27 มิ.ย. 2020 เวลา 13:09
บทสุนทรพจน์ของท่านผู้พิพากษา Marvic Leonen ตุลาการสมทบศาลสูงสุดของฟิลิปปินส์ ที่ได้กล่าวแก่ผู้สำเร็จเป็นเนติบัณฑิตในพิธีสาบานตนเป็นเนติบัณฑิต ผ่านทางโปรแกรม Zoom อันเนื่องจากมาตรการล้อกดาวน์ ให้มุมมองและข้อคิด รวมถึงภาระหน้าที่ของนักกฎหมายที่จะต้องเผชิญ ในโลกยุค Covid
"... ผู้คนทุกช่วงอายุถูกกำหนดให้ต้องสนองตอบต่อความท้าทายและวิกฤติที่จะต้องเผชิญ ไม่เว้นแม้แต่ในช่วงอายุของท่าน
เห็นได้ชัดว่า การกล่าวสาบานตนด้วยวิธีทางดิจิทัลครั้งนี้ มีขึ้นท่ามกลางมหันตภัยคุกคามร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ซึ่งรูปแบบของการจัดงานนี้มาจากเจตนารมณ์ของศาล Peralta ที่ไม่ต้องการให้ผู้คนต้องเผชิญกับความเสี่ยง โดยการขจัดปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ SAR-COV2 (COVID -19)
ในความเป็นจริงแล้ว การระบาดครั้งนี้ได้ทำให้เกิดความท้าท้ายที่ใหญ่หลวงกว่ามาตรการป้องกันโรค ซึ่งได้แก่ความพยายามของทั่วโลกในการหาหนทางรักษาและการสร้างวัคซีน หรือแม้กระทั่งความพยายามของรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ การสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขมูลฐาน
จากรายงานพบว่าโรคระบาดนี้จะก่อให้เกิดการถดถอยที่ร้ายแรงในประวัติศาสตร์ ประชากรเกือบหนึ่งพันล้านคนจะยากจนลง และผู้คนมากมายจะต้องตกงาน และการที่เห็นบุตรหลานของใครคนใดคนหนึ่งจะต้องประสบกับความหิวโหยนั้นสามารถนำไปสู่การกระทำที่สิ้นหวังอีกหลายประการ
เมื่อมีผู้ประสงค์ กฎหมายจะเข้ามามีส่วนในการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
COVID-19 ไม่ได้เป็นภัยคุกคามเพียงอย่างเดียงที่เรากำลังเผชิญอยู่เท่านั้น ยังมีภัยคุกคามอื่น ๆ อีก
การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศและอันตรายของมันนั้นเป็นเรื่องที่เร่งด่วนและกระชั้นชิด แม้จะยังไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดก็ตาม ทั้งนี้ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติ (IPCC) ได้คาดการณ์ว่า หากเรายังดำเนินชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (pre industrial level) ภายในปี 2040
ซึ่งเป็นเวลาอีกเพียง 20 ปี นับจากนี้ และหากท่านยังดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ แบบที่เป็นอยู่ เมื่อท่านถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพ ท่านจะได้เผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ระดับโลกอีกเหลือคณานับ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การโยกย้ายและการอพยพที่ไม่สมัครใจของหลาย ๆ ชุมชน สภาวะอากาศที่คาดการณ์ไม่ได้ การแตกสลาย และตายจนเกือบสูญพันธ์ของปะการัง การจับสัตว์น้ำได้น้อยลง ความแห้งแล้งและการผลิตอาหารที่ได้ผลิตผลน้อยลงเรื่อย ๆ และอีกมากมาย
จากการศึกษามากกมายได้บอกใบ้ให้เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของโลกและกิจกรรมที่ดื้อดึงของมนุษย์ จะทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่นไวรัสและแบคทีเรีย มีจำนวนมากขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น
COVID-19 จะไม่ใช่โรคระบาดโรคสุดท้าย อย่างแน่นอน
ภารกิจของมนุษยชาติในการชะลอภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนั้นช่างดูน่าหวาดหวั่น เพราะในการที่จะชะลอการเปลี่ยนแปลงนี้ ทั่วโลกจะต้องลดการปล่อยเชื้อเพลิง (fuel emission) ลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของที่เป็นอยู่ ให้ได้ภายในปี 2030
ซึ่งก็คืออีกเพียง 10 ปี เท่านั้นที่ทั่วโลกจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล จากการใช้พลังงานที่มาจากซากดึกดำบรรพ์ (fossil based)ไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน (renewables) เราจะต้องลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงอย่างมาก เนื่องจากหากเราดูสถิติและแนวโน้มการบริโภคอาหารในปัจจุบัน และจำนวนประชากรที่จะแตะหลักหมื่นล้านคนในปี 2050 แล้ว กระบวนการปศุสัตว์จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึงร้อยละ 25 ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
ซึ่งเป็นอีกครั้งที่กฎหมายจะต้องได้รับการวางกรอบ เจียระไน นำไปใช้และบังคับใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งหมดที่กล่าวมา นักกฎหมายจะเป็นที่ต้องการ
แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยที่กำลังเป็นภัยคุกคามก็ถือเป็นประเด็นที่น่าขบคิด คำมั่นสัญญาในเรื่องความเท่าเทียมกันผ่านเวทีประชาธิปไตยโดยดิจิทัลและอินเตอร์เน็ตกำลังเดินไปผิดทาง
วันนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า ซึ่งได้แก่ Google, Amazon, Apple, IBM, Microsoft, Facebook, Baidu, Alibaba และ Tencent ได้ควบคุมเทคโนโลยีส่วนใหญ่ไว้แล้ว ความกระหายอยากทางการค้าได้ทำให้เกิดการโฆษณาที่คลุมเครืออย่างมีแบบแผน การเสพติดทางดิจิทัลและ “ฟองสบู่แห่งความเชื่อ” (epistemic bubbles หมายถึง สภาวะที่ผู้คนสนใจเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง และปฏิเสธสิ่งที่ไม่ตรงกับความเชื่อของตน: ผู้แปล)
เรายินยอมสละความเป็นส่วนตัวของเราและยินยอมให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า ยินยอมให้พลังอันชั่วร้ายของเว็บมืด (dark web หมายถึงเว็บไซต์ที่ปกปิดตนเอง เพื่อจนประสงค์อันมิชอบ: ผู้แปล) และยินยอมให้บรรดาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการบ่อนทำลายการใช้อำนาจอธิปไตยเช่นการเลือกตั้งหรือการลงประชามติ เป็นผู้ควบคุมข้อมูลของเรา
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อความตั้งใจมั่นของเราถูกบิดเบือนในขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับรูปภาพอาหารและภาวะที่สารแห่งความสุขในสมองหลั่งออกมาจากการเล่นโซเชียลมีเดีย แม้แต่สำนึกทางการเมืองและสังคมของเราก็ถูกบั่นทอนลงไปโดยมิชอบและถูกจำกัดอย่างมีนัยสำคัญเพราะเราสามารถพูดจาเอะอะโวยวายใน Facebook หรือ Twitter เราเชื่อว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เพียงพอ
ทุกวันนี้เราถูกชักจูงจากโลกเสมือนจริงซึ่งแสร้งทำเป็นช่วยในการรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์ ความสะดวกสบายของโลกออนไลน์ (cyberspace) ได้หันเหเราออกจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งต้องพัฒนาจากการสนทนากันต่อหน้า ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่สะดวก ต้องใช้ความอดทน เต็มไปด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหว บางครั้งก็เจ็บปวด แต่นำไปสู่ความเข้าใจกันเสมอ ส่วยโลกดิจิทัลนั้นทำให้ผู้คนไม่ชอบที่จะจดจำสิ่งใด ๆ (digital amnesia หมายถึงสภาวะที่ผู้คนไม่พยายามจดจำข้อมูลใด ๆ เนื่องจากคิดว่าสามารถหาได้โดยเร็วจากโลกดิจิทัล: ผู้แปล) โลกดิจิทัลได้บิดเบือนความรับผิดชอบทางการเมือง สร้างฟองสบู่ทางความเชื่อและบ่มเพาะทิฐิมานะ
ข้อมูลอันมหาศาล และความสามารถของเราในการบันทึกข้อมูลที่ไม่ได้ถูกตรวจสอบลงในฮาร์ดดิสก์หรือในที่ว่างบนคลาวด์ ได้เข้ามาแทนที่ความสามรถในการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง การคิดอย่างลุ่มลึก และการวิวัฒนาการทางความคิดอย่างอดทนและต่อเนื่องของปรัชญาส่วนตัวของแต่ละคน ด้วยเหตุว่าข้อมูลที่ไม่จำกัดเหล่านี้ได้ทำให้เราลืมคำเตือนของ Susan Sontag (นักเขียน-นักแปล-นักวิจารณ์ชาวอเมริกัน) ที่ว่า “ข้อมูลไม่ได้ทำให้รู้แจ้ง” (information is not illumination)
ปัญญาประดิษฐ์และการแปรเปลี่ยนที่มากกว่านั้นเช่น การเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning) เป็นสิ่งที่กำลังแพร่หลายและเข้ามาอยู่ในแนวหน้าของสังคมทั้งมวล
ความสะดวกสบายย่อมมาพร้อมกับการสอดส่องดูแล (surveillance) เช่น ท่านจะพบว่าในสมาร์ทโฟนของท่านมีการระบุแหล่งที่อยู่ ระบบจดจำการใช้งานแบบชั่วคราวและแบบฝังแน่น (cookies) รวมทั้งลายนิ้วมือทางดิจิทัล (digital fingerprint)
การให้ความยินยอมในเงื่อนไขการให้บริการที่ท่านไม่ได้คาดคิด หรือการตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิของผู้ใช้ (end use license agreement) ไม่เพียงแต่จะทำให้ปัญญาประดิษฐ์นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเข้ามาแทนมนุษย์เท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความท้าทายว่าปัญญาของมนุษย์จะถูกนำมาใช้ได้อย่างไร
สิ่งเหล่านี้จะกำหนดบทบาทของมนุษยชาติในรูปแบบใหม่
สถาบันที่อำนวยความยุติธรรมหรือเผยแพร่ภูมิปัญญา เช่น ศาล จะต้องมีการปรับเปลี่ยนในไม่ช้า ในช่วงอายุของท่านจะได้เห็นประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ เนื่องจากได้เผชิญกับการดิ้นรนของอัตลักษณ์ที่หลากหลายเพื่อต่อสู้กับระเบียบแบบแผนประเพณีที่กดทับอยู่
อัตลักษณ์เหล่านี้ ได้แก่ ชุมชนของชนกลุ่มน้อย ผู้นับถือศาสนาที่เป็นชนส่วนน้อย รวมถึงผู้ที่เชื่อว่าการดำรงชีวิตอย่างมีจริยธรรมนั้นสามารถกระทำได้โดยปราศจากความเชื่อในพระเจ้าหรือความเชื่อในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกในรสนิยมทางเพศไม่ตรงกับมุมมองของคนส่วนใหญ่ การดิ้นรนอันเด่นชัดของคนเหล่านี้ทั้งในทางภาษาและวัฒนธรรมและในทางกฎหมายจะเป็นบททดสอบของเราในยุคหลังอาณานิคมและในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ในปัจจุบัน
เราอาศัยอยู่ในสังคมที่มองไม่เห็นความยากจน ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงและความไม่ยุติธรรมทางสังคม เพราะถูกบดบังด้วยความอยากมี อยากได้ อยากสุขสบาย และความมั่งคั่งทางการเงิน
เงินคือสิ่งที่นำมาซึ่งเงินที่มากขึ้นโดยการลงทุนเพื่อเก็งกำไรและรายได้โดยที่ไม่ต้องทำงาน (passive income) โดยที่ผู้ใช้แรงงานได้แต่เพียงค่าแรงตายตัวซึ่งมักตามอัตราเงินเฟ้อไม่ทัน
แทนที่จะให้คุณค่าแรงงานว่าเป็นความพยายามของมนุษย์ แรงงานในระบบกฎหมายส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นเพียงปัจจัยการผลิต ถูกมองอย่างผิด ๆ ว่าเป็นเพียงเบี้ยของหุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการ ความมั่นคงในอาชีพถูกมองว่าเป็นอุปสรรคที่รังแต่จะเพิ่มต้นทุนของการผลิต ส่งผลให้คนของเราต้องออกนอกประเทศและไปยังที่ที่เขาสามารถแสวงหาทรัพยากรเพื่อทำให้ครอบครัวของเขาสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกลับเป็นของเจ้าของธุรกิจที่ไม่ได้ทำงานแต่เป็นเจ้าของทุน เราอยู่ในสังคมที่คนทำงานที่เก่งที่สุดกระจายตัวอยู่ในประเทศต่าง ๆ นับร้อยประเทศ เราเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยการพลัดถิ่นอย่างมหาศาลซึ่งส่งผลสะท้อนทางวัฒนธรรมและทางเพศ
ในช่วงอายุนี้เราจะได้เห็นคลื่นของมวลชนอนุรักษ์นิยมที่กำลังยึดครองพื้นที่ทั่วโลก ท่านจะได้เห็นความท้าทายของสถาบันต่าง ๆ ที่แสวงหาความจริงและสื่อสารความจริงไปยังผู้มีอำนาจ นักข่าวทั่วโลกประสบความยากลำบากเพียงเพราะพวกเขาแสวงหาและตรวจสอบความจริง ผู้ใดที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้มีอำนาจ แม้จะผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียตามปกติ ก็จะต้องประสบกับความอับอายและถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์
การก่อกวนทางอินเตอร์เน็ต (trolling) ถือเป็นปรากฏการณ์อันน่าเศร้าของชาวฟิลิปปินส์ และเริ่มที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและมีการจัดการ โดยการก่อกวนนี้ไม่เลือกฝักฝ่ายทางการเมือง
คำเท็จและบัญชีปลอมต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมถอยของคำมั่นสัญญาของประชาธิปไตยที่เป็นการถกเถียงกันด้วยความจริง ซึ่งเป็นความท้าทายว่าประชาชนของเราจะถูกนำเสนอออกไปอย่างไร จงจำไว้ว่าคุณภาพของประชาธิปไตยของเราจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพและความความเกี่ยวพันของกฎหมายเรา
เราสามรถมองข้ามสิ่งเหล่านี้ ไม่ยากเลยที่จะใช้ชีวิตไปตามปกที่ที่คุ้นชิน ยอมจำนนกับสภาพที่เป็นอยู่ ก็แค่ทำให้ตัวเองรวย ทำงานไปเรื่อย ๆ และให้วัตถุนิยมครอบงำจิตใจ อย่างไร้ความหมาย
แต่เรามีทางเลือก ทางเลือกที่จะค้นพบความกล้าในตัวเรา ใช้ชีวิตกับความไม่ง่าย พินิจพิเคราะห์สังคมของเรา และใช้วิชาชีพของเราเพื่อเป้าประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเพื่อมนุษยชาติที่ไม่เพียงแต่อยู่รอดไปวัน ๆ แต่ต้องเจริญเติบโตด้วยความยุติธรรมทางสังคม
เป็นความจริงที่ว่า กฎหมาย ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ได้สร้างเราขึ้นมา แต่เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ วิชาชีพกฎหมายสามารถเลือกที่จะเจียระไน ตีความ และปรับใช้กฎหมายเพื่อแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหา
นักกฎหมายสามรถปฏิเสธและมองเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างแคบ ๆ และปล่อยให้กฎหมายสร้างหายนะให้กับมนุษย์ต่อไป หรือเราจะใช้กฎหมายทั้งมวลเพื่อปลดแอกสิ่งเหล่านี้กันเล่า หลักนิติธรรม (the rule of law) ย่อมเป็นหลักของกฎหมายที่ยุติธรรมเสมอ หาใช่หลักที่มีไว้เอื้อประโยชน์ให้ผู้ใดผู้หนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่
คำสาบานของท่านที่มีต่อหลักนิติธรรมนี้ หาใช่คำสาบานเพื่อจำนนต่อความอยุติธรรมสภาวะกดขี่ที่เป็นอยู่ หาใช่ใบอนุญาตที่จะผลักไสผู้ที่ด้อยโอกาส คนยากคนจน และผู้ที่ถูกครอบงำด้วยพลังอันชั่วร้ายและความเท็จออกไปให้ห่างไกลไม่ แต่คำสาบานของท่านจะเป็นพลังอันนำไปสู่ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมอยากเป็นระบบที่ได้คาดหวังไว้ คำสาบานของท่านคือคำมั่นสัญญาที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้
นั่นคือสิ่งสูงส่งที่วิชาชีพของเราจะต้องยึดถือ ท่านไม่ต้องดูอื่นไกล ดูรัฐธรรมนูญของท่านกล่าวถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเน้นย้ำถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ สิ่งเหล่านี้สร้างพวกเราทุกคนขึ้นมา ไม่เฉพาะเพียงผู้ที่ร่ำรวยและผู้ที่มีอำนาจเท่านั้น ด้วยอำนาจอธิปไตย เราสามารถเรียกร้องความน่าเชื่อถือ การเปิดเผย ข้อมูลและพื้นที่แห่งเสรภาพในการแสดงออกที่ไม่มายับยั้งแต่จะทำให้ความคิดเห็ต่าง ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เป็นที่ทราบกันว่าทรัพย์สินต่าง ๆ นั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ทางสังคมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และความมั่งคั่งก็ไม่ควรจะอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ จำไว้ว่าการเป็นนักกฎหมายไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวท่านเองเท่านั้น วิชาชีพของท่านมีไว้เพื่อทำให้ปัญหาของผู้อื่นกลายเป็นปัญหาของท่าน นักกฎหมายไม่สามรถดำรงอยู่ได้หากปราศจากลูกความหรือปัญหา คดีทุกคดีไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือความขัดแย้งทั่ว ๆ ไป จะเป็นบททดสอบความสามารถของท่านในการค้นหาแก่นแท้ของความยุติธรรม ความเท่าเทียมและเสรีภาพที่มีความหมาย
เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ข้าพเจ้าขอกล่าวว่าภาระหน้าที่ของท่านไม่ใช่การคาดหวังหรือแสวงหาโลกที่ดีกว่า แต่มันมากกว่านั้น เป้าหมายของท่านในฐานะนักกฎหมายคือการใช้ชีวิตของท่านในการก่อร่างสร้างกฎหมายเพื่อทำให้เกิดความสำเร็จที่แท้จริงในการสร้างสังคมที่ดีที่สุดเพื่อมนุษย์ทุกคน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ชื่อท่านจะมีคำว่าทนายความนำหน้า มันก็ไม่ง่าย หรือแม้ผู้คนจะเรียกท่านว่า ท่านผู้พิพากษา มันก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน
กระบวนการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพอย่างมีความหมายนั้นย่อมตามมาด้วยประสบการณ์ที่เจ็บปวดและการค้นหาจิตวิญญาณ การตัดสินใจที่ถูกต้องในภาวะวิกฤติถือเป็นความท้าทายประการหนึ่ง บ่อยครั้งท่านจะต้องเลือกว่าจะเอาอาชีพของท่านไปแขวนบนเส้นด้ายหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญและความตั้งใจอย่างแรงกล้าในการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้คนไม่ชอบ อันตรายและไม่สะดวกสบาย
ในช่วงเวลาของการประกอบอาชีพ มีทนายความ ผู้พิพากษาหรืออัยการมากมายที่สูญเสียการได้รับการยกย่องจากสังคมจากการประกอบวิชาชีพ บางครั้งความสะดวกสบายก็มาในรูปแบบของการนิ่งเฉย พวกเขายอมจำนนและทิ้งหนทางที่จะตัดสินใจอย่างยากลำบากทางศีลธรรมและจริยธรรม เพียงเพื่อรักษาสถานะปัจจุบันเอาไว้ พวกเขาละทิ้งผลประโยชน์ส่วนรวมเพียงเพื่อหนี้บุญคุณที่พวกชนชั้นนำและผู้มีอำนาจมีต่อเขา ซึ่งบันดาลความมั่งคั่งและทำให้เขาก้าวหน้าในอาชีพ จนกระทั่งความสะดวกสบายเหล่านี้ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่จิตสำนึกผิดชอบชั่วดี
ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำในสิ่งที่เคยกล่าวไปแล้ว การนิ่งเฉยเมื่อเราตกเป็นเหยื่อของการทุจริตหรือเมื่อหลังจากที่เรากลายเป็นผู้สมคบกับผู้มีอำนาจในการทุจริตนั้น เป็นการกระทำทางการเมืองที่ทรงอำนาจมาก การนิ่งเฉยก็เพื่อรักษาสถานะที่เป็นอยู่ทำให้เห็นว่าผู้อื่นก็จะตกเป็นเหยื่อของการทุจริตได้เช่นเดียวกัน การนิ่งเฉยต่อการใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อเบี่ยงเบนระบบให้เอื้อต่อผู้ที่มีทรัพยากรมั่งคั่งและเป็นโทษกับผู้ที่ต้องการได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายมากกว่า การนิ่งเฉยของเราจะทำให้ความตะกละตะกลามกลายเป็นเรื่องที่ชอบธรรมและบ่อนทำงายความเชื่อมั่นของสาธารณชน
การนิ่งเฉยต่อการทุจริตและการใช้อำนาจในทางที่ผิดไม่ใช่เป็นเพียงความอยุติธรรมในตัวของมันเอง แต่การนิ่งเฉยเมื่อเราสามารถที่จะแสดงออกได้ก็ถือเป็นเหตุของความอยุติธรรมเช่นเดียวกัน
บ้านหรูหรา รถรุ่นใหม่ กาแฟเลิศรส กระเป๋าและเสื้อผ้าโก้เก๋ จะมีประโยชน์อันใดเล่าหากซื้อมาโดยเงินที่ได้มาจากความทุกข์ทรมานของผู้อื่น
ความสะดวกสบายของเราจะมีประโยชน์อันใดเล่า เมื่อผู้คนของเรายังต้องอาศัยอยู่อย่างซอมซ่อสกปรก เกียรติยศของเราจะมีประโยชน์อันใดเล่า หากเรามิได้ทำสิ่งใดในขณะที่ครอบครัวของชาวนาและชาวประมงยังหิวโหย
การทำสิ่งที่ถูกต้องนั้นจำเป็นเพราะความยากจน การถูกกดขี่และสภาวะไร้ความช่วยเหลือยังคงมีมากมายในสังคมของเรา มีครอบครัวมากมายยังอาศัยอยู่ในสภาวะซอมซ่อสกปรก มีเด็ก ๆ ที่ไม่สามารถกินได้ครบสามมื้อต่อวัน มีผู้ที่อาศัยอยู่ภายใต้การกดขี่ มีเด็ก ๆ ที่ถูกพ่อและลุงข่มขืน และตกอยู่ในอันตรายจากโรงเรียนที่ควรจะต้องเป็นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา มีเยาวชนที่ชีวิตวัยเด็กของเขาถูกปล้นเอาไปโดยยาเสพติด มีผู้คนที่อัตลักษณ์ของพวกเขาถูกทำให้มองไม่เห็น
เมื่อท่านพบว่าท่านตกอยู่ในสถานการณ์ที่การประกอบอาชีพอย่างมีเกียรตินั้นเป็นเรื่องที่ยาก จงจำคำเหล่านี้ไว้ ซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวซ้ำไปเรื่อย ๆ ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินเป็นครั้งแรกจาก Lean Alejandro เพื่อนที่ดีและนักเคลื่อนไหวในช่วงปี 1980 ซึ่งกลายเป็นประโยคที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมาจนปัจจุบัน ซึ่งกล่าวว่า “The line of fire is always a place of honor” (พอเทียบได้กับบทประพันธ์ของรัชกาลที่ 6 ที่ว่า “ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้ หอมยวลชวนจิตไซร้ ไป่มี: ผู้แปล)
จงปกป้องผู้ที่ขาดแคลน อย่ายืนเคียงข้างความไม่ถูกต้อง น้อมรับความแตกต่างของอัตลักษณ์ จงส่งเสียงต่อต้านการทุจริต อย่ายอมจำนนต่อความมั่งมีที่เกินพอดี อย่าเอาความเมตตากรุณาไปแลกตราแห่งความสำเร็จจอมปลอม เมื่อท่านเข้าสู่ตำแห่นงหน้าที่ จงทำหน้าที่เพื่อความไว้วางใจของประชาชน
อย่าละลายหลักการด้วยการปฏิบัตินิยม อย่าหลบซ่อนด้วยการยินยอมพร้อมใจอย่างสะดวกโยธิน อย่าใช้ความสะดวกสบายมาแทนที่ความซื่อสัตย์ในภาวะวิกฤติ อย่าอำพรางการมีส่วนร่วมกระทำการของท่าน ตรงกันข้าม จงยืนอยู่แถวหน้า ในฐานะทนายความ จงต่อต้านความอยุติธรรม ให้มันเป็นปณิทานของท่านในการต่อต้านความอยุติธรรม
จงไขว่คว้าความเป็นเลิศ ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น ไม่ใช่เพื่อเป็นทนายความอันดับต้น ๆ แต่จงไขว่คว้าความเป็นเลิศเพราะท่านต้องการความเป็นเลิศด้วยเกียรติที่จะเป็นพลังให้กับผู้ที่อ่อนแอ ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง
จงอ่อนน้อมถ่อมตน ฟังและเรียนรู้ มีภูมิปัญญาอยู่ในความยากลำบากของผู้คนของเรา
สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบของท่าน ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในโลกข้างนอก
สุดท้ายนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นจงจำไว้ว่า 'ต้องทำให้ดีกว่าพวกเรา' 'Walang magpapalaya sa atin kung hindi tayo mismo. Humayo nang buong giting at tapang. Paglingkuran ang sambayanan' (ไม่มีใครสามารถปลดปล่อยตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง จงมุ่งไปข้างหน้าเยี่ยงวีรชนและด้วยความกล้า จงทำเพื่อประชาชน)..."
ถอดความโดย ประพฤติ ฉัตรประภาชัย อดีตที่ปรึกษาสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด้านกฎหมายฟิลิปปินส์
โฆษณา