ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2496 เป็นลูกชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ตั้งรกรากอยู่แถวตรอกจันทน์ กรุงเทพฯ คุณพ่อประกอบอาชีพเป็นช่างไม้ ฐานะทางบ้านในขณะนั้นถือว่า “ยากจน” ดร.นิเวศน์เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 3 คน ในวัยเด็กเพื่อช่วยเหลือทางบ้าน ดร.นิเวศน์เริ่มรู้จักหารายได้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 8 - 9 ขวบ ด้วยการลงทุน 7.50 บาท ไปซื้อหมากฝรั่ง และแบ่งขายปลีกแก่เพื่อนๆ ได้เงินมา 12 บาท จากนั้นจึงเริ่มขายขนมประเภทต่างๆ รวมทั้งรับจ้างทำงานพิเศษเพื่อหารายได้ การรู้จักหารายได้ด้วยตนเองตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ ดร.นิเวศน์ รู้จัก “คุณค่า” ของเงินจะซื้อสินค้าและบริการหรือลงทุน โดยจะเปรียบเทียบ “คุณค่าที่จะได้รับ” กับ “เงินที่จะต้องจ่าย” อยู่เสมอ
สำหรับประวัติการศึกษานั้น ดร.นิเวศน์จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนวัดดอน และจบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม หลังจากนั้นสามารถสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในปี พ.ศ. 2515 และสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.นิเวศน์ให้ข้อคิดว่า... “การศึกษาเป็นการลงทุนที่สำคัญของชีวิต ตอนที่ยังเป็นเด็ก ถ้าไม่ได้ลงทุนเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัย โอกาสที่จะประสบผลสำเร็จในชีวิตคงลดลงไปมหาศาล”
ในช่วงที่เรียนระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย ดร.นิเวศน์ฉายแววความขยันและมุ่งมั่นในหลายๆ เรื่อง ทั้งการเขียนบทความ ซึ่งได้รับคัดเลือกให้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ในช่วงที่เรียนมัธยม และการทดลองเป็นผู้ประกอบการเล็กๆ ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเพาะเห็ดฟาง เลี้ยงกุ้ง เปิดโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งมักประสบความล้มเหลวบ่อยๆ ทำให้ ดร.นิเวศน์ได้เรียนรู้ว่าการทำธุรกิจต้องอาศัยประสบการณ์ และองค์ประกอบที่สำคัญหลายอย่าง
ดร.นิเวศน์ เริ่มชีวิตการทำงานหลังจากจบวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาเครื่องกล ในปี พ.ศ. 2519 ที่โรงงานน้ำตาลของบริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในตำแหน่งวิศวกร เมื่อทำงานไปได้ 2 ปี ก็ได้รับการชักชวนจาก ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เพื่อนร่วมคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เรียนต่อระดับปริญญาโท MBA ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ (NIDA) ให้เข้ามาศึกษาต่อระดับปริญญาโท ซึ่งต้องเรียนในช่วงเวลาปกติ ไม่ใช่ภาคกลางคืนหรือเสาร์อาทิตย์ เมื่อไปขอลาออกเพื่อศึกษาต่อ ผู้บริหารของโรงงานน้ำตาลได้ต่อรองขอให้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย โดยลดเงินเดือนลง แต่ไม่ต้องลาออกจากงาน หลังจบ MBA ดร.นิเวศน์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าวิศวกร แต่เริ่มอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตบ้าง โดยเพื่อนคนเดิม คือ ดร.ไพบูลย์ ซึ่งได้ทุนเรียนต่อระดับปริญญาเอกด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี้ สหรัฐอเมริกา ได้ชักชวนให้มาเรียนต่อ ในที่สุดก็ได้รับการตอบรับเข้าเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี้ จึงได้ขอลาออกจากงานวิศวกรที่ทำมาเป็นเวลา 7 ปี
การไปเรียนต่อปริญญาเอกของ ดร.นิเวศน์ไปโดยไม่ได้มีเงินทุนมากนัก ไปแบบเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย โดยเป็นผู้ช่วยงานวิจัยและผู้ช่วยสอน โดยใช้เวลาประมาณ 4 ปี ก็สามารถจบการศึกษาระดับปริญญาเอก และกลับมาเริ่มชีวิตการทำงานในปี พ.ศ. 2529 ที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ IFCT ในตำแหน่งผู้จัดการสำนักวางแผนและบริหารการเงิน โดยทำงานที่ IFCT เป็นเวลา 7 ปี
หลังจากนั้น ได้ย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านวานิชธนกิจ ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ นวธนกิจ จำกัด (มหาชน) ในยุคที่ธุรกิจหลักทรัพย์เฟื่องฟูในปี พ.ศ. 2534 ดร.นิเวศน์เริ่มทดลองลงทุนมาบ้างตั้งแต่ตอนทำงาน IFCT และสัมผัสมากขึ้นตอนทำงานอยู่ที่นวธนกิจ ช่วงอยู่ที่นวธนกิจยังได้เริ่มต้นงานเขียน ซึ่งเป็นงานที่รักอีกครั้ง โดยแปลหนังสือ “คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” ซึ่งเป็นหนังสือแปลขายดีระดับ Best Seller มาจนบัดนี้
ในช่วงปี พ.ศ. 2538 - 2539 ระหว่างอยู่ที่นวธนกิจ ดร.นิเวศน์เริ่มศึกษาวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างจริงจัง และเริ่มมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตนเองบ้าง อย่างไรก็ตาม ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 ขณะนั้นเข้าดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการของนวธนกิจ ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวลงของนวธนกิจ และต้องตกงานในขณะอายุ 40 ปีเศษ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงยากลำบากของชีวิต แต่ในวิกฤตก็เป็นโอกาสที่ทำให้ ดร.นิเวศน์ ได้มีเวลากับการลงทุนมากขึ้น ดร.นิเวศน์ “ตีแตก” ด้วยการนำเงินลงทุนเริ่มต้น 10 ล้านบาท เข้ามาลงทุนแบบ VI จนพอร์ตการลงทุนบรรลุ 1,000 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีผ่านไปก่อนเขาอายุครบ 60 ปีด้วยซ้ำ
แม้ว่า ดร.นิเวศน์ จะกลับเข้าทำงานประจำอีกในปี พ.ศ. 2544 ที่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารความเสี่ยงและนโยบาย โดยลงทุนในหุ้นควบคู่กันไปด้วย แต่ก็เป็นช่วงที่ไม่นาน พอมาถึงปี พ.ศ. 2547 ดร.นิเวศน์คิดว่าตนเองมีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงินที่เพียงพอต่อการครองชีพของตนเองและครอบครัว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินเดือน และพบเป้าหมายที่ต้องการที่มากกว่า คือ การเป็น “ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน” จึงลาออกจากงานประจำอย่างถาวร เพื่อเป็น “นักลงทุนอย่างเต็มตัว”
2. เริ่มต้นชีวิตการลงทุนด้วยการ “ตีแตก”
ช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเกิดวิกฤตการเงิน “ต้มยำกุ้ง” ภาวะเศรษฐกิจไทยตกต่ำอย่างมาก รัฐบาลประกาศลดค่าเงิน และนำประเทศเข้าโครงการ IMF ดัชนีราคาหุ้นที่เคยสูงถึง 1,354 จุด ตอนต้นปี พ.ศ. 2539 ได้ลดลงเหลือ 373 จุด เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2540 นักลงทุนเจ็บหนักกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นนักเก็งกำไร หรือ Value Investor โดยภายในเวลา 2 ปีนั้น มูลค่าหุ้นทั้งตลาดหายไปถึง 73% หุ้นจำนวนมากกลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า
ขณะที่ตกงานในช่วงเวลานั้น ดร.นิเวศน์มีเงินทุนตั้งต้น 10 ล้านบาท ถ้านำไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 3% ต่อปี คิดเป็นรายได้ดอกเบี้ยปีละ 3 แสนบาท หรือประมาณ 3 หมื่นบาทต่อเดือน ในขณะที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวและส่งลูกเรียนด้วยรายได้ขนาดนี้ ถือว่าค่อนข้างลำบาก
ดร.นิเวศน์จึงตัดสินใจ “ตีแตก” ด้วยการนำเงินสะสมก้อนเดียวในชีวินขณะนั้น 10 ล้านบาท เข้าไปซื้อหุ้นที่ทำการวิเคราะห์ไว้อย่างดีแล้วว่ามีความปลอดภัย ให้ผลตอบแทนสูง คุ้มค่าในการลงทุน ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ มองว่าตลาดหุ้นไทยไม่มีความปลอดภัย แต่ ดร.นิเวศน์เชื่อว่ายังมีหุ้นที่อยู่รอดปลอดภัยและต้องดีขึ้นในอนาคต มีกำไร และจ่ายเงินปันผลดีขึ้น
ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี พ.ศ. 2540 ดร.นิเวศน์มองเห็นโอกาส คือ ไปพบว่าหุ้นบางตัวมีราคาลดลงมาเยอะมาก แต่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยกำไรและเงินปันผลไม่ได้ลดลง ดร.นิเวศน์จึงหาหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อหุ้นในขณะนั้น โดยเลือกหุ้นที่...
· รายได้ไม่ลด
· กำไรไม่ลด
· หนี้ไม่มี
· ความเสี่ยงที่จะเกิดจากความต้องการสินค้าน้อยลงมีน้อยมาก
· ราคาต่ำ แต่จ่ายเงินปันผลสูง
· มีจุดแข็งทางด้านการตลาด โดยมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 และเป็นผู้นำอย่างโดดเด่นซึ่งทิ้งห่างเบอร์ 2
การเลือกหุ้นแบบนี้ ทำให้ได้หุ้นที่มีความเสี่ยงเฉพาะตัวลดลงมาก และเมื่อรวมกันเป็นพอร์ตโฟลิโอ ความเสี่ยงของพอร์ตก็ต่ำ เงินปันผลที่ได้รับก็สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ถ้ายังไม่ขายหุ้นออกไป แม้ไม่ทำงานประจำก็น่าจะพออยู่ได้ และเมื่อเศรษฐกิจกลับมาดี หุ้นเหล่านี้ก็มีราคาสูงขึ้นในภายหลัง
พอร์ตตั้งต้น 10 ล้านบาทของ ดร.นิเวศน์ในปี พ.ศ. 2540 ให้ผลตอบแทนสูงเกือบ 13% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนั้นตกลงมามากกว่า 50% ดร.นิเวศน์อธิบายว่าในปี พ.ศ. 2540 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงไปอยู่ที่ 200 จุด แต่หุ้นที่เลือกตามหลัก VI ไม่ตกเลย ปรับขึ้นตลอด และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็ยิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้พอร์ตลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผมในฐานะผู้ตีความขอให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมก่อนจบบทความตอนแรกว่า... การ “ตีแตก” ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การ “ตีแตก” ของ ดร.นิเวศน์เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับวิกฤตในชีวิต จำเป็นต้องนำเงินก้อนเดียวที่มีอยู่ในชีวิตมา “ตีแตก” ด้วยการลงทุนในหุ้นคุณค่า ซึ่งผมเห็นว่ามาได้ถูกเวลา สถานที่ สภาพแวดล้อม และถูกตัวอย่างมาก แต่สำหรับคนอื่นๆ ผมเห็นว่า... เราไม่จำเป็นต้องออกจากงาน และนำเงินในกระปุกไปลงทุนแบบนี้ แต่เราอาจเริ่มนำเงินออมของเราที่แบ่งส่วนเอาไว้แล้ว ทยอยสร้างพอร์ตหุ้นคุณค่าแบบไม่ว่อกแว่ก ค่อยเป็นค่อยไป การยึดแนวทางการลงทุนแบบ VI นี้ ผมถือว่าเป็นการ “ตีแตก” ชนิดหนึ่งเหมือนกันครับ