22 มิ.ย. 2020 เวลา 10:56 • การศึกษา
มาติดตามกันต่อเร็ววค่ะทุกคนกับ
THE EXAMINED LIFE (How We Lose and Find Ourselves)
ใจคนเรายากเย็นเกินไป (และนี่คือเหตุผลว่าทำไม)
PART 1 : การเริ่มต้น
ตอนที่ 4 ความเจ็บปวดคือของขวัญ
แม็ท คนไข้วัย21ปีที่เข้ารับการบำบัดกับ Stephen เนื่องจากพ่อแม่ของเขาขอร้องเพราะพวกเขาเป็นกังวลและทุกข์ใจกับพฤติกรรมของเขาเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ล่าสุดที่เขาทำให้พ่อและแม่ทุกข์ใจเป็นอย่างมากคือเขาได้พกปืนสำหรับใช้ยิงให้สัญญาณปล่อยตัวนักกีฬา(ไม่ได้บรรจะกระสุน)ไปในที่สาธารณะและใช้ปืนเล็งไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถวๆนั้นจนทำให้เขาถูกจับกุมตัว และหลังจากประกันตัวออกมาเขาก็ยังมีพฤติกรรมบ้าระห่ำ เขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไขการประกันตัวโดยออกจากบ้านไปกินเหล้ากับเพื่อน บางวันไม่กลับบ้านและหายจากบ้านไปหลายวันจนพ่อกับแม่ของเขาเริ่มที่จะต้องทำใจหากจากนี้แม็ทจะต้องติดคุกจริงๆ
จริงๆแล้วแม็ทเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง พ่อและแม่วัยสิบเจ็ดจริงๆของเขาได้ทิ้งเขาไปตั้งแต่เขาอายุสองขวบ และช่วงเวลาก่อนหน้านั้นแม็ทก็ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีทำให้เขาเป็นเด็กที่ขาดสารอาหารและป่วยเขาจึงถูกนำมาเลี้ยงที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
แม็ทเข้ารับการบำบัดกับ Stephen โดยเขาก็ได้เล่าเรื่องต่างๆในชีวิตของเขาให้ Stephen ฟังอย่างเปิดเผย เขาเล่าว่าแถวๆระแวกบ้านของเขามีพี่น้องผู้ชายสองคนที่เป็นตัวอันตราย พวกนั้นเคยใช้มีดแทงใครบางคนที่เขารู้จักและตอนนี้เขากำลังตกเป็นเป้าของพี่น้องคู่นั้น
Stephen บอกว่าสถานการณ์ของแม็ทตอนนี้น่าเป็นห่วงมาก เขากำลังตกอยู่ในอันตราย ทั้งๆที่แม็ทเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำแต่ Stephen กลับบอกว่ามันแปลกมากที่เขาไม่ตกใจกและรู้สึกปกติ ไม่ทุกข์ร้อนใดๆเลยกับสิ่งที่แม็ทเล่า
Stephen บอกว่าในบางครั้งเวลาที่เรากำลังฟังใครคนหนึ่งพูดอะไรบางอย่างมันจะมีสิ่งๆหนึ่งเกิดขึ้นคือ ช่องว่างระหว่างสิ่งที่คนคนหนึ่งพูด กับสิ่งที่เขาทำให้เรารู้สึกที่บางครั้งกลับไปคนละทาง เช่นกรณีของแม็ทที่เขากำลังบรรยายถึงชีวิตที่ตื่นตระหนกแต่ Stephen กลับไม่ตื่นตระหนกด้วยอย่างผิดวิสัย สาเหตุของสิ่งนี้คงมากจากช่วงชีวิตแรกๆช่วงที่อยู่กับพ่อแม่แท้ๆ เขาร้องไห้วอแวเมื่อหิวหรือหวาดกลัวแต่กลับไม่ได้การตอบรับหรือสนใจจากพ่อแม่ มันทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำให้คนอื่นเป็นห่วงเขาได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้สิ่งๆนี้จากแม่ของเขา
Stephen สังเกตว่าตัวของแม็ทเองก็เย็นชากับสถานการณ์ของตัวเองด้วยเหมือนกัน เขาไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเลย เขาเรียนรู้ตั้งแต่ยังน้อยที่จะทำให้ความรู้สึกของตัวเองตายด้านและไม่ไว้ใจคนที่เสนอความช่วยเหลือให้เขา
ในปี ค.ศ.1946 นายแพทย์พอล แบรนด์ได้พบว่าโรคเรื้อนจริงๆแล้วไม่ได้เกิดจากเนื้อแท้ของโรคแต่เกิดจากการติดเชื้อและบาดแผลที่ผู้ป่วยไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด เขาเคยเขียนไว้ว่าหากเขามีของขวัญหนึ่งชิ้นที่สามรถมอบให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อนได้ เขาอยากจะมอบ”ความเจ็บปวด”ให้กับพวกเขา บางที่แม็ทก็อาจจะกำลังเป็นโรคเรื้อนในทางจิตวิทยาอยู่ก็ได้ เพราะเขาไม่สามารถรู้สึกถึงเจ็บปวดทางอารมณ์ และเขากำลังเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเองอย่างถาวร
Stephen กล่าวทิ้งท้ายว่าเราก็มีบางส่วนเสี้ยวของชีวิตที่เหมือนแมทย์ทุกคน ในบางช่วงชีวิตเราพยายามทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดหายไป และเมื่อมันหายไปจริงๆจนเราไม่รู้สึกถึงอะไรเลยเรากลับกำลังสูญเสียวิธีที่จะทำให้เรารู้ว่าเราเจ็บปวดกับอะไรและทำไมเราถึงเจ็บปวด
ประเด็นนี้ Stephen ได้ทิ้งท้ายไว้ได้น่าสะเทือนใจมากค่ะ เพื่อนๆผู้อ่านคิดว่าอย่างไรคะ หากเราไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดในการทำสิ่งๆหนึ่งที่เป็นการทำร้ายคนอื่นหรือไม่ก็ตัวเราเอง ความเจ็บปวดกับเรื่องใดๆที่เราพยายามจะทำให้มันหายไป การพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บปวด มันเหมือนกับการปิดสวิตช์การรับรู้ทางความรู้สึกที่ท้ายที่สุดแล้วคงจะไม่ใช่วิธิการที่ดีที่สุดในการรับมือกับความเจ็บปวด การรับรู้ ยอมรับและพยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกและปล่อยวางอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า คงทำได้ยากกว่าแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เรารักษาตัวตนและจิตใจของเราได้จริงมั้ยคะ
แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้านะคะ
อย่าลืมกดไลค์กดแชร์กดติดตามเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ..
โฆษณา