29 มิ.ย. 2020 เวลา 10:23
เราใช้ชีวิตแบบ'จิตใจพิการ' ทั้งที่ร่างกายแข็งแรงดีอยู่?
ท่านผู้อ่านทุกท่านคงเป็นผู้ที่มีสุขภาพที่แข็งแรงดีใช่ไหมครับ? เพราะถ้าสุขภาพแข็งแรงเช่นนี้ เราจึงสามารถทำสิ่งต่างๆ อย่างที่เราต้องการได้ ทั้งออกกำลังกายหรือใช้ร่างกายได้อย่างอิสระ ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าวันหนึ่งเราเคลื่อนไหวอวัยวะไม่ได้ตามใจเรา มือไม่มีแรงจะตักอาหารเข้าปาก พับแขนหรือเหยียดออกไม่ได้ตามปกติ ตอนที่ร่างกายมีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหว ไม่สามารถไปตามที่ใจต้องการได้
คนที่เคยปกติก็กลับกลายเป็นมีสภาพไม่ต่างจากผู้พิการครับ นึกภาพออกไหมครับ ว่าจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหน?
หากคนที่มีร่างกายปกติกำลังวิ่งอยู่บนถนน แล้วเห็นว่ามีรถแล่นมาใกล้ ก็จะต้องหยุดหรือหลบไม่ให้ถูกรถชนใช่ไหมครับ? ถ้าร่างกายเราแข็งแรงดี จะควบคุมให้หยุดนิ่งหรือเคลื่อนไหวก็สามารถทำได้ ต่างจากคนที่มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหว ต่อให้อยากจะหยุดในทันที ก็คงจะทำได้ลำบาก ผมอยากจะแบ่งปันมุมมองว่า จิตใจคนเราก็เป็นเช่นนั้น เรามีสิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นในใจ “ฉันก็อยากจะรวยนะ แต่มันยากที่จะเป็นแบบนั้น” “ฉันอยากจะเป็นคนที่มีความสุขนะ แต่ก็รู้สึกว่าไม่มี” “ฉันหวังว่าอยากจะเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีนะ แต่ก็สอบไม่ผ่าน”
แม้กระทั่งคนที่ติดเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติดเอง ก็มีใจที่อยากจะหยุดพฤติกรรมของตัวเอง แต่ไม่มีความสามารถที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด หลายคนก็มักจะยึดติดและจมอยู่กับความคิด ความต้องการนั้นเรื่อยๆ อาการแบบนี้เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเรากำลังใช้ชีวิตด้วยจิตใจที่มีความพิการ
ยกตัวอย่างตอนที่เราเรียนหนังสือ ก็คงเคยตั้งใจว่า อีกไม่กี่วันจะสอบแล้ว วันนี้จะต้องอ่านหนังสือให้จบ ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่อ่าน จู่ๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เริ่มเปิดเฟซบุ๊กเล่นเกมหรือนอนหลับไป รู้ตัวอีกทีก็เสียเวลาไปมากแล้ว โดยทั่วไปตอนที่เราคิดจะหยุดทำสิ่งที่ไม่ต้องการ มักจะบอกตัวเองว่า “พอแค่นี้”
แต่มันหยุดง่ายๆ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ? หรือสถานการณ์เป็นไปดั่งใจคุณไหม? หลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ บางทีแทบจะออกมาตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ผมรู้สึกว่าเรากลับทำสิ่งที่เราไม่ต้องการ ราวกับว่ามีใครกำลังลากเราไปทางนั้น ไม่อาจควบคุมได้ หากคุณปล่อยให้ตัวเองถูกลากไปตามความคิดนั้น รู้ไหมครับว่ามันจะส่งผลร้าย และทำให้ชีวิตของเราน่าสงสารขนาดไหน
ผมได้พบกับผู้หญิงเกาหลีใต้คนหนึ่ง เธอเป็นคนที่อยากจะมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขกับสามี หลังจากแต่งงานก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านสามี และให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารัก ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดี แต่หลังจากที่เธอคลอดลูก ร่างกายก็อ่อนแอ ทำให้สภาพจิตใจอ่อนแอไปด้วย เนื่องจากร่างกายยังไม่ปกติ ไม่ค่อยมีแรงและเริ่มกลัว หวาดระแวงว่า...
ถ้าเป็นแบบนี้นานๆ เธออาจจะตายก็ได้ ตอนนั้นเธอคนนี้มักจะอุ้มลูกออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อยากหนีไปไหนสักแห่งแต่ไม่มีที่ไป ไม่รู้จักใครแถวนั้นและด้วยใจที่เต็มไปด้วยความกลัว จึงตัดสินใจโบกแท็กซี่กลับบ้าน ซึ่งอยู่คนละจังหวัด ห่างออกไปประมาณ 100 กม.
ปกติแล้วจะต้องนั่งรถบัสไป พอไปถึงพี่ชายก็ต่อว่าเธอว่าทำไมถึงพาลูกเล็กๆ นั่งแท็กซี่มาไกลขนาดนี้ อีกทั้งยังออกมาจากบ้านโดยไม่บอกสามี เขาจะต้องตามหาเธอแน่ๆ พี่ชายก็ไล่กลับบ้าน พอกลับถึงบ้านผู้หญิงคนนี้มองดูลูกที่กำลังนอนหลับ
เริ่มมีความคิดว่า “ถ้าฉันตาย สามีก็จะไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ ถ้าอย่างนั้น ผู้หญิงคนใหม่ก็จะมานั่งที่โซฟานี้ และนั่งที่โต๊ะอาหารที่ฉันนั่งหรือนอนเตียงที่ฉันนอน ถ้าผู้หญิงคนใหม่เขามีลูก ก็คงจะเกลียดลูกฉัน พอถึงฤดูหนาว เขาคงไล่ลูกฉันไปข้างนอก สามีและผู้หญิงคนใหม่คงจะมีความสุขและหัวเราะกันอยู่ในบ้าน ลูกสาวคงจะต้องอยู่อย่างน่าสงสารมากๆ”
ใจที่เกลียดชังสามีก็เริ่มก่อตัวขึ้น ทั้งที่เหตุการณ์ทั้งหมดที่คิดยังไม่ได้เกิดขึ้น วันหนึ่งก่อนที่สามีจะออกไปทำงาน เธอขอร้องให้สามีอยู่กับเธอ เพราะรู้สึกกลัวมาก สามีก็พูดคุยและพยายามอธิบายให้เข้าใจว่า ไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว แค่อยู่ที่บ้านดูแลลูก แต่สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เธอกลับยิ่งมีใจเกลียดชังสามีมากขึ้นเพราะคิดว่าอุตส่าห์อ้อนวอนไม่ให้ไปทำงานและอยู่กับเธอ แต่เขาก็ไม่ฟัง
เมื่อสามีเลิกงานกลับมาบ้านเหมือนปกติ ทันทีเปิดประตู เธอก็ใช้มีดจากห้องครัวแทงเขาและลูกสาวที่ยังเล็กอยู่ จนทั้งคู่เสียชีวิต พอถูกตำรวจจับได้จึงต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี สิ่งที่ลากผู้หญิงคนนี้เข้าไปสู่จุดหักเหในชีวิต ต้องสูญเสียและใช้เวลาอยู่ในห้องขังอย่างน่าสงสาร จิตใจของเธอเริ่มมีอาการ “พิการ"
เพียงแค่เพราะรับเอาความกลัวที่เข้ามาง่ายๆ นำไปสู่จิตใจที่เกลียดชัง และในที่สุดก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิด เธอรับความรู้สึกที่เข้ามาโดยไม่แยกแยะและไม่สงสัย ทำให้การประเมินสถานการณ์ผิดไปจากความเป็นจริง ได้แต่ติดตามความคิดที่หลอกลวงนั้นไป จนยืนหยัดและใช้ชีวิตต่อไปบนพื้นฐานของความเป็นจริงไม่ได้
เหตุการณ์นี้ “เป็นแค่ตัวอย่าง” นะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะซ้ำเติมผู้ที่โชคร้าย ตอนที่คนเรามีความคิดบางอย่างเข้ามา ถ้ารู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง ก็จะเป็นปกติที่จะต้องหยุดตามมันไป และกลับมาใช้ชีวิตตามความเป็นจริงได้ แต่น่าเสียดายที่เรามักเชื่อการตัดสินใจและการมองเห็นของตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลร้ายขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม หลายครั้งพอเจอแบบนี้ เราก็ไม่มีกำลังพอที่จะปฏิเสธความคิดเหล่านั้นครับ ต่อมาผู้หญิงคนนี้ได้พบกับ “อาจารย์ท่านหนึ่ง” ซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตแก่ผู้ต้องขัง เธอได้รับคำปรึกษาจากท่าน จากประสบการณ์ตรง
เธอบอกผมว่า สิ่งที่เธอผิดพลาดที่สุด คือ การเชื่อว่าสิ่งที่ไม่จริงนั้นเป็นความจริง ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงที่สามีพยายามจะอธิบาย และเชื่อว่าการตัดสินใจฆ่าสามีและลูกสาวของเธอเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เธอได้ลองคิดอีกครั้ง และได้มองเห็นว่าคนที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจที่สุด “ไม่ใช่สามีของเธอ” แต่เป็นตัวเธอเองที่เชื่อความคิดผิดๆจนทำลายทุกอย่างพังพินาศเช่นนี้ พอได้รู้อย่างชัดเจนว่า “การเชื่อว่าตัวเองถูกต้อง” มันทำลายชีวิตของเธอ ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เชื่อตัวเองได้อีกต่อไป
ท่านผู้อ่านกำลังมีจิตใจแบบเดียวกับผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าครับ? เรากำลังอยู่อย่างคนที่มีจิตใจแข็งแรงหรือพิการ? ลองถอยออกจากตัวเองสักก้าวหนึ่ง และลองพิจารณาดูครับว่าสิ่งที่เราเชื่ออยู่มันกำลังพาชีวิตเราไปทางไหน?
หากเราได้ลองรับฟังคำตักเตือนหรือความคิดเห็นจากคนรอบข้าง คุณก็จะได้รับกำลังที่จะปฏิเสธเสียงของตัวเอง สามารถใช้ชีวิตอย่างคนที่ร่างกายและจิตใจแข็งแรงได้ครับ จะดีแค่ไหน? ถ้าหากรู้ว่าตัวเองกำลังไปผิดทาง สามารถหยุด และออกจากตรงนั้นได้ทันเวลา.
โฆษณา