19 มิ.ย. 2020 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
Resilience คืออะไร ? แล้วเราจะนำมาปรับใช้ได้ยังไง ?
คิดว่าถ้าเขียนเรื่องนี้ในเวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของ ธุรกิจ ของ การทำงานในบริษัทเองก็ค่อนข้างจากหน้ามือเป็นหลังมือ
วันนี้เราจะมาย่อยเรื่องของ Resilience ให้เพื่อนๆอ่านกน
เข้าใจว่าน่าจะมีบทความหลายๆที่ได้พูดถึงไว้บ้างแล้วเนอะ มาลองอ่านดูเวอร์ชั่นของเราบ้าง
1. มารู้จัก Resilience กันก่อน
- Resilience แปลอย่างตรงตัวก็คือความยืดหยุ่นนี้เองเนอะ
คือการที่เราสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และยืดหยุ่นกับสถานการณ์ที่ลำบาก หรือไม่แน่นอน
- ความเข้าใจผิดก็คือ Resilience ไม่ได้แปลว่า อดทนน้ะเพื่อนๆ 555 เราว่าหลายๆคนอาจจะตีความว่า Resilience คือการ "อยู่เป็น" "อยู่ให้รอด" "อยู่ไปก่อน ทนๆเงียบไป"
- Resilience คือความสามารถอย่างหนึ่งที่คนเราสามารถพัฒนาได้ เพื่อให้ตัวเองสามารถตอบสนองและผ่านเหตุการณ์ตึงเครียด ต่อให้เราไม่ได้สบายใจหรือมั่นใจเลยก็ตาม หรือเปลี่ยนร้านให้กลับมาดีได้ด้วยตัวเรา เราเรียกว่า Bounce Back (น่าจะได้ยินบ่อยๆเนอะ)
ทำไมเราถึงต้องพัฒนาสกิล Resilience กันนะ ?
- อาจจะเพราะที่ทำงานมีการสนับสนุนเรื่องนี้ (แต่อย่าเอาแค่เหตุผลนี้มาเลยน้า แงง มันมีหลายอย่างที่ดีกับตัวเราเองน้าา อย่าให้ใครมาบังคับเราจิ :) )
- เพื่อนๆเคยจมอยู่กับความเครียดไม๊ ? หาทางออกไม่เจอ ? ทำอะไรไม่ถูก ? เริ่มอะไรไม่ได้ ? อ่าาๆๆ นั้นแหละๆ งั้นไปอ่านต่อกันเลยย
2. แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า เรามีความ Resilience เท่าไร ? เอ้ะ หรือไม่มีเลย ?
ก่อนอื่นต้องรู้ตัวเองก่อนนะ ว่าเราอยู่ในระดับไหนก่อน
Assessment yourself Stress level
- เริ่มจากการสังเกตตัวเองก่อนนะ โดยเราจะแบ่งเป็น 4 ระดับ จริงๆแค่ถามตัวเราเองก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องแบบไปทำแบบบสอบถามอะไรขนาดนั้น
1. Calm (Low-Low)
- ในstageนี้ เอาตรงๆเรียกได้ว่าแทบจะไปเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่โดนอะไรกระทบ และเช่นเดียวกัน เราก็ ไม่ได้พัฒนาอะไรด้วย
2. Anxious (High-Low)
- โอยแน่นอนว่า ความตึงเครียดเยอะขึ้น แต่เพื่อนๆไม่ได้มีสกิลปรับตัว หรือปรับความคิดได้เลย ระยะนี้เราเรียกว่า ภาวะกระวนกระวาย Anxious แต่อีกอย่างเราชอบเรียกว่า Panic เราก็เป็นบ่อย 555
1
3. Strong (Low-High)
- ถ้าเพื่อนๆตกอยู่ในะระยะนี้ จะเรียกว่าเพื่อนๆเป็นคนขี้ระแวงก็ไม่เชิงนะ อาจจะเป็นคนที่วางแผนดีอยู่แล้ว
- ข้อดีคือ เพื่อนๆพร้อมที่จะรับมือกับความตึงเครียด ซึ่งดีแล้วว ^^
4. Resilience (High-High)
- จะให้ดีที่สุดคือ เพื่อนๆต้องควบคุม skill การการจัดการชีวิตและความคิดของเพื่อนๆให้ได้ในสถานการณ์ที่ลำบากและอึดอัดนะ นั้นละจะเรียกว่า Resilience
- หลายๆคนก่อนหน้านี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในเบอร์ 3 ....... พอมองย้อนกลับมาดูในปัจจุบัน เราอาจจะถอยเป็นเบอร์ 2 ไปแล้วก็ได้น้า
1
3. Pre-Event Resilience Skill (ภาวะเตรียมพร้อม!)
ต้องมีอะไรบ้าง แล้วเพื่อนๆจะสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างไรน้อ ?
- Build a resilience threshold
พอพูดถึงตัว threshold หรือขอบเขต ให้เรานึกถึงภาพ จุดเดือน หรือปรอทอุณหภูมิ ตัวเลขบอกอุณหภูมิยิ่งเยอะเท่าไร นั้นก็หมายความว่า threshold กว้างขึ้นเนาะ การที่เรามีขอบเขตความยืดหยุ่นเพิ่มเนี่ย จะสามารถทำให้เรายืนหยัดอยู่ในเหตุการณ์อันอยากลำบากได้ แต่เพื่อนๆต้องเพิ่มกรอบให้ตัวเองก่อนน้า
- Practice response to rejection
ไม่มีใครชอบได้ยินการปฏิเสธนักหรอก (เราด้วยยย) และหลายๆคนเลือกที่จะไม่พูด
และนั้นเองคือ 1 ในบ่อเกิดของความไม่แน่นอน หรือความลำบากที่จะตามมาในอนาคต
เพราะงั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้คือ การคาดคะเนเหตุการณ์ และเป็นไปได้คือ การถามกลับเพื่อ make sure ว่า เราจะไม่พลาด ไม่โดนปฏิเสธ หรือในกรณีที่มันไม่ได้ เราจะได้เตรียมตัวให้พร้อม
- Learn something NEW !
น่าจะง่ายที่สุดแล้วละ อิอิ การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ การอ่านบทความในนี้เองก็เป็นสิ่งที่เพื่อนๆกำลังให้อาหารสมองตัวเองอยู่ :) เชื่อหรือไม่ว่า พอเพื่อนๆรู้เยอะขึ้น เพื่อนๆจะมีกระบวนการความคิดป้องกันในหัวขึ้นมาเองง
- Face uncomfortable situations
"being comfortable with uncomfortable" ได้ยินกันบ่อยไม๊เพื่อนๆ 555 เราน้ะได้ยินบ่อยเลยละ จากองค์กรของเรา ฮ่าๆ
หรืออีกความหายนึงก็คือ ขยายเขต Comfort Zone โดยค่อยเริ่มจากการขยับเล็กๆ ไปเรื่อยๆ เช่นสมมุติ เพื่อนๆไม่ชอบออกกำลังกาย แต่พอปิดเมือง ก็ออกไปได้ไม่ได้ ได้ตแต่กินเท่านั้น ดารพัฒนาตัวเองอย่างง่ายที่สุดก็คือ เปิด Youtube สอนเต้น แอโรบิค หรือโยคะ แล้วทำตาม อย่างสม่ำเสมอในทุกวัน แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการขยับเพียงเล็กน้อยนะ ค่อยๆขยับไปเรื่อยๆ ^^
- บริหารพลังงานใจ และ กายให้เต็ม 100% เสมอ ให้รางวัลตัวเอง
ก็เพราะว่า อันนี้เราพูดถึง Pre-event อยู่ หรือในช่วงเวลาสร้งความพร้อมและความคุ้มกันให้ตัวเอง การทำให้ตัวเองพร้อมและมีพลังงานอยู่ตลอดเวลา คือสิ่งที่ดีที่สุด คนเราก็เหมือนแบตเตอรี่ ใช่หมดก็ต้องชาร์จจจ
- Positive Thinking
อ้ะ มองโลกในแง่บวกกก (ไม่ได้ให้มองโลกสวยเชิงประชดนะ แงงง) แต่คือ ถ้าเรารู้ตัวว่าเรากำลัง Panic ก็....ใจเย็นสูดหายใจเข้าเยอะๆ ลองฝึกคิดเรื่องดีๆบ้าง วันละ 15 นาทีก็ยังดี ลองฝึกแบบนี้ได้นะ
>> อย่าไปมองเหตุการณ์ที่ไกลเกินไป พอๆ
>> ให้ความสนใจกับปัจจุบันก่อน ใจเย็นๆ
>> ถ้าหยุดคิดมาก มองในแง่ดีไม่ได้ งั้นลองถามตัวเองว่า Worst case ที่เราจะเจอคืออะไร ? แล้วเรามีวิธีอะไรในการแก้บ้างรึยัง ? แต่อย่าจมปลัก
>> ทุกสิ่งทุกอย่างมีหลายมุม แล้วเรามองออกไปแล้วกี่มุมเอ่ย ?
4. Post-Event Resilience Skill (ภาวะรับมือ!)
 อันนี้คือ เรากำลังเผชิญกับเหตุการณ์แย่ๆเหล่านี้อยู่ (หรืออาจจะผ่านไปแล้ว)
- Evaluate the action
ใจเย็นๆ แล้วลองมองย้อนกลับไปสิว่า เอ้า เกิดอะไรขึ้นบ้างน้า
>> Core problem คืออะไร ?
>> How you reflect แล้วเราตอบสนองกับมันอย่างไรไป ?
>> จริงๆแล้วเราควรจะมีแผนสำรองหรือไม่น้า ?
- Choose your Attitude
อ้าาา Attitude ก็จะมี Negative, Positive อย่างใดอย่างนึงมากกเกินเนอะ
ทีนี้ วิธีการที่เราจะ Balance เค้าเนี่ย
>> ถ้าเรามอง Negative มากไปเลย อาจจะลองถามดูว่า
เราโยนความผิดใส่คนอื่นอยู่รึเปล่า ?? เรายอมรับในสิ่งที่เกิดหรือไม่ ??
>> ถ้ามอง Positive มากเกินไป
นี่เราฝันอยู่รึเปล่านะ ? เราเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า ?
>> ควรจะมีการคิดทาง negative หรือให้มันเป็นส่วนปรับปรุง และมองในแง่ positive เพื่อต่อเติมพลังให้ตัวเอง
- พักเบรค/ ลองมองภาพกว้างๆ / ลองกลับไปเผชิญหน้าใหม่
จริงๆ เราอาจจะแค่เครียดสะสม....... ลองพักสักนิ้ดนึง น่าจะดีที่สุด
หันกลับมามองภาพใหญ่ๆ มองสิ่งรอบข้างที่เป็นปกติ หากำลังใจ
แล้วกลับไปลุยใหม่ ยังไงซะ เราไม่มีทางหนีปัญหานี้ได้หรอก !
- Carthartic action, Let it gooooo
ใจเย็นๆๆๆ เราไม่ค่อยจะพูดประโยคนี้ ซึ่งคือ การปล่อยวางมันลงบ้าง ไม่ได้เชิงปลงนะ ปล่อยออกไปบ้าง เครียดมาเกิน 100% ก็ลองลดมัน หยุดคิดมัน เก็บไว้เหลือแค่ 50% เอาไว้ลุยให้เสร็จก่อนดีไม๊น้ะ ?
เล็ท อิทททโก้ววววว เล้ท อิท โกกววว
จบแว้วจ้าาาา หวังว่าเพื่อนๆคงได้รู้จักเจ้า Resilience กันมากขึ้น
และหาความ Resilience ของเพื่อนๆได้เพิ่มขึ้นกันน้ะ (เราด้วย 55)
โฆษณา