21 มิ.ย. 2020 เวลา 13:16 • กีฬา
กว่าระยะเวลา 3 เดือนที่รอคอยในการได้กลับมาทำการเเข่งขันอีกครั้งของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เเน่นอนว่าแฟนบอลของหลาย ๆ ทีมคงตั้งหน้าตั้งตารอคอย เพื่อดูว่าท้ายที่สุดแล้ว บทสรุปของฤดูกาลนี้จะออกมาหน้าตาเป็นเช่นไร
เเละเเน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในการกลับมาครั้งนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นฝันร้ายของแฟนบอลอาร์เซน่อลไปเสียแล้ว หลาย ๆ คนคงยังรู้สึกเจ็บปวดกับผลการเเข่งขัน 2 นัดล่าสุด และเจ็บปวดกับอนาคตต่อจากนี้
ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะพักเบรกจากการเเพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อาร์เซน่อลในยุคของมิเกล อาร์เตต้า เป็นหนึ่งในทีมที่ค่อนข้างน่าจับตามมอง ยังไม่เเพ้ใครเลยนับตั้งเเต่ขึ้นปี 2020 ในลีกเเบ่งเป็นชนะ 3 เสมอ 3 เป็นทีมที่ฟอร์มการเล่นดูดีขึ้นเรื่อย ๆ นักเตะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่อาร์เตต้าต้องการมากขึ้น
แต่ทว่าหลังจากเปิดฉากกลับมาแข่งใหม่อีกครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างดูไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว
- ผลการเเข่งขันที่น่าผิดหวัง -
ผมคิดว่าหลัก ๆ แล้วนั้นมาจากการจัดตัวผู้เล่นและแผนการเล่นที่เปลี่ยนไปของอาร์เตต้า
ไม่รู้ว่าในระหว่างช่วงกักตัว อาร์เตต้าไปเรียนรู้หรือค้นคว้าอะไรเพิ่มเติมไปมากขนาดไหน แต่ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมไปโดยสิ้นเชิงจากตอนช่วงก่อนเบรก
จากเดิมอาร์เตต้ามีแผนที่ค่อนข้างชัดเจน คือ 4-2-3-1 โดยมีเมซุส โอซิลนำทัพเป็นเบอร์ 10 ของทีม แต่ทว่าเรากลับไม่เห็นโอซิลลงเล่นเลยแม้แต่วินาทีเดียวในช่วง 2 นัดล่าสุด
รวมทั้งแผนการเล่นที่ดูเปลี่ยนไปจากเดิม ตั้งแต่นัดที่พบกับแมนซิตี้ที่ใช้ 4-3-3 และนัดล่าสุด ที่เหมือนว่าจะเป็น 4-4-2 การเปลี่ยนแผนบ่อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เพราะว่าจะสร้างความสับสนให้แก่นักเตะ และเกิดความไม่ต่อเนื่องของความเข้าใจเกม ตัวอย่างมีให้เห็นในยุคของอูไน เอเมรี่แล้ว ว่าการเปลี่ยนแผนการเล่นทุกนัดทำให้เกิดฟอร์มการเล่นและรูปแบบการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่ต่อเนื่อง รวมทั้งเราจะเห็นได้ชัดว่าใน 2 นัดล่าสุดไม่ใช่เพียงแค่ผลการแข่งขันที่ออกมาไม่ดี แต่ว่าฟอร์มการเล่นในสนามนั้นก็ไม่ค่อยดีด้วยเช่นกัน อาร์เซน่อลแทบไม่สามารถทำเกมเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายของคู่แข่งได้เลย
แต่ถ้าเราลองมามองถึงเหตุผลที่อาร์เตต้าเปลี่ยนแผนการเล่นใน 2 นัดล่าสุดก็พอจะมีให้เห็นอยู่บ้าง
1. การเจอกับเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถือว่าเป็นอาจารย์ของอาร์เตต้า อาร์เตต้าอาจมีความกังวลว่าถ้าสมมติใช้แผนเดิมกับที่เคยเล่นคือ 4-2-3-1 เป๊ปอาจจะอ่านออกว่าเขาจะเล่นยังไง และคงเตรียมการรับมือมาได้เป็นอย่างดี ในวันนั้นอาร์เตต้าจึงเลือกที่จะฉีกการคาดคะเนไปเล่นในอีกระบบหนึ่งที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยมากนัก แต่ผมก็เชื่อว่าในการฝึกซ้อม อาร์เตต้าคงทำให้นักกเตะคุ้นชินกับแผนนี้ได้แล้ว แต่ก็ปรากฏว่า มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ที่อาจทำให้ทุกอย่างที่เตรียมการมาพังทลายลง ซึ่งก็คือเหตุผลในข้อสอง
2. นักเตะตัวหลักที่บาดเจ็บ และนักเตะที่เข้ามาทดแทนนั้นเป็นคนละสไตล์ ทำให้ไม่สามารถทดแทนในตำแหน่งนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ที่เห็นได้ชัดคือ แดนนี่ เซบายอส ที่ลงมาแทนการนิต ชาก้า
เซบายอสเป็นนักเตะสไตล์ Box-to-Box พอต้องมาเล่นในตำแหน่งของชาก้าที่เป็น Holding Midfield แล้ว จึงไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของตนได้เต็มที่มากนัก ดังนั้นในแมตช์ถัดมา อาร์เตต้าจึงเลือกใช้แผน 4-4-2 เพื่อตอบสนองการเล่นของเซบายอสให้มากยิ่งขึ้น
- อนาคตที่น่ากังวลต่อจากนี้ -
เพราะโอกาสในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปเหลือน้อยลงไปทุกที ไม่ต้องมองถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เอาแค่ยูโรป้าลีกก็ว่ายากแล้ว ถ้าหากเราลองมองถึงทีมอื่น ๆ ปีนี้พรีเมียร์ลีกไม่ได้มีแค่ Big 6 ในการเข้ามาแข่งขันจับจองพื้นที่ยุโรป แต่ยังมีเลสเตอร์ ซิตี้, วูล์ฟแฮมตัน และเชฟฟิลด์ ที่เข้ามาร่วมแจม การกลับออกมามือเปล่าจากเอเม็กซ์ สเตเดี้ยม เหมือนเป็นการปิดประตูสู่ฟุตบอลยุโรปไปเลยก็ว่าได้
ผู้เล่นตัวหลักที่บาดเจ็บ เป็นอีกอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญว่าทำไมอนาคตต่อจากนี้ถึงค่อนข้างน่ากังวลใจ ไม่ว่าจะเป็น
- กรานิต ชาก้า : ซึ่งเป็นตัวหลักของมิเกล อาร์เตต้าทุกนัด
- เปาโล มารี : ทำให้ตัวเลือกในแผงหลังลดลง การที่เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าชโคดราน มุสตาฟี่ เป็นกองหลังที่ดีที่สุดของอาร์เซน่อล ณ ตอนนี้ มันก็เป็นอะไรที่เราควรกังวลอยู่พอสมควร
- แบรนด์ เลโน่ : นี่คือการสูญเสียครั้งที่ใหญ่ที่สุดของฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้ ในสายตาของแฟนบอลอาร์เซน่อลนี่คือผู้เล่นที่ฟอร์มดีที่สุด ช่วยเซฟทีมนัดแล้วนัดเล่า เรียกว่าเป็นว่าที่ Player of the year ของอาร์เซน่อลในปีนี้เลยก็ไม่น่าเกลียด ดังนั้นการที่ต้องเสียเลโน่ไปในนัดที่เหลือของฤดูกาล รวมทั้งอาจยาวนานไปถึงฤดูกาลหน้า มันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเสียหายเป็นอย่างมากต่อทีม
ถ้าว่าตามตรงแล้วเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นนี่ก็เป็นตลกร้ายที่อยู่คู่ทีมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร "ใครก็ตามที่ย้ายมาแล้วไม่เจ็บ ถือว่าคุณยังไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณของความเป็นอาร์เซน่อล" ฟังแล้วอาจดูขำ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งผู้เล่นทั้งหน้าใหม่หน้าเก่า ถึงได้ผลัดกันเจ็บอยู่เรื่อยมา นี่เป็นสิ่งที่เเก้ไม่ตกจริง ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะไปคิดว่าเพียงเเค่ 2 แมตช์จะทำให้เสียตัวหลักไปได้ถึง 3 คน เรียกได้ว่าเจ็บกันจนแฟน ๆ ท้อเลยทีเดียว
ในวันที่อาร์เซน่อลในยุคของอาร์เซน เวนเกอร์ครองอันดับ 1 ใน 4 ของแต่ละปีมาได้ยาวนานแบบแทบไม่ต้องลุ้น ผมก็เคยมีความสงสัยว่าแฟนบอลของทีมใหญ่ ๆ จะรู้สึกอย่างไร ในวันที่ทีมของเขานั้นไม่ใหญ่อีกต่อไป
นิยามของคำว่าทีมใหญ่อาจมีหลากหลายตัวชี้วัดที่มากำหนด ไม่ว่าจะเป็นอันดับตารางคะแนน การไปเล่นฟุตบอลยุโรป มูลค่าโดยรวมของทีม ซึ่งแน่นอนว่าในตอนนี้ไม่ว่าจะตัวชี้วัดไหนก็บ่งบอกได้ว่า อาร์เซน่อลกำลังถดถอยลงจากการเป็นทีมใหญ่
- อันดับตารางคะแนนถดถอยทุกปี
- ฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ก็ไม่ได้เล่นมา 3 ปีติดต่อกัน ตั้งเเต่ 2017
- มูลค่าโดยรวมของทีมก็ลดลงจาก 2 ปัจจัยแรก รวมทั้งจากปัจจัยที่ว่านักเตะเกรดเอระดับซุปเปอร์สตาร์กำลังจะหมดไปจากทีม และคงไม่มีเข้ามาใหม่ในเร็ววันนี้ ดังนั้นภายในทีมทีมจะเหลือแค่นักเตะเกรดบี บีบวก เต็มไปหมด
คงต้องฝากความหวังไว้กับอาร์เตต้า ว่าเขาจะสามารถผลักดันพัฒนาให้เเข้งเหล่านั้น กลายเป็นเเข้งเกรดเอได้หรือไม่
กำลังใจเดียวที่นึกได้ตอนนี้ คือการหวนย้อนนึกถึงลิเวอร์พูล ในฤดูกาลแรกของเจอร์เก้น คล้อปป์ที่จบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 แต่พอมาดูลิเวอร์พูลในวันนี้ คล็อปป์สร้างทีมได้อย่างแข็งแกร่ง จนกำลังจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ถ้าจะบอกว่าสถานการณ์ลิเวอร์พูลในตอนนั้นไม่ต่างจากอาร์เซน่อล ณ ตอนนี้ก็น่าจะได้ (แต่เราอาจต้องหลอกตัวเอง มองข้ามความจริงสักนิดหน่อย ว่ามีปัจจัยที่ต่างกันอยู่ทั้งแนวทางของบอร์ดบริหาร รวมทั้งประสบการณ์ในการทำทีมของหัวเรืออย่างคล็อปป์และอาร์เตต้า)
ในตอนนี้ผมยังคงเชื่อมั่นว่าอาร์เตต้าเป็นคนที่ใช่สำหรับอาร์เซน่อล คงมีเพียงแค่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเราพิสูจน์สันนิษฐานข้อนี้
ที่ทำได้ในตอนนี้จึงมีเพียงแต่การปลอบใจตัวเอง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันก็คือวัฏจักรของทีมฟุตบอลที่เราต้องอยู่กับมัน มีขึ้น มีลง มีสำเร็จ มีล้มเหลว
และสักวันหนึ่ง
"เราก็จะกลับมา"
อีกครั้ง.
#COYG
🔴⚪️🔴⚪️
ขอบคุณรูปภาพจาก
Twitter: Arsenal
Facebook: Arsenal
โฆษณา