมชื่อ วัดท่าสอน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อเกิดเหตุการณ์เรือล่ม จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดนี้เป็น "วัดกู้"
สักการะศาลพระนางเรือล่ม ขอพร ว่ากันว่ามีคนมาขอลูกกันได้ดังอธิษฐาน
กราบพระประธานในโบสถ์หลังใหม่ สวยงามยิ่ง
อ่านเรื่องราว พระนางเรือล่มและประวัติวัดกู้ได้ที่
https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/81536.html
แห่งที่ 2 วัดบางจาก
สร้างขึ้นในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยชาวมอญที่อาศัยอยุ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
มี หลวงพ่อค้ำดวง กับหลวงพ่อหนุนดวง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด
และมีพระพุทธรุปองค์ใหญ่ตั้งอยุ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.thairath.co.th/content/296416
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=goodluckthailand&month=16-04-2010&group=2&gblog=10
แห่งที่ 3 วัดสะพานสูง ปากเกร็ด
วัดสะพานสูง ตั้งอยู่ที่อำเภอปากเกร็ด มีชื่อเดิมว่า วัดสว่างอารมณ์ สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อเพราะในคราวที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหารเสด็จไปตรวจวัดสว่างอารมณ์ทอดพระเนตรเห็นสะพานสูงในวัด ชาวบ้านแถบนั้นเรียกกันว่า วัดสะพานสูง จนติดปาก จึงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดสะพานสูง มาจนทุกวันนี้
กราบขอพรจากรุปหล่อหลวงปู่เอี่ยม พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่มีผู้คนนับถือกันมาก โดยเฉพาะผู้นิยมพระเครื่อง
อ่านประวัติหลวงปู่เอี่ยมได้ที่
http://www.rittamahawed.com/article/5/ประวัติหลวงปู่เอี่ยม-วัดสะพานสูง-จ-นนทบุรี
แห่งที่ 4 วัดใหญ่สว่างอารมณ์
วัดนี้มีประวัติว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ก่อนชื่อว่าวัดใหญ่บางน้อย หลังปี 2463 จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดใหญ่สว่างอารมณ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชในสมัยนั้น ท่านเคยเสด็จมาประทับที่วัดนี้อยู่ประมาณกว่าครึ่งเดือน และมีพระตำหนักของพระองค์ท่านอยู่ เสียดายที่ตอนหลังได้ชำรุดทรุดโทรมลงจึงถูกรื้อไปแล้ว
ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ทางวัดจัดบริการเรือไปไหว้พระ 9 วัดฟรี เรือจะออกเวลา 11.00 น. และกลับมาเวลา 15.30 น. (กะเวลาให้ดีว่ามีเวลาพอหรือไม่ เพราะถ้าไปแล้วก็ต้องรอกลับพร้อมคนอื่นๆ)
ที่วัดแห่งนี้มีตลาดริมแม่น้ำ จำหน่ายอาหารและสินค้าหลากหลาย ให้ท่านได้ช้อปปิ้งและทานอาหารรองท้องกันก่อนนั่งเรือไปทำบุญ
ถ้าท่านจะเดินทางตามโปรแกรมของผม ก็ต้องไม่ลงเรือไปเที่ยวนะครับ ไว้รอโอกาสต่อไป ไปเที่ยววัดนี้แล้วลงเรือฟรีแล้วกัน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://oknation.nationtv.tv/blog/exit/2010/05/28/entry-1
วัดแดงธรรมชาติ ต.ไทรม้า จ.นนทบุรี็
พระครูปรีชาพัฒนโสภณ หรือหลวงพ่อแดง เจ้าอาวาสวัดแดงธรรมชาติ เล่าว่า วัดแดงธรรมชาติ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ ชื่อของวัดนั้นสันนิษฐานว่า มีชาวบ้านนำวัวแดงมาเลี้ยงในบริเวณวัด ในครั้งนั้นจึงเรียกว่า "วัดวัวแดง" เรียกไปเรียกมา คำว่า "วัว" หายไปชาวบ้านนิยมเรียกนามวัดว่า "วัดแดง" แต่ปรากฏว่า ชื่อของวัดแห่งนี้ไปซ้ำกับวัดอีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า "วัดแดง"
โดยวัดนั้นเดิมทีก็เรียกว่า "วัดแดง" แต่ภายหลังเพิ่มคำว่า "ประชาราษฎร์" เป็น "วัดแดงประชาราษฎร์" ส่วนที่วัดแห่งนี้ไม่ทราบว่า "ธรรมชาติ" เติมไปตอนไหนใครเป็นผู้เติม ช่วงหนึ่งเรียกว่า "วัดแดง" บางช่วงก็เรียกว่า "วัดแดงธรรมชาติ" เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสจึงใช้ว่า "วัดแดงธรรมชาติ" เพื่อไม่ให้ซ้ำกับวัดอื่นๆ
กราบพระนาคปรกองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยุ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ฝั่งตรงข้ามคือ กระทรวงพาณิขย์ สนามบินน้ำ)
ขอพรจากหลวงพ่อเสือและพระเจ้าทันใจ ที่ศักดิ์สิิทธิ์ มีผู้คนมาขอพรแล้วได้ดังที่ขอเยอะมาก
กราบหลวงพ่อโตในพระอุโบสถ
แห่งที่ 6 วัดบางไกรใน
วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับไกรทอง ผู้ปราบพญาชาละวัน ซึ่งเป็นคนนนทบุรี
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.tourwatthai.com/วัดไทย/วัดเมือง/วัดบางไกรใน-wat-bang-krai-nai-โบราณสถาน-บางใหญ่-นนทบุรี/
แห่งที่ 7 วัดตะเคียน
วัดตะเคียน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เป็นวัดที่เก่าแก่ มีอายุนับร้อยปี คาดว่าสร้างมาก่อนสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แต่วัดแห่งนี้ก็มีภิกษุมาจำพรรษาบ้างร้างบ้างสลับกันไป จนมาถึงสมัย “หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ ” มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จึงได้พัฒนาวัดให้เจริญเรื่อยมาจนทุกวันนี้
ประวัติหลวงปู่แย้ม ชาติภูมิของหลวงปู่แย้ม ชื่อและสกุลเดิมคือ "แย้ม ปราณี" เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๕๙ ที่ ต.เจ็ดริ้ว อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร บิดาชื่อ "เพิ่ม" มารดาชื่อ "เจิม" อายุครบ ๒๐ ปี อุปสมบทตามประเพณี และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ มีพระครูคณาสุนทรนุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการเหลือ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ปิยวณฺโณ" พรรษาที่ ๒ หลวงพ่ออาพาธหนัก ต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านด้วยยาต้มแผนโบราณ หายดีแล้วจึงกลับไปอยู่วัดตามเดิม ต่อมาท่านจึงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจนแตกฉาน รักษาชาวบ้านจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ประมาณพรรษาที่ ๑๐ หลังจากเรียนคาถามาจากหลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง จ.สมุทรสาคร ท่านบอกว่าใช้เวลาเรียนไม่นาน เนื่องจากวิชาที่เรียนมีมาก ท่านจึงเลือกเรียนวิชาทำตะกรุด เพราะเอาไว้ป้องกัน และรักษาตัวจากภยันตราย วัดตะเคียนเมื่อสมัยก่อนเป็นป่าสวนส้มเขียวหวานเกือบทั้งหมด ถนนหนทางไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ ส่วนวัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อของ หลวงปู่แย้ม มีหลายอย่างเช่น พระขุนแผนยอดขุนพล พระนางพญา พระขุนแผนใบบัว เสือปืนแตก และตะกรุดคลองตะเคียน โดยท่านได้จารยันต์ คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ หรือเรียกว่า "แม่ธาตุใหญ่" ซึ่งมีพุทธคุณเหนือยันต์ทั้งปวงลงในตะกรุด ยังมียันต์อีกตัวหนึ่ง ซึ่งอาจจะเรียกว่า เป็นยันต์เฉพาะตัวของหลวงปู่แย้ม คือ "ยันต์มหาเบา" เป็นตำราจาก หลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง กับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
แห่งที่ 8 วัดชลอ พระอุโบสถ์บนเรือสุพรรณหงส์
วัดชลอ เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราว พ.ศ.2275 ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตัววัดตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย หรือเดิมเรียกว่าคลองลัดบางกรวย ซึ่งขุดขึ้นใน พ.ศ. 2081 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา
มีตำนานเล่าถึงการสร้างวัดว่า เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคผ่านคลองลัดบางกรวย ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าบริเวณนี้น่าจะสร้างวัดขึ้นมาสักวัดหนึ่ง เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน แต่เนื่องจากที่บริเวณนี้เป็นคุ้งน้ำเชี่ยว ในอดีตเคยมีเรือสำเภาล่มและมีคนจมน้ำตายเป็นอันมาก รวมถึงการก่อสร้างก็เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะอุปสรรคมากมาย แม้เมื่อสร้างเสร็จก็เกิดฟ้าผ่าลงกลางโบสถ์ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้มีพระสุบินนิมิตไปว่ามีชายชราชาวจีนมากราบทูลขอให้พระองค์ทรงปลดปล่อยดวงวิญญาณของพวกตนที่ตายเพราะเรือล่ม โดยชายชาวจีนคนนั้นได้กล่าวว่าอยากให้พระองค์สร้างโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภา ต่อมาเมื่อโบสถ์นี้สร้างเสร็จก็ไม่เกิดเหตุอาเพศใดๆ อีก ส่วนชื่อวัดพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ได้พระราชทานนามว่า “วัดชลอ"
ที่เล่ามานั้นก็เป็นตำนานการสร้างวัด แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วก็สอดคล้องกัน เพราะวัดชลอตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยตอนเหนือที่เชื่อมต่อกับคลองอ้อมนนท์และคลองบางกรวย (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) เป็นโค้งน้ำที่น้ำไหลเชี่ยวจึงมักมีอุบัติเหตุอยู่เสมอ ภายหลังจึงมีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นจุดสังเกตให้คนเรือได้ลดความเร็วและใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเมื่อเดินเรือมาถึงบริเวณนี้ ส่วนอุโบสถเก่าแก่ของวัดนั้นก็เป็นศิลปะสมัยอยุธยา ฐานอาคารโบสถ์แอ่นโค้งแบบที่เรียกว่า “ตกท้องสำเภา” ซึ่งเป็นงานที่นิยมสร้างในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
สำหรับ “อุโบสถเรือสุพรรณหงส์” ที่ลอยสง่างามอยู่ภายในวัดเห็นโดดเด่นแต่ไกลนั้นเป็นอุโบสถหลังใหม่ที่ริเริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี 2526 โดยดำริของพระครูนนทปัญญาวิมล (หลวงพ่อสุเทพ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชะลอ ผู้ซึ่งมีกิตติศัพท์เลื่องลือในด้านการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคไซนัส อีกทั้งท่านยังเป็นผู้พัฒนาวัดชลอจากวัดเก่าทรุดโทรมให้มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน
พระครูนนทปัญญาวิมลได้มีนิมิตเห็นเรือหงส์ลอยมาอยู่หน้าอุโบสถหลังเก่าที่ท่านจำพรรษาอยู่ จึงเป็นมูลเหตุให้ท่านมีความคิดอยากจะสร้างเรือสุพรรณหงส์ขึ้น แต่เมื่อคิดถึงประโยชน์ใช้สอยแล้วหากสร้างแต่เรืออย่างเดียวอาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ ท่านจึงคิดสร้างโบสถ์ไว้บนลำเรือสุพรรณหงส์ก็จะได้ใช้ประโยชน์ทางพุทธศาสนา ท่านจึงให้บรรดาลูกศิษย์ออกแบบก่อสร้างในปี 2525
แห่งที่ 9 วัดราษฎร์ประคองธรรม
วัดราษฎร์ประคองธรรมสร้างเมื่อ พ.ศ. 2256 แต่เดิมสันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้านี้อาจเป็นสมัยสุโขทัยตอนปลายและได้ขาดการทำนุบำรุงจึงมีสภาพทรุดโทรม ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา จนชาวบ้านเรียก วัดค้างคาว ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 หมอแดง พุ่มเล็กและชาวบ้านได้บูรณะพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองและเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น วัดราษฎร์ประคองธรรม
ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อพระนอน) และหลวงพ่อโต (ซำปอกง) ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจและเดินทางมาเคารพสักการะอยู่เสมอ อีกหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนมาแต่ไกล และเป็นจุดสังเกตของวัดนี้ คือ ศาลาพระนอน ที่ด้านบนนั้นจำลองพระธาตุ 3 นครมาไว้ที่นี่เพื่อให้ประชาชนได้มาสักการะองค์พระธาตุคือ พระธาตุหริภุญชัย พระธาตุพนม และ พระปฐมเจดีย์
บันทึก
4
1
1
4
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย