30 มิ.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #สายลมแห่งโชคชะตา ]
เจอร์เก้น คล็อปป์ เพิ่งออกมามอบแชมป์ครั้งนี้ให้กับ เคนนี่ ดัลกลิช และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด สองแรงบันดาลใจสำคัญ ทำให้การรอคอย 30 ปีสิ้นสุดลง
ดัลกลิช คือผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่นำลิเวอร์พูลครองแชมป์ลีกสูงสุด สมัยยังใช้ชื่อเดิมดิวิชั่น1
ในยุคปลายทศวรรษ 70 ต่อเนื่องมายัง 80 เป็นเวลาที่หงส์แดงพีกสุดขีดและ ดัลกลิช เองก็รุ่งเรืองไม่แพ้กัน
เขาประสบความสำเร็จทั้งในฐานะนักเตะ จากนั้นเมื่อสวมหมวกสองใบควบผู้จัดการทีมด้วยก็ยังเดินหน้าล่าโทรฟี่อย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ปี 1977-1990 ดัลกลิช คว้าแชมป์ลีกสูงสุดทั้งในสองบทบาท 8 สมัยด้วยกัน เรียกว่าเกรียงไกรไร้เทียมทานอย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ใครก้าวขึ้นมาเขย่าบัลลังก์หรือทาบในระนาบเดียวกัน
ยกเว้นศัตรูร่วมเมืองอย่างเอฟเวอร์ตัน แต่เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น
ไม่ผิดหรอกหากเราจะบอกว่า ดัลกลิช คือหนึ่งในผู้มีอิทธิพลและชี้เป็นชี้ตายให้กับลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง
แม้จะย้ายจากกลาสโกว์ เซลติกมาลิเวอร์พูลตอนอายุ 26 ปี ไม่ได้เป็นลูกหม้อเติบโตมาตั้งแต่ระดับเยาวชน แต่เขาผูกพันกับสโมสรแห่งนี้อย่างมาก ราวกับว่ากลมกลืนเป็นเนื้อเดียว
ดัลกลิช คือหนึ่งในผู้ร่วมแผ้วทางสร้างความสำเร็จ เป็นกำลังสำคัญวางรากฐานให้แข็งแกร่ง จนลิเวอร์พูลมีเครื่องหมายการค้าเป็นของตัวเอง จากสไตล์การเล่นที่เร้าใจบุกแหลกเข้าไปด้วยระบบที่ถูกเซ็ตมาอย่างดี
เขาผ่านเรื่องราวต่างๆกับสโมสรมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะช่วงความสุขที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะ ในวันที่ถ้วยรางวัลหลั่งไหลมายังแอนฟิลด์
หรือตอนที่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโร่ในปี 1989 ดัลกลิช อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ประจักษ์ทุกอย่างด้วยตัวเอง เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเดอะ ค็อปที่ถูกอัดอยู่บนอัฒจันทร์ กำลังจะสิ้นลมหายใจ
หรือแม้กระทั่งความตายที่คุกคามเข้ามา โดยที่ตัวเขาได้แต่ตะโกนโวยวาย แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้
"คิง เคนนี่" ยอมรับว่านั่นคือความเจ็บปวดมากสุดในชีวิต ไม่มีอะไรเคยย่ำยีหัวใจอย่างนี้มาก่อน
ตอนเขาขึ้นกล่าวคำอาลัย จึงบอกไปเลยว่าแฟนบอลที่เสียชีวิตนั้นล้วนแต่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญ ทุกความทรงจำจะยังคงอยู่ต่อไปเช่นนี้ไม่มีวันลืม
แม้ตอนทำเดอะ ค็อปต้องช็อกเมื่อประกาศสละเก้าผู้จัดการทีมในปี 1991 หลังเกมเอฟเอ คัพเสมอกับเอฟเวอร์ตันอย่างระทึก ด้วยเหตุผลว่าต้องการให้สโมสรเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
แฟนบอลไม่น้อยอาจไม่เข้าใจ แต่เบื้องลึกคือ ดัลกลิช อยากจะพาตัวเองออกมา เพราะเข้าใจดีว่าถึงเวลาเหมาะสม ควรจะได้มีสิ่งใหม่ทดแทน
ต่อให้ไปรับงานคุมทั้งแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส , นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดและเซลติก แต่สุดท้ายที่นี่ก็ยังคือบ้านอันแสนอบอุ่น ต่อให้การหวนคืนสู่อ้อมกอดอีกครั้งจะล้มเหลวก็ตาม
แน่นอนเขาร้างจากลิเวอร์พูลไปนาน ฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังกลับไปอยู่ในวันที่เขาเคยยิ่งใหญ่
ดัลกลิช เข้าใจดีและกล้าทำใจยอมรับ จึงเดินอออกมา แต่คราวนี้ไม่ไปไหนไกล
หัวใจเขาฝังไว้ที่แอนฟิลด์แล้ว จะส่งพลังความรู้สึกไปช่วยจนกว่าวันนั้นจะมาถึงอีกครั้ง
ทุกวันก่อนจะขับรถไปยังเมลวู้ด เพื่อฝึกซ้อมกับทีมตามปกติ สตีเว่น เจอร์ราร์ด จะถามตัวเองอยู่เสมอว่า นี่มันฝันไปหรือเปล่า
จากเด็กหนุ่มสเก๊าเซอร์ที่ไม่มีสง่าราศีชาติตระกูลผู้ดีใหญ่โต แต่ได้มาสวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว
แน่นอนกว่าจะฝ่ามาถึงจุดนี้ได้ เจอร์ราร์ด ต้องทุ่มเทมากมาย พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าดีพอสำหรับตำแหน่งอันทรงเกียรติ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักเตะสักคน เมื่อสวมยูนิฟอร์มของลิเวอร์พูลแล้วจะเกิดแพสชั่นแล่นพล่านอยู่ข้างใน
เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้ในบางครั้งจะก่อความผิดพลาดและโดนล้อเลียนว่าเป็นตัวต้นเหตุแห่งความพ่ายแพ้ก็ตาม
นั่นคือเหตุผลที่มักจะบอกตัวเองว่า แพ้ในเกมคือเรื่องปกติ แต่ควรรีบลุกขึ้นมาให้เร็วที่สุด ไม่มีที่ว่างความสำเร็จให้กับพวกท้อแท้เด็ดขาด
มันเป็นคาถาที่ เจอร์ราร์ด ท่องไว้ในใจมาตลอด กระทั่งมาสัมฤทธิ์เห็นผลเต็มๆก็ตอนอิสตันบูล 2005
ส่วนในวันที่เขาต้องลื่นล้มจนทำให้ทีมพ่ายเชลซี กระทั่งนำไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานานหลุดมือ มันเป็นความบอบช้ำอย่างแสนสาหัสเช่นกัน
ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น คนที่หัวใจร้องไห้และไม่สามารถข่มตาหลับได้ ไม่ใช่แค่แฟนบอลหรอก เจอร์ราร์ด เองก็ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้น
เขากำลังจะได้สร้างประวัติศาสตร์ชูโทรฟี่ลีกสูงสุด แล้วจังหวะลื่นครั้งเดียวทำให้อันตธานหายไป เป็นคนอื่นอาจจะไม่ไหวแล้ว ยอมศิโรราบให้กับชะตากรรมที่เล่นตลก
แต่ เจอร์ราร์ด ยังคงฝืนลุกขึ้นมา ด้วยคาถาเดิมๆ แม้ถึงที่สุดแล้วจะไม่มีวันนั้นจะไม่ได้เดินทางมาถึงก็ตาม
หลายคนยังคงจำได้เขาเกือบจะย้ายออกจากทีมแล้วในวันที่แย่สุดขีด โดนเดอะ ค็อปทั้งด่าทอแช่งชักหักกระดูก เผาทำลายเสื้อด้วยความแค้น เพราะเชื่อว่านักเตะสุดที่รักกำลังทรยศ
เมื่อดึงสติกลับมาได้ เขาบอกกับตัวเองว่าจะหักหลังแฟนบอลที่เทิดทูนบูชาตัวเองมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
เงินหรือความสำเร็จ เกียรติยศต่างๆ ล้วนแต่เป็นจุดมุ่งหมายของแข้งอาชีพทั้งสิ้น กระนั้นใช่ว่าจะต้องเป็นตัวแปรตัดสินเสมอไป
เจอร์ราร์ด จึงเลือกลิเวอร์พูลและในวันที่ต้องย้ายไปในปี 2015 เป็นเพราะเขาไม่ถูกเลือกแล้ว
รอยมนทินของ เจอร์ราร์ด คือไม่เคยเอื้อมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเสียใจมากๆ
แต่เสียใจยิ่งกว่าคือวันที่ต้องเดินจากมา โดยที่ยังไม่ได้กล่าวลาอย่างที่ต้องการ
กระนั้นแอนฟิลด์ยังคงรอต้อนรับฮีโร่กลับมาอีกครั้ง
เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้สนิทแนบแน่นหรือผูกพันอะไรกับ ดัลกลิช และ เจอร์ราร์ด สักเท่าไรเลย
อีกทั้งเขาเป็นชาวเยอรมันที่ดูห่างไกลกันมากๆ
แต่นั่นแหล่ะเมื่อเราไม่อาจคาดเดากระแสทิศทางของสายลมแห่งโชคชะตาได้ ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึงตลอดเวลา
5 ปีของ คล็อปป์ กับลิเวอร์พูลอาจดูไม่นานในความรู้สึกของคนอื่น แต่สำหรับตัวเขาเองมันอาจมากพอที่จะบอกว่ากลายเป็นน้ำเนื้อส่วนหนึ่งไปเรียบร้อย
ประวัติศาสตร์อาจทำให้เขารู้จักผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสรทั้งสองคนนี้
แต่ความเป็นลิเวอร์พูลที่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองต่างหาก ช่วยผลักดันให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่รู้จัก
เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากมอบความสำเร็จนี้ให้และมันสมควรอย่างแท้จริง
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #ฉลองต้องฉลาด ] : กลายเป็นดราม่าร้อนฉ่าขึ้นมาเมื่อกองเชียร์ลิเวอร์พูลออกมาฉลองกันอย่างหนัก หลังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 30 ปี จนเกิดความวุ่นวายเสียหาย บางครั้งเดอะ ค็อปไม่กี่คนที่ทำให้เรื่องบานปลายและทำลายภาพลักษณ์ของส่วนรวม ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก หากยังไม่ให้ความร่วมมือกัน บางทีอาจไม่ได้ฉลองกันอีก
[ #จะเปลี่ยนตัวเองหรือเปลี่ยนทีม ] : หลายครั้งแล้วที่ มันเตโอ เกนดูซี่ ยังแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เหมาะสมทั้งในสนามจริงและสนามซ้อมเวลานี้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของเขา เรื่องฝีเท้าไม่มีใครกังขา แต่นิสัยส่วนตัวควรรีบปรับปรุงโดยด่วนถ้ายังเป็นเช่นเดิม อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในเร็ววัน
1
[ #ด่านหน้าที่ยากกว่าแชมป์ ] : ลิเวอร์พูลสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 30 ปีอย่างยิ่งใหญ่ ความสำเร็จครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้กับทุกฝ่ายที่ทำงานกันอย่างหนักอย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ คือผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญ นำทัพฝ่าด่านหินมามากมาย ต้องโดนทดสอบสารพัดกว่าจะมายืนอย่างสง่างามได้ตรงจุดนี้แต่เมื่องานฉลองเสร็จสิ้น ภารกิจใหม่จะตามมาและการรักษาความสำเร็จไว้คืองานที่ยากสุดแล้ว
[ ใครว่า"คีน"ไม่เข้าใจ ? ] : ในวันที่ รอย คีน มารับบทวิเคราะห์เกมทางหน้าจอทีวีด้วยลีลาที่ดุดันเด็ดขาดด่ากราดไม่เลือกหน้า เขามักจะเจอหลายคนตั้งคำถามว่าให้ลองมาทำทีมบ้างจะเข้าใจ อย่างไรก็ตาม คีน เคยผ่านงานผู้จัดการทีมมาพอสมควร อาจไม่ลึกซึ้งแต่ก็ได้ลิ้มรสมาหมดทั้งหวานและขม บางทีเราอาจเข้าใจ คีน มากขึ้นหากศึกษาชีวิตช่วงที่เขาเป็นกุนซือ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
โฆษณา