19 มิ.ย. 2020 เวลา 06:56 • ครอบครัว & เด็ก
รักอย่างไรไม่ตาบอด
“รัก” คำสั้นๆ ที่สุดแสนจะมีความหมาย และทรงอิทธิพลต่อชีวิต
เมื่อคนเรา “ตกหลุมรัก” ในช่วงแรกๆ เราจะรู้สึกหลงใหล ใจเต้นแรง คิดถึงคนที่ตนรักทีไรก็หน้าแดง นั่นเพราะฮอร์โมน “อะดรีนาลีน (Adrenalin)” พลุ่งพล่าน บางคนรู้สึกว่าทั้งแขน ทั้งมือของตัวเอง ระเกะระกะ เดินสะดุดโน่นนี่ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนซุ่มซ่ามไปซะยังงั้น
มองไปที่ใดก็เหมือนเห็นคนที่ตนรักอยู่ทุกที่ ถึงแม้ว่าอยู่คนเดียว ก็มโนว่าคนที่ตนรักอยู่ข้างๆ มโนว่าได้ยินเสียงคนรักพูดคุยกับตนเอง แม้ว่ากอดก่ายหมอนข้างลูกเดิมแต่กลับรู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น เสมือนว่าคนที่ตนรักเป็นหมอน เป็นหมอนข้าง เป็นผ้าห่ม สุดแต่จิตจะเนรมิตภาพความคิดความรู้สึก
อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ก็เพราะแก๊งค์ฮอร์โมนตัวการ ที่ผู้ร่วมขบวนการ มีชื่อว่า เทสโทสเทอโรน (Testosterone) เอสโตรเจน (Estrogen) ซีโรโตนิน (Serotonin) ฮอร์โมนเหล่านี้รวมหัวกัน ทำให้คนที่มีความรักเกิดความรู้สึก “อยาก”
...อยากให้เขารักตอบ
...อยากอยู่ใกล้ๆ
...อยากทำสิ่งดีๆ ให้
...อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันมากๆ
...อยากให้โลกทั้งใบมีแค่เราสองคน
...อยากกอด
...อยากถูกกอด
...อยาก…………
เจ้าฮอร์โมนแก๊งค์นี้ วุ่นวายซะจริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วน ให้คนที่ตกหลุมรักเกิดอาการไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนั้นแล้ว ยังทำให้ไม่เห็นข้อเสียของคนที่เรารู้สึกตกหลุมรัก หรือถึงแม้ได้เห็น ได้รับรู้ ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร บางคนเมื่อได้ยินใครพูดถึงข้อเสียของคนที่ตนรัก กลับรู้สึกขำๆ รู้สึกว่า...ก็น่ารักดี ไปซะอีก
รักอย่างไรไม่ตาบอด / Psychiczin
Psychiczin ขอยกตัวอย่างเคสหนึ่งที่เกิดขึ้นจริง
คุณปัญญ์ (นามสมมุติ) เป็นหนุ่มวิศวะคอมพิวเตอร์ หน้าตาดี การพูดจาสุภาพมากๆ ผลการทำงานก็ดี นิสัยดี เพื่อนๆ ในแผนกเดียวกัน และต่างแผนก ล้วนชื่นชอบพฤติกรรมที่ดีและมีน้ำใจของคุณปัญญ์
คุณปัญญ์ ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งได้ 1 ปีเศษ จึงชวนคนรักของตนซึ่งคบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย รวมแล้วคบกันเกือบ 4 ปี มาสมัครงานอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งว่างพอดี
บ่อยครั้งที่คนรักของคุณปัญญ์ มีปัญหากระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วมงาน พูดแดกดันเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนในแผนกของคุณปัญญ์ หากเกิดความไม่พอใจ ความรุนแรงของคำก็ตามระดับของอารมณ์ แบบที่โบราณว่า “ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม” ถึงแม้หัวหน้างานจะเคยเรียกไปตักเตือน แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในส่วนของการทำงานนั้น คนรักของคุณปัญญ์ก็ทำงานได้ในระดับดี และมีความรับผิดชอบต่องานดีพอสมควร
หลายครั้งที่เพื่อนร่วมงานถามคุณปัญญ์ประมาณว่า คุณปัญญ์และคนรัก มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำไมทนคบกันได้ ทำไมคุณปัญญ์ถึงไม่หาคนรักที่สุภาพ ในแบบเดียวกัน
คุณปัญญ์เคยตอบไปว่า “ไม่มีใครที่ดีพร้อมไปทุกเรื่อง ถ้าเราจริงใจคบใคร เราต้องมองข้ามสิ่งที่ไม่ดีของเขา ผมเองก็เช่นกัน มีทั้งส่วนดี และไม่ดี มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ผมไม่เคยต้องทนกับพฤติกรรมของเขา เพราะผมไม่เก็บมาคิดครับ”
ฟังคำพูดของคุณปัญญ์ ก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ผู้เขียนเองก็เคยถูกสอนมาเช่นนี้ แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม
แล้ววันหนึ่ง…. คุณปัญญ์แจ้งขอลาหยุด 1 สัปดาห์ และต่อมาก็แจ้งภายหลังขอเพิ่มลาหยุดต่ออีกสัปดาห์ โดยยินดีไม่รับเงินเดือน เนื่องจากความจำเป็นต้องเคลียร์ปัญหาทางบ้านที่ต่างจังหวัด
คนรักของคุณปัญญ์ลาหยุดแค่ 3 วัน ซึ่งอยู่ในช่วงระยะที่คุณปัญญ์ลาครั้งแรก และเมื่อมาปฏิบัติงาน ก็ยื่นใบลาออกทันที โดยให้เหตุผลว่า...ได้งานใหม่
เมื่อคุณปัญญ์กลับมาทำงาน ก็เหมือนจะสิงอยู่กับงาน งาน และงาน ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณปัญญ์เลย จากที่บรรดาๆ เพื่อนๆ คิดว่า “เดี๋ยวกลับมาต้องถามซะหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” กลายเป็น ไม่มีใครกล้า บรรยากาศเงียบเชียบราวทำงานอยู่ในอวกาศ ได้ยินเสียงคุณปัญญ์แค่เรื่องงาน และนำเสนองานในที่ประชุมแค่นั้น น้ำเสียงยังคงความสุภาพ แต่สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงการผ่านเรื่องร้ายแรงมาอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน เมื่อได้ไปร่วมงานฉลองมงคลสมรสของเพื่อนในแผนก คุณปัญญ์จึงเปิดใจพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ให้ผู้เขียนและเพื่อนๆ ฟัง (จริงๆ แล้ว คงทนสายตาอยากรู้ของบรรดาผองเพื่อนไม่ไหว…)
“...การที่ผมเคยคิดว่า หากเรารัก จริงใจ ตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกันกับใคร ผมควรมองเห็นแต่สิ่งดีๆ ของเขา มองข้ามสิ่งที่ไม่ดี เพราะคนเราล้วนมีทั้งด้าน ดี ไม่ดี อยู่ในตัวทุกคน ...และวันหนึ่งผมรู้แล้วว่า ผมคิดผิด…” น้ำเสียงและอารมณ์ของคุณปัญญ์สดใสขึ้น ถึงแม้จะยังไม่เหมือนคุณปัญญ์คนเดิมซะทีเดียว
“ผมไม่เคยสนใจ เวลาที่เขามีปัญหากับใคร เพราะผมคิดว่า เป็นเรื่องของเขา ผมให้เกียรติเขา ให้เขาเคลียร์ปัญหาด้วยสติปัญญาของเขาเอง ไม่เข้าไปบงการ ไม่เข้าไปก้าวก่าย สิ่งที่ผมทำทุกครั้งเมื่อเขาเครียดจากการมีปัญหากับคนอื่นๆ ก็คือ การพาเขาไปทานอาหารอร่อยๆ หรือทำอาหารให้เขาทาน จะได้อารมณ์ดีขึ้น….แค่นั้น”
เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้หญิง มองหน้ากัน … โห!! ดีอ่ะ.. อยากได้แบบนี้ หาได้จากไหนเนื่ย โอปป้าอ่ะ … แล้ว???
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะช่วยเขาปรับปรุงนิสัย ลดพฤติกรรมก้าวร้าว และควรต้องช่วยเขาให้รู้จักคำว่า..มารยาททางสังคม”
“ผมให้ความรักบังตา มองเห็น ก็แสร้งว่าไม่เห็น ไม่ตักเตือน ไม่ช่วยกันแก้ไข”
“ผมในฐานะที่เป็น คนรัก ของเขาในขณะนั้น...การไม่ตักเตือน การไม่ช่วยปรับปรุง ก็เสมือน..การสนับสนุนให้เขามั่่นใจ ที่ทำเช่นนั้น เป็นแบบนั้นต่อไป และทวีความรุนแรงขึ้น”
“และในที่สุด...เขาก็แสดงทั้งพฤติกรรมและคำพูดแย่ๆ หยาบๆ แบบที่เขาเคยทำกับคนอื่น แต่ครั้งนี้..เขาทำกับพ่อแม่ของผม โรคประจำตัวของแม่ผมกำเริบ จนผมเกือบสูญเสียแม่ และเมื่อผมโทรบอกให้เขารู้ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาไปอาละวาดถึงบ้านพ่อแม่ของผมแล้ว คำตอบที่ได้คือ ชักให้ตายไปเลย...แก่รกโลก”
“วันนั้น...จากที่ผมคิดว่า จะพาเขากลับไปขอขมาพ่อแม่ของผม คือ...มันเปลี่ยนไปทันที”
“เจ็บมั๊ย...เจ็บมาก แต่ความเจ็บจากความรักพังสะบั้นลง ความผิดหวัง มันเทียบค่าไม่ได้เลยกับ ความเจ็บปวดใจของพ่อแม่ เทียบไม่ได้เลยกับชีวิตแม่ของผม การที่ผมมีส่วนที่ทำให้พ่อแม่ต้องพบกับเหตุการณ์วันนั้น ก็เพราะผมไม่พยายามเปลี่ยนพฤติกรรมด้านลบของเขา ผมไม่คิดจะเปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ ผมปล่อยให้ความรักบังตา ปล่อยให้ความรักอยู่เหนือความถูกต้อง หากผมแต่งงานมีลูกกับเขา ลูกของผมจะถูกหล่อหลอมด้วยพฤติกรรมแบบนั้นหรือ...ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย”
“ผมเห็นแก่โลกของผม ที่มีผมกับเขา จนละเลยสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไรกัน”
………………………………...
รักอย่างไรไม่ตาบอด / Psychiczin
อาการหยุดโลกทั้งใบ ไม่รับรู้การเคลื่อนไหวของใครๆ เพราะมีโลกใบใหม่สำหรับตัวเองและคนที่รักนั้น เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในทุกๆ คนที่มีความรัก
นอกจากแก๊งค์ฮอร์โมนสุดวุ่นวายที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีฮอร์โมนอีกตัวหนึ่ง ชื่อว่า ออกซิโทซิน (Oxytocin) โดพามีน (Dopamine) หรือ ฮอร์โมนแห่งความรัก (Love Hormone)
.
.
( Psychiczin เคยเขียนเรื่องของบรรดา ฮอร์โมน ไว้ในบทความ “7 วิธีเอาตัวรอดเมื่อโดนความรักทำร้าย” สามารถคลิกอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรดาฮอร์โมนที่แสนวุ่นวายได้ที่
ระดับของ ออกซิโทซิน มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกอยากผูกพันถึงระดับความอยากเป็นเจ้าของ อยากสร้างครอบครัว หวง ห่วง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้ยินเสียง
การได้รับการสัมผัส การกอด การมีเพศสัมพันธ์ ล้วนทำให้สมองหลั่ง ออกซิโทซิน เพิ่มมากขึ้น ยิ่งมาผสมโรงกับ เอนดอร์ฟิน (Endorphin) ที่ถือว่าเป็น พี่น้องฮอร์โมนแห่งความสุข เพราะกำเนิดมาจากที่เดียวกัน คือ ต่อมใต้สมอง ดังนั้น อาการของความรักความผูกพัน เธอเป็นของฉัน ฉันเป็นของเธอ พันเกี่ยวดังเช่นเถาวัลย์ ส่วนจะพันกันแน่นเหนียวแข็งแกร่ง ยืนยาว ก็สุดแต่ความเข้มข้นของฮอร์โมน และ…... สติ
รักอย่างไรไม่ตาบอด / Psychiczin
เคยมีบางคนกล่าวว่า..
อย่าพูดเรื่องเหตุผล กับความรัก
เพราะความรัก เป็นเรื่องของอารมณ์
แต่ถ้าเราปล่อยให้ความรัก มีแต่เรื่องของอารมณ์
อย่าลืมว่า อารมณ์ มีช่วงเวลาของมัน
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเสียใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
คุณเศร้า อารมณ์เศร้าของคุณจะส่งผลกับคุณในช่วงเวลาหนึ่ง อาจทำให้คุณไม่อยากกินอะไร ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากไปไหน เมื่อเวลาช่วยเยียวยา อารมณ์เศร้าของคุณก็จะลดลง บางคนอาจลบออกไปได้เลย แต่บางคนถึงแม้ไม่ลืมก็ไม่ได้จมกับความเศร้าโศกฟูมฟาย อีกต่อไป
ดังนั้น อารมณ์ .. ย่อมมีเวลาที่จะหมดไป
ในขณะที่อารมณ์หมดเวลาของมัน
แต่ถ้าความรักนั้น มีเหตุผลเป็นองค์ประกอบด้วย
เหตุผล.. ยังอยู่ ความรักก็จะยังคงอยู่
ความรัก.. ถูกสร้างด้วยอารมณ์
แต่เหตุผล.. คือลำต้นที่แข็งแกร่งของความรัก
ความรัก...เหมือนดอกไม้สวยงาม
แต่การจะคงความสวยงามอยู่ได้ ลำต้นต้องสมบูรณ์แข็งแรง
“ความรักที่ไม่ตาบอด” คือ “การร่วมกันสร้างลำต้นของความรัก” ให้แข็งแรงด้วยปุ๋ยที่ชื่อว่า “สติ” ที่จะช่วยคลุกเคล้า อารมณ์ และ เหตุผล ของชีวิตรักให้ลงตัว
มีรัก...ย่อมมีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
แต่อย่ามองข้ามความทุกข์ เพื่อรักษาความรัก
อย่ากลัวความทุกข์ จนหลีกหนีความรัก
จงช่วยกัน.. รดน้ำพรวนดิน ปรับปรุงชีวิตรักด้วยเหตุผล จนกลายเป็นลำต้นแห่งรักที่แข็งแกร่งยืนยาว
ด้วยรัก
Psychiczin
#ความรัก #ชีวิตรัก #จิตวิทยา #ความสุข #บทความความรัก #สุขภาพจิต #ครอบครัว
โฆษณา