18 มิ.ย. 2020 เวลา 17:11 • บันเทิง
เจอพระธุดงค์ในป่า
ผมชื่อต้นครับ มีประสบการณ์หลอนจะมาเล่าให้ฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ ปี 2532 ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี ยุคนั้นยังเป็นยุคที่ความห่างไกลยังกันดาร ผมอยู่อำเภอหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา หมู่บ้านผมติดกับป่าเขาใหญ่ อาชีพของบ้านผมตอนนั้นก็คือหาของป่า ซึ่งก็เป็นอาชีพของหมู่บ้านของผมเลยก็ว่าได้ ดังนั้นคนในหมู่บ้านผมทุกคนจะให้ความเคารพป่าเขาใหญ่อย่างมากเพราะมีความเชื่อว่าป่าแห่งนี้นั้นมีชีวิตและเป็นที่สิงสถิตของสิ่งเร้นลับมากมาย มีเรื่องเล่ามากมายจากรุ่นสู่รุ่น จึงทำให้ป่าแห่งนี้เป็นที่ที่หนึ่งที่มีความอาถรรพ์ลึกลับมากมายจนทำให้ทุกคนในหมู่บ้านผมต่างให้ความเคารพอย่างมาก
พ่อของผมเป็นพรานใหญ่ประจำหมู่บ้าน เพราะท่านมีวิชาอาคม มีประสบการณ์กับป่าแห่งนี้มาอย่างโชกโชน ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียว พ่อผมจึงสอนความรู้วิชาต่างๆของพรานให้กับผมเสมอ และพ่อผมก้อจะพาเข้าป่าบ่อยครั้ง
ซึ่งด้วยความที่พื้นที่ป่าเขาใหญ่นั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างมากชาวบ้านจึงมีอาณาเขตหาของป่ากันไม่ลึกมาก ซึ่งถ้าต้องการสัตว์ใหญ่ต้องเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม ฉะนั้นพ่อผมกับพรานป่าอีกประมาณ2คนมีความเห็นว่าการเข้าป่าครั้งนี้อาจต้องเข้าไปในป่าที่ลึกขึ้น จึงอาจทำให้เดินทางไกลขึ้นทำให้ต้องค้างคืนกันในป่าประมาณ2คืน และที่ตื่นเต้นกว่านั้นคือตัวผมยังไม่เคยค้างคืนในป่าเลย นี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้
แล้ววันนี้ก็มาถึงพวกเรามีกันทั้งหมดสี่คนรวมถึงตัวผมเองด้วย พวกเราออกเดินทางตอนเช้ามืด เหตุที่ต้องเดินทางตอนเช้ามืดนั้นก้อเพราะเป็นเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เป็นการปลอดภัยกว่าที่จะเริ่มเดินทางในเวลานี้ เราเดินทางกันมาประมาณสี่ชั่วโมง พ่อผมก็บอกให้ทุกคนพักได้ ผมดีใจอย่างมากที่ได้ยินพ่อพูดคำนี้ เพราะการเดินทางในป่านั้นเหนื่อยอย่างมาก เวลานี้คือเวลามีความสุขที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ พวกเรานั่งกินข้าวกินน้ำท่ามกลางป่าที่รกทึบและเสียงของนกและจักจั่นร้องระงมไปทั้งป่า หลังจากกินข้าวกินน้ำเราก็นั่งคุยกันตามประสา ในเวลานั้นก็มีพรานคนนึง พูดชื่อผมขึ้นมา ทุกคนต่างมองหน้าพรานคนนั้น เพราะการเอ่ยชื่อในป่านั้นเป็นสิ่งที่ห้ามทำกัน แต่ทุกคนก็ไม่ได้ตระหนกอะไรมากเพราะเวลาตอนนั้นยังเป็นช่วงเช้า อาจจะไม่มีอะไรก้อได้ เรานั่งกันประมาณ20นาทีก็เดินทางกันต่อ
พวกเราเดินทางกันมาเรื่อยๆโดยมีพ่อผมผมเป็นผู้นำผมเดินตามหลังพ่อ ส่วนพรานอีกสองคนเดินตามหลังผม เวลานี้น่าจะเป็นเวลาประมาณบ่ายสาม พวกเราก้อมาสุดเขตที่เป็นอาณาเขตหาของป่าทั่วไปซึ่งจุดหหมายข้างหน้าจะเข้าสู่เขตป่าลึกพ่อผมก้อสั่งให้ทุกคนหยุด แล้วพ่อผมก้อทำพิธีขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิเจ้าป่าเจ้าเขาเพื่อเข้าสู่เขตป่าลึกข้างหน้า ในตอนที่ทำพิธีนั้นเองก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น จากที่ป่ามีเสียงนกเสียงสัตว์ดังเซ็งแซ่ในป่านั้นก้อเงียบไปโดยฉับพลัน เงียบจนกระทั้งผมได้ยินเสียงหายใจของตัวเองเลยก็ว่าได้
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ด้วยความฉงน แล้วพ่อผมก้อทำพิธีเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์ก็กลับมาส่งเสียงดั่งเดิม ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจจิงๆ พ่อผมบอกกับทุกคนว่าทางข้างหน้าต้องเดินให้ระวัง ห้ามเอ่ยชื่อกัน ห้ามเดินแยกกลุ่ม ให้เดินห้ามห่างกันเกินสามก้าว ไม่จำเป็นห้ามส่งเสียงพูดกัน เมื่อพวกเราตกลงกันแล้วก็ออกเดินทาง ผมตื่นเต้นสุดๆเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าเขตป่าลึกเราเดินกันมาประมาณสองชั่วมอง พ่อผมก็สั่งให้ทุกคนหยุดเพื่อจะทำที่พักแรมกันในป่า ซึ่งที่พักแรมของเราคืนนี้นั้น อยู่ใกล้ลำธารเล็กๆ ทุกคนช่วยกันทำที่พักแรมกัน โดยผมมีหน้าที่หาฟืนมาก่อกองไฟในคืนนี้ แล้วเรื่องมันก็เริ่มขึ้น ในระหว่างที่ผมหาฟืนอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อผม "ต้น" จากข้างหลัง ด้วยสัญชาตญาณของผมก็หันไปตามเสียงแต่ไม่เจอใคร ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าช็อคมากเพราะคณะของผมที่มาเดินป่าครั้งนี้นั้นมีแต่ผู้ชายล้วนๆ ไม่มีผู้หญิงแล้วเสียงนั้นที่เรียกผมเป็นเสียงของใคร ผมรวบรวมสติทั้งหมดเพื่อไม่ให้ขวัญกระเจิง พยายามไม่วิ่งค่อยๆเดินกับไปที่พักแรม พอผมเดินมาถึงผมก้อเดินไปหาพ่อคนแรก พ่อผมทำหน้าตกใจเมื่อเห็นสีหน้าผม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าเหตุการณ์นี้ให้พ่อฟัง พ่อผมก้อมีอาการเคลียดขึ้นมาทันใด พ่อผมจึงได้บอกกับคณะทุกคนกับเหตุการณ์ที่ผมได้เจอ พ่อผมจึงปรึกษากับพรานที่เหลือว่าจะทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นที่วิตกกับทุกคนอยู่ ทุกคนจึงลงความเห็นว่าควรจะกลับเพราะถือว่าเป็นลางไม่ดีอย่างมาก แต่ด้วยเวลานั้นพระอาทิตย์เริ่มคล้อยแล้ว ครั้นจะเดินทางกลับเวลานี้อาจจะมืดค่ำ ซึ่งการเดินป่าตอนกลางคืนในป่าลึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเพราะมีอันตรายมากมาย ทุกคนจึงจำใจต้องค้างคืนกันที่นี้ก่อน รุ่งเช้าค่อยเดินทางกลับกัน
พอความมืดมาเยือนทำให้บรรยากาศภายในป่านั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่ป่าดูมีชีวิตชีวาแต่บัดนี้กับมืดมิดและเงียบเชียบ คงมีแต่เสียง จิ้งหรีดส่งเสียงอย่างวังเวง ทุกคนต่างนั่งกันอยู่ไม่ห่างจากกองไฟ บรรยากาศตอนนี้มันช่างน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ณ ตอนนี้ก็คงมีแต่เปลวแสงไฟจากกองไฟเท่านั้นที่ยังพอยึดเหนี่ยวจิตใจเราไม่ให้ใจเราต้องหวาดกลัวเท่านั้น ทุกคนต่างหาเรื่องมาคุยกันเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวในใจ กับเหตุการณ์ที่ผมเจอเมื่อช่วงเย็น พวกเราต่างนั่งคุยกันจนเวลาสองทุ่มโดยประมาณ ก็แยกย้ายพักผ่อนกัน โดยแบ่งคนเฝ้ากองไฟ แบ่งกันคนล่ะสองชั่วโมง โดยพ่อของผมเป็นผลัดที่สาม ส่วนตัวผมนั้นยังเป็นเด็กอยู่จึงไม่ต้องเฝ้ากองไฟ ด้วยความเพลียที่เดินทางมาทั้งวัน ผมก้อผลอยหลับไป... ซึ่งขณะผมได้หลับอยู่นั้นเองผมได้ฝันเห็น ผู้หญิงคนหนึ่งค่อนข้างมีอายุใส่ชุดขาวขาดๆดูเก่าคร่ำครึ แต่สิ่งที่ไม่ปกติในฝันก้อคือ ในฝันนั้นเธอรูปร่างไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปเธอตัวผอมมากขายาวผิดปกติแขนยาว เบ้าตาลึกมากตาแดงกล่ำจนมองเผินๆเหมือนเป็นกะโหลก ปากกว้างจนเกือบถึงใบหู ผมขาวกระเซอะกระเซิงรุงรัง ผมตกใจมากในฝัน ในฝันนั้นเธอเรียกชื่อผมอยู่ตลอดเวลา "ต้น ต้น ต้น ต้น" พร้อมกับกระโดดปีนป่ายต้นไม้ไปมารอบๆตัวผม ผมกลัวสุดขีดสุดๆ ในฝันผมทำอะไรไม่ถูก และจู่ๆก็มีแสงสว่างอย่างมากปรากฎขึ้นในฝัน เมื่อแสงปรากฎขึ้นผู้หญิงคนนั้นก้อส่งเสียงโหยหวนเหมือนกับเจ็บปวดอะไรซักอย่าง เธอก็ได้หนีไป แล้วระหว่างที่กำลังหนีก็ด่าสาปแช่งกับแสงที่ปรากฎอยู่นั้น แล้วแสงนั้นค่อยๆเคลื่อนมาหาผมในฝัน แสงนั้นสว่างมากจนทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากความฝัน พอผมตื่นขึ้นมา ผมเหงื่อออกมากทั้งตัว เป็นฝันที่ช่างเหมือนจริงอย่างมาก
ผมตื่นมาในช่วงที่พ่อของผมเฝ้ากองไฟอยูพอดี ผมจึงเล่าความฝันที่เจอให้พ่อฟัง พ่อผมได้ยินอย่างนั้น ถึงกับสีหน้าเคร่งเคลียดขึ้นมาทันที ซักพักพ่อของผมก็หยิบมีดหมอจากในย่ามขึ้นมา นำมีดมาพนมไว้กับมือ นั่งสวดคาถาที่ผมฟังไม่ออก พอพ่อของผมสวดคาถาเสร็จ ก็นำมีดหมอ ปักลงดินอย่างแรง! ตอนนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นช่วงที่พ่อผมเอามีดหมอปักดินลงนั้น ก็มีเสียงโหยหวนร้องออกมาทันที เสียงนั้นมันใช่มากมันคือเสียงเดียวกับผู้หญิงในฝันผมที่เจอเมื่อกี๊นี้เลย เสียงนั้นดังลั่นจนทำให้พรานอีกสองคนต้องสะดุ้งจนตื่นขึ้นมาเลย พ่อผมนั้นก็ตะลึงไม่แพ้กัน พอเสียงนั้นเงียบลงไปสักพัก ก้อได้ยินเสียง มีตัวอะไรบางอย่าง กระโดดไปมา บนยอดต้นไม้ที่เราอยู่ คราวนี้ทุกคนหน้าถอดสีกันหมดเลยทีเดียวแม้แต่พ่อของผมที่เป็นพรานใหญ่ยังมีอาการเลย ผมรับรู้ได้เลยในตอนนั้น พ่อผมจึงตัดสินใจเอาไฟฉายที่มาด้วย ส่องขึ้นไปดูบนยอดไม้ตามเสียงนั้น เมื่อแสงไฟกระทบกับสิ่งนั้น ทุกคนถึงกับช็อคตะลึงจนพูดไม่ถูก สิ่งนั้นก็คือหญิงที่ผมเจอในฝัน เหมือนกับที่ผมฝันไว้ไม่มีผิด แต่คราวนี้ เหมือนมีแผลที่กิดขึ้นเป็นรอยเลือดผุดขึ้นมา แล้วตอนนี้ดูท่าทางเหมือนกลับเธอจะโกรธอะไรบางอย่างกับพวกเรา พ่อผมเห็นดังนั้น จึงนำปืนแก็บที่ติดตัวมา ประทับบ่ายิงใส่กับสิ่งนั้น ปรากฎว่ายิงโดนเต็มๆ สิ่งนั้นล่วงลงมาดังตุ๊บ! ทุกคนต่างมองไปทางที่เจ้าสิ่งนั้นที่ตกลงมา พ่อผมได้ฉายไฟไปทางนั้น ปรากฎว่าไม่มีอะไร มีแต่ความว่างเปล่า คราวนี้คณะของเราถึงกับขวัญกระเจิงขวัญหนีดีฝ่อ พวกเราต่างถือปืนขึ้นมาแล้วสาดส่องไปทั่ว เราระแวงกันอยู่สักพักครู่ใหญ่ ก็เข้าสู่ความเงียบปกติเช่นเดิม พวกเราเริ่มลดปืนลง แล้วพรานคนนึง ก้อถามพ่อว่า เมื่อกี๊มันคือตัวอะไร ซึ่งพ่อผมก้อตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน เป็นพรานมานานก็เพ่งเคยพบเจอแบบนี้มาครั้งแรกเหมือนกัน คืนนั้นไม่มีใครอยากหลับซักคนเดียว ทุกคนต่างระแวง กับสิ่งที่เพ่งพบเจอว่ามันจะกลับมาอีกหรือไม่ เราอยู่อย่างนั้นจนกะทั้งรุ่งเช้าจนพระอาทิตย์ขึ้น แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมาทำให้จิตใจพวกเรากับมาดีขึ้นอีกครั้ง พ่อผมไม่รอช้า สั่งให้ทุกคนกลับทันที ทุกคนเตรียมตัวเดินทางในทันที เรากลับกันทางเก่าที่มาโดยมีพ่อผมนำทาง เราเดินทางกันมาประมาณสี่ชั่วโมง พ่อผมมีอาการสีหน้าเคร่งเคลียดขึ้นมาทันใด ด้วยความสงสัยผมจึงถามพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อจึงสั่งให้ทุกคนหยุดพักก่อน แล้วพ่อผมก็พูดมาคำนึงที่ทำให้พวกเราสะท้านทรวง สงสัยพวกเราจะหลงทาง มันช่างเป็นคำพูดสั้นๆแต่มันทำให้ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่มทันที พ่อผมบอกว่าจำทางกลับได้อย่างแน่นอนแต่เดินตามทางเก่าก็จะกลับมาที่จุดเดิม ทั้งๆที่รอยเก่าที่เราเดินผ่านน่าจะยังอยู่แต่กลับไม่มีรอยอะไรที่เราเคยเดินผ่านมาเมื่อวานหลงเหลือเลย พวกเราต่างรู้สึกหมดหวัง ผมนึกในใจได้แต่นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจ เพื่อให้พวกเราแคล้วคลาดผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยเถิด
ในระหว่างที่เรานั่งพักอย่างหมดหวังนั้นเอง พรานคนหนึ่ง ได้กลิ่นควันไฟจึงได้บอกทุกคนว่าตนได้กลิ่นควันไฟแล้วทุกคนก้พยายามดมกลิ่นก็ได้กลิ่นจริงๆ พ่อผมตัดสินให้ทุกคนไปตามกลิ่นของควันไฟนี้ อาจจะเป็นกลุ่มพรานคนอื่นที่เข้ามาหาของป่าเหมือนกันก่อไว้ก็เป็นได้ พวกเราเดินตามกลิ่นมาประมาณ 200 เมตร ก็ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลด อยู่แถวใต้ต้นไผ่ เมื่อพวกเราเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งยังไงยังงั้นที่ได้เจอพระ พ่อผมจึงบอกให้ทุกคนไปนมัสการท่าน พวกเราจึงเดินไปหาท่านและนมัสการ ลักษณะของท่านนั้นยังดูเป็นพระหนุ่มรูปงาม ผิวพันธุ์สะอาดผุดผ่อง พ่อของผมเลยไปใกล้ๆท่านแล้วยกมือไหว้ท่านแล้วเอ่ยว่า "กราบนมัสการครับหลวงพี่" พระท่านก็ดูพวกเราแล้วก็กล่าวว่า "เจริญพรโยม มีอะไรให้ช่วยหรือไม่" ท่านพูดมาคำนี้เปรียบเสมือนรู้ความในใจของพวกเราทุกคนยังไงยังงั้น พ่อผมจึงเอ่ยกลับท่านตรงๆเลยว่า "พวกเราหลงป่าครับท่าน" ท่านก็นิ่งไปสักพักนึงแล้วก็บอกกับพวกเราว่า "งั้นพวกท่านอยู่กลับอาตมาซักหนึ่งคืนก่อนนะ เพราะวันนี้ครั้นเดินทาง จะมืดค่ำเสียก่อน เพราะป่าแห่งนี้นั้นมันอันตรายมากในเวลากลางคืน" พอท่านได้เอ่ยคำนั้นพ่อผมก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนจึงนำเรื่องที่เจอเมื่อคืนมาเล่าให้หลวงพี่ฟัง หลวงพี่บอกว่าสิ่งที่เราเจอเมื่อคืนคือ "ขโมดป่า" เป็นวิญญานที่อยู่ในป่าชนิดหนึ่ง วิญญานชนิดนี้อันตรายมากเพราะจะทำให้คนที่เข้ามาในป่าหลงป่าแระจะไม่ให้ผู้นั้นได้ออกจากป่าจนผู้นั้นถึงฆาต และการที่วิญญานนั้นรู้ชื่อของผมนั้น ตอนเข้าป่ามาวันแรก มีพรานในกลุ่มเอ่ยชื่อผมขึ้นมาวิญญานชนิดนี้จึงรู้ชื่อของผมได้ แล้วจำชื่อผมเพื่อมาเล่นงานในภายหลัง พ่อผมจึงถามกับหลวงพี่ว่าแล้วจะให้ทำอย่างไรดี หลวงพี่บอกว่าการที่จะหลุดจากพวกขโมดป่าไม่ง่ายนักเพราะพวกนี้จะตามติดจนกว่าคนที่มันตามจะถึงฆาต ไม่งั้นก็ต้องออกจากป่าอาณาเขตของมันให้ได้จึงจะหลุดพ้นจากขโมดป่า พอได้ยินดังนั้นพวกเรารู้สึกหมดหวังกันเลยทีเดียว แต่หลวงพี่บอก "ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้หลวงพี่จะนำพวกเราออกจากป่าเอง" แต่คืนนี้หลวงพี่บอกให้พวกเราอยู่กับหวงพี่สักนึงคืนก่อน พวกเราตกลงจะอยู่กับหลวงพี่หนึ่งคืน พวกเราก้อได้ทำที่พักแรมชั่วคราวอยู่กับหลวงพี่ในคืนนี้ พวกเราจัดเตรียมฟืนอย่างมากเพราะไม่อยากให้คืนนี้ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
และแล้วเวลาที่เราไม่อยากให้ถึงก็มาถึงเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าความมืดมิดก็มาเยือนบรรยากาศเดิมๆ แต่คืนนี้รู้สึกอุ่นใจกว่าเพราะมีหลวงพี่อยู่ด้วย หลวงพี่นั่งอยู่ในกลดนั่งสมาธิตลอดเวลา ส่วนพวกเรานั้นก้อไม่มีใครกล้าหลับเลยสักคน แต่แล้วด้วยความเพลียบวกความล้าที่เมื่อคืนไม่ได้นอนเต็มที่ผมก็ผลอยหลับไปอีก และแล้วเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่ง ผมก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว เพราะผมได้ยินคนเรียกชื่ออีกแล้ว เป็นเสียงเดิม ในขณะที่ผมตื่นขึ้นมาก็เห็นทุกคนในคณะเล็งปืนกันไปมาที่ยอดไม้ พ่อผมบอกกะทุกคนว่ามันมาอีกแล้ว เสียงผู้หญิงหัวเราะลั่น ในบริเวณนั้น ผมได้ยินเสียงนั้นทำให้ผมขนลุกทั้งตัว ขวัญหายกระเจิงเลยทีเดียว เสียงนั้นหัวเราะ และพูดว่า "พวกมึงคิดว่าไอ้โล้นจะช่วยพวกมึงได้งั้นหรือ ฮ่าๆ" พ่อผมพยามส่องไฟฉายไปมาตามยอดไม้แต่ก้อไม่เห็นตัว ซักพักเสียงก็หายไป และความเงียบก็กลับมาดั่งเดิม ส่วนหลวงพี่ก็ยังคงนั่งสมาธิในกลดอยู่ พ่อผมจึงไปบอกหลวงพี่ว่า "เมื่อกี้นี้แหล่ะครับหลวงพี่ที่พวกผมเจอเมื่อคืน" แต่หลวงพี่กับไม่ตอบ กับนั่งสมาธิต่อ พ่อผมเห็นดั่งนั้นจึงไม่กวนหลวงพี่ ปล่อยให้หลวงพี่นั่งสมาธิต่อไป พวกเรากลัวกันมากจนต้องไปอยู่ใกล้ๆกับหลวงพี่เลยทีเดียวในตอนนี้ พวกเราในตอนนี้ไม่มีใครกล้าหลับซักคน จนเวลาผ่านมาประณตีสามเศษๆ พวกเราซึ่งนั่งกันมาซักพักก็เริ่มจะเคลิ้มหลับกัน จู่ๆ ป่าไผ่ที่อยู่ข้างหน้าของเราก็สั่นไหวมองไปในความมืดคล้ายๆกับคนที่มีความสูงมากๆสูงขนาดเลยยอดไผ่เลยทีเดียว แต่ก็ผอมมาก แขนยาว ขายาว ตาแดงกล่ำ ระยะน่าจะห่างกับที่พวกเราอยู่ประมาณเกือบร้อยเมตร กำลังมุ่งหน้ามาหาเรา พวกเราเห็นอย่างนั้น ต่างร้องอุทานและกลัวกันเป็นอย่างมากผมจำได้ผมกลัวจนต้องมุดกลดหลวงพี่เลย แล้วพวกผมก็ได้ยินเสียงเดิมเสียงผู้หญิงคนนั้นพูดว่า "กูจะทำให้พวกมึงตายให้หมดทุกคน" ผมกลัวมากที่สุดในชีวิตเลยตอนนั้น ด้วยความกลัวของทุกคนจึงยิงปืนใส่กับสิ่งนั้นแต่ก็เหมือนกระสุนผ่านทะลุไปไม่ปะทะกับสิ่งนั้นเลย หลวงพี่ ณ ตอนนี้ได้ลืมตาขึ้นและออกจากกลด ท่านออกไปแล้วยืนพนมมือพร้อมสวดอะไรบางอย่างออกมา พร้อมกับพูดกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่า "สิ่งที่โยมทำเป็นสิ่งที่มุ่งร้ายชีวิตผู้อื่นซึ่งเป็นการสร้างกรรมให้กับตัวเองโยมควรละทิ้งความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายไม่ควรที่จะแก้แค้นกับผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย การกระทำของโยมนั้นมีแต่จะรั้งให้โยมต้องชดใช้กรรมอย่างนี้ต่อไป" เมื่อหลวงพี่พูดจบวิญญาญนั้นก็สงบไม่ไหวติง ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อของพวกเรา พวกผมรู้สึกเหมือนยกเขาออกจากอก ได้พ้นจากความกดดันนี้เสียที พวกเราทั้งหมดได้ก้มลงกราบหลวงพี่ทันที หลวงพี่ได้บอกพวกเราว่า "พวกเราปลอดภัยแล้วนะ" พวกเรารู้สึกผ่อนคลายอย่างมากเมื่อหลวงพี่ได้พูดอย่างนี้ จากนั้นพวกเราก็เผลอหลับกันไปทั้งหมดทุกคนด้วยความเหนื่อยล้าที่ผ่านมา จนเช้านั้นพวกเราก็ได้ตื่นขึ้นมา แต่! เราตื่นมากับไม่พบหลวงพี่ หลวงพี่หายไปไหนกัน พวกเราหาหลวงพี่กันพักนึงก็ไม่เจอ แต่ที่น่าแปลกใจคือที่ปักกลดของหลวงพี่เมื่อคืนนั้น ไม่มีสภาพร่องรอยอะไรเลย ทำให้พวกเราตกใจอย่างมาก แต่ก็เพราะหลวงพี่จึงทำให้เรารอดพ้นอันตรายเมื่อคืนนี้พวกเราจึงยกมือท้วมหัวทุกคนเพื่อขอบพระคุณหลวงพี่
ในตอนนั้นเองพ่อผมก้ได้เจอทางกลับซึ่งห่างจากจุดที่เราอยู่แค่20เมตรเท่านั้น ทุกคนดีใจเป็นอย่างมาก เราเดินทางกันในทันที เดินทางมาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เข้าสู่อาณาเขตหาของป่าทั่วไปของชาวบ้าน เราทุกคนต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก ผมได้รู้เลยว่าคำว่าตายแล้วเกิดใหม่เป็นยังไง เราเดินทางกันต่อประมาณสี่ชั่วโมงก้อเข้าเขตหมู่บ้าน
พวกเรามุ่งหน้ากันไปที่วัดกันก่อน เพราะพ่อของผมต้องการให้ไปอาบน้ำมนต์กันก่อน เพื่อชำระสิ่งไม่ดีออกไปก่อนกลับบ้าน พวกเราเดินทางมาถึงวัดในหมู่บ้าน จึงไปหาหลวงพ่อเพื่อให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ให้ พอทำพิธีเสร็จจึงได้ไปเล่าเหตุการณ์ที่เจอให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อถึงกับตาลุกวาว หลวงพ่อเล่าว่าสมัยที่หลวงพ่อยังเป็นเณรนั้น เคยมีพระรูปหนึ่งมาจากที่อื่นมาจำวัดที่นี่และได้ออกไปธุดงค์ในป่าองค์เดียวป่านั้นก็คือที่พวกผมเข้าไปนั้นเอง แต่ท่านก็ไม่กลับออกมาเลยสันนิฐานว่าอาจจะหลงป่าอยู่ในนั้นชาวบ้านทหารพรานเก่งๆเคยออกค้นหายังไงก็ไม่เจอจนทุกวันนี้ก็ไม่เจอท่านเลย ลักษณะท่านนั้นยังหนุ่ม ผิวพันธุ์ดี ซึ่งลักษณะที่หลวงพ่อพูดมาตรงกับที่พวกเราเห็นทุกประการ ส่วนโขมดป่านั้นหลวงพ่อเคยได้ยินมาบ้างเป็นเรื่องเล่าจากรุ่นทวด บอกว่าโขมดป่าคือวิญญานของสัตว์ ที่ตายในป่า เมื่อตายไปก็จะกลายเป็นโขมดป่า คอยโจมตีหรือบังตาทำให้คนเดินป่าหลงทาง เป็นวิญญานที่ไม่ค่อยมีใครได้พบเจอ แสดงว่าพวกเรานี่โชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เจอโขมดดงกันแน่ แต่ถ้าเราไม่ได้หลวงพี่ที่ปักกลดช่วยในวันนั้นเราก็คงไม่รอดาถึงทุกวันนี้
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับถ้าท่านชอบโปรดกดติดตามไว้เพื่อให้เป็นกำลังใจในการทำต่อไป และเร็วๆนี้อาจได้เจอกันในยูทูปนะครับขอบคุณครับ 💗
โฆษณา