27 มิ.ย. 2020 เวลา 15:46 • ธุรกิจ
สวัสดีครับหลังจากห่างหายกันไปนาน วันนี้เพจ Investing Pls อยากจะมานำเสนอรูปแบบหรือกลยุทธ์การลงทุนประเภทต่าง ๆ ถ้าพร้อมแล้วเราเริ่มกันเลยนะครับ
Picture from unsplash.com
1. Passive Vs Active
Passive investing เป็นการลงทุนที่นักลงทุนมีมุมมองว่าไม่มีใครเก่งกว่าตลาดก็เลยพยายามที่จะทำผลตอบแทนให้ได้เท่ากับดัชนีอะไรสักอย่างหนึ่ง (ยกตัวอย่างเช่นดัชนี SET index) โดยข้อดีของการลงทุนในกลยุทธ์ passive ก็คือมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า Active Investing (อาจจะถูกกว่า 2 – 4 เท่ากับเลยทีเดียว) หากมาดูการลงทุนแบบ Active management ซึ่งเป็นการลงทุนที่มองว่าผู้จัดการกองทุนนั้นมีความรู้ความสามารถและ สามารถที่จะเอาชนะดัชนีได้ ข้อดีของการลงทุนใน Active investing ก็คืออาจสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าตลาด หรือแม้กระทั้งลดความผันผวนและเสี่ยงของการลงทุน (Lower Volatility & Maximum Drawdown)
2. Buy-hold Vs market-timing
Buy & Hold strategy เป็นกลยุทธการลงทุนที่มีมุมมองเกี่ยวกับระยะเวลาการลงทุนที่ค่อนข้างยาว โดยกลยุทธ์นี้จะเป็นการซื้อและถือไว้ ไม่ขายออกระหว่างทางเพราะมองว่าในระยะสั้นการขึ้นลงของราคานั้นเป็น Noise และไม่สามารถคาดเดาได้แต่ในระยะยาวผลตอบแทนจะค่อน ๆ เพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของกลยุทธ์ Market-timing จะเป็นการลงทุนที่พยายามจะจับจังหว่ะการขึ้นลงของราคา โดยทำการไรจากการ "ซื้อถูก – ขายแพง" อย่างไรก็ตามการทำ Marketing-timing เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายนักเพราะไม่มีใครสามารถคาดการอนาคตได้อย่างแม่นยำ มีนักลงทุนหลายคนที่พยายามจะจับจังหว่ะตลาด แต่สุดท้ายกลับเป็นการ "ซื้อแพง-ขายถูก" เป็นต้น
3. Fundamental Vs technical
Fundamental Investing เป็นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์อะไรสักอย่างโดยดูจากปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ เช่น Business Model, ผลประกอบการธุรกิจ, และ ความสามารถในการเติบโตได้ในอนาคต การลงทุนในปัจจัยพื้นฐานนั้นเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างยาวกว่าจะได้รับผลลัพท์เนื่องจากกำไรจากการลงทุนจะมาจากธุรกิจที่ค่อย ๆ เติบโตและสร้างกำไรสูงขึ้น ในส่วนของ Technical invesing เป็นการลงทุนที่ดู Pattern ของราคาสินทรัพย์ และ Volume ในการซื้อขายเป็นหลักโดยมีหลักคิดว่า “History will repeat itself” ซึ่งเป็นการลงทุนที่มี Time Frame ที่หลากหลายตั้งแต่หลักวันจนถึงหลักปี อย่างไรก็ตามก็มีนักลงทุนหลายคนที่ใช้ทั้ง 2 กลยุทธ์ควบคู่กัน เช่น ใช้ Fundament ในการเลือกสินทรัพย์ และใช้ Technical analysis ในการเลือกเวลาเข้าซื้อ หรือขายสินทรัพย์ก็ได้เช่นกัน
4. Momentum Vs Contrarian
เป็นแนวคิดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของตลาดโดย นักลงทุนแนว Momentum จะมองว่า "Winners will keep winning" โดยนักลงทุนจะลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่เป็นผู้ชนะในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าราคานั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต ในทางกลับกันนักลงทุนแนว Contrarian หรือที่เรียกกันว่า “ชาวสวน” นั้น เป็นนักลงทุนประเภทที่คิดแตกต่างจากตลาด และ เชื่อว่าตลาดมองผิด โดยจะได้กำไรก็ต่อเมื่อเกิดการ Correction ของราคา ยกตัวอย่างนักลงทุนแนว Contrarian ได้แก่ผู้จัดการกองทุนชื่อ Michael Burry (พระเอกในเรื่อง Big Short) ซึ่งมองว่าคนส่วนใหญ่ละเลยฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสหรัฐ ปี 2008 ทำให้เขาเลือกตัดสินใจการลงทุนที่สวนกับความเชื่อของคนส่วนมาก และจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาสามารถทำกำไรได้มหาศาลจาก Hamberger Crisis โดยระหว่าง พ.ย. 2000 ถึง มิ.ย. 2008 กองทุนที่เขาบริหารสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 489% (Net of fees & expense) เทียบกับ S&P500 ที่ทำได้เพียง 3% ในช่วงเวลาเดียวกัน
หากอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรสามารถคอมเมนต์มาได้เลยนะครับ ถ้าแอดมินมีความรู้จะเขียนมาให้อ่านกัน
วันนี้ Investing pls ขอลาไปก่อน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการลงทุนนะครับ
Previous Content :D
คำแนะนำการลงทุนสำหรับ First-Jobber
ลงทุนกองทุนรวมต้องดูอะไรบ้าง?
ประเทศไทยลงทุนในสินทรัพย์อะไรได้บ้าง ?
Why should we invest? ทำไมเราถึงต้องลงทุน
โฆษณา