26 มิ.ย. 2020 เวลา 07:33
☆ในวันที่ผมได้พบกับเจ้าชายน้อย☆
“...เย็นวันหนึ่งเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน ช่วงพลบค่ำก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ผมพาสุนัขไปเดินเล่นที่ทุ่งนาท้ายหมู่บ้านตามปกติ ในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น ผมก็ได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งผิวขาว ผมสีทองสวย เดินอยู่กลางทุ่งนาท่าทางเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ เด็กชายเดินเข้ามาหาผม แล้วถามผมว่า “เธอเห็นหมาป่าของฉันผ่านมาทางนี้บ้างไหม” ผมตอบว่า “ฉันยังไม่เห็นหมาตัวอื่นเลย นอกจากหมาตัวนี้ของฉัน” เด็กชายมองมาที่สุนัขของผมแล้วกล่าวขึ้นว่า “นั่นเป็นหมาป่าของเธอใช่มั้ย ดีจัง...ฉันคิดถึงหมาป่าของฉัน ฉันอยากเจอเขาอีกสักครั้ง หมาป่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเสมอ” ผมไม่ได้ชวนเด็กชายคุยต่อ เพราะในสมองตอนนั้นคงคิดแต่เรื่องต่างๆ มากเกินไป ทั้งเรื่องอนาคตที่มืดมนของตัวเอง เรื่องภาระหนี้สินที่ท่วมตัวไปหมด เรื่องครอบครัวที่บ่อยครั้งไม่เข้าใจกัน เรื่องความรักที่ไม่เคยจะสมหวังสักเท่าไหร่ ผมได้แต่มองเด็กชายเดินจากไป และหายวับไปพร้อมกับแสงอาทิตย์อัสดง...หากเด็กชายคนนั้นคือเจ้าชายน้อย นั่นคงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ผมได้เจอกับเขา และน่าเสียดายที่ผมมัวแต่คิดเรื่องอะไรมากมายจนไม่ได้สนใจที่จะคุยกับเขาต่อ ผมในตอนนั้นคงกลายเป็นผู้ใหญ่ไปเสียแล้ว...”
ถ้าวันหนึ่งผมเจอผู้ใหญ่สักคนแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ก็คงไม่มีใครเชื่อผมหรอกครับ แม้แต่คนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ก็อาจจะกำลังหัวเราะเยาะผมในใจอยู่ก็ได้ แต่ถ้าตอนที่เล่าเรื่องนี้ผมแต่งตัวเท่ๆ ดูภูมิฐาน เปิดเสียงหรือคลิปวิดิโอที่ผมถ่ายเจ้าชายน้อยไว้จากกล้องรุ่นใหม่ล่าสุด หรือจากไอโฟน 11 pro max ให้พวกเขาดู พวกเขาคงร้องว่า “ว้าว!นั่นมันเจ้าชายน้อยจริงๆ ด้วย” ...พวกผู้ใหญ่ก็เป็นอย่างนี้แหละ...
ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงวรรณกรรมระดับโลกจากฝรั่งเศสเรื่อง “Le Petit Prince หรือเจ้าชายน้อย” อยู่ หลายคนคงเคยรู้จักผ่านหูผ่านตา หรือเคยอ่านมาแล้วตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา แต่สำหรับผม เพิ่งจะมีโอกาสได้หยิบขึ้นมาอ่านครั้งแรกตอนอายุปาเข้าไปเลข 3 แล้ว ผมจำได้แม่นเลยว่าตอนผมอ่านจบ น้ำตาผมไหลอาบแก้มเต็มไปหมด และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็หลงรักวรรณกรรมเรื่องนี้และเจ้าชายน้อยอย่างสุดหัวใจ
รอบตัวผมเกือบทุกอย่างมีแต่เจ้าชายน้อย ผู้คนมักจะกล่าวกับผมว่า “ชอบเจ้าชายน้อยเหรอ น่ารักจังเลย” หรือ “ดูเหมาะกับเธอดี น่ารัก” หรือ “คาวาอี้!!! เนะ” (ภาษาญี่ปุ่น) ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้าชายน้อยมักถูกเชื่อมโยงกับโลกในฝันที่ทุกอย่างงดงาม มีความสุข แต่แท้ที่จริงแล้วมันตรงกันข้ามต่างหาก
เลอ ดองเดอ กาลอมแบ นักศึกษาปริญญาเอกที่ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับวรรณกรรมเรื่องเจ้าชายน้อย กล่าวว่า “ที่จริงแล้วหนังสือเล่มนี้เศร้ามากๆ เมื่อเปิดอ่านรูปในหน้าแรกจะเต็มไปด้วยสีสัน แต่หน้าสุดท้ายกลับกลายเป็นขาวดำ นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะเราจะเห็นการคลี่คลายของเรื่องไปในทิศนี้ ทิศทางอันเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ขณะที่เขียนเรื่องนี้ แซงเตกซูเปรี(ผู้เขียน) มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่มาก เขามีปัญหาอย่างหนักกับภรรยา และสงครามโลกครั้งที่สองก็กระทบจิตใจเขามาก และด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่ ทำให้เขาไม่สามารถขับเครื่องบินซึ่งเป็นงานที่รัก และไม่สามารถร่วมรบเพื่อช่วยกอบกู้ฝรั่งเศสได้”
ลองมานึกย้อนดูแล้ว ตอนที่ผมได้อ่านเจ้าชายน้อยครั้งแรกนั้น สภาพจิตใจของผมก็คงไม่ต่างจาก แซงเตกซูเปรีมากนัก จิตใจที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ปัญหาครอบครัว ภาระต่างๆ ที่รุมเร้า สูญเสียงานที่ผมใฝ่ฝันอยากทำมาตลอดทั้งชีวิต สูญเสียความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้จึงทำให้ผมเข้าใจประโยคสุดท้ายของเรื่องที่บอกว่า “ได้โปรดอย่าปล่อยให้ฉันต้องโศกเศร้าอีกต่อไป” ได้อย่างชัดเจน
มันก็คงจะดีเหมือนกัน ที่ผมได้พบกับเจ้าชายน้อยในวันที่ผมย่ำแย่ที่สุด ในวัยที่ผมได้ผ่านอะไรต่างๆ มามากมายในชีวิต หากผมเจอเขาก่อนหน้านี้ ผมอาจจะไม่เข้าใจเขา และไม่ได้รักเขามากมายขนาดนี้
ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่เจ้าชายน้อยจะยังอยู่กับผม ทุกอย่างรอบตัวจะเตือนให้ผมนึกถึงเขาเสมอและตลอดไป
หากวันหนึ่งคุณมีโอกาสได้เจอกับเขาโปรดกรุณาช่วยส่งข่าวถึงผมด้วย อย่าปล่อยให้ผมโศกเศร้าอีกต่อไปเลย...
บทความโดย แมกซ์ รณภพ รากะรินทร์
ขอขอบคุณ: วรรณกรรม เจ้าชายน้อย โดย อองตวน เดอ แซงเตก–ซูเปรี, สารคดีพื้นที่ชีวิต ตอน อ่านเจ้าชายน้อยที่นอร์มังดี
โฆษณา