1 ก.ค. 2020 เวลา 02:16 • การศึกษา
ภาษีรอบตัวเรา
มานพ รัตนะ, FChFP
EP4 : เป็นไลฟ์โค้ช (Life Coach) ต้องเสียภาษีอย่างไร
ปัจจุบัน “ไลฟ์โค้ช” เป็นอาชีพที่ได้รับความสนใจกันไม่น้อย เพราะเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือผู้อื่น นำไปสู่การมีชื่อเสียงและเป็นจุดรวมความคิดและจิตใจของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะพักหลัง ๆ จะมีดราม่าเกี่ยวกับไลฟ์โค้ชกันบ่อย ก็ยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับการหาข้อมูลว่าใครคือของจริง ใครคือของปลอม
ถึงแม้ว่าไลฟ์โค้ชจะช่วยให้คนปลดล็อคทางความคิดและเดินไปข้างหน้าต่อได้ แต่หากไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องการวางแผนภาษีให้ดี ก็อาจส่งผลกระทบกับเรื่องการเงิน และอนาคตในการประกอบอาชีพได้เหมือนกัน
ในบทความนี้ เราจะมุ่งประเด็นไปในเรื่องของภาษี เนื่องจากไลฟ์โค้ชถือเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือผู้อื่น รายได้ของไฟล์โค้ชส่วนใหญ่จึงมาจากการใช้คำปรึกษา สัมมนา และอื่น ๆ ซึ่งในมุมมองของการวางแผนภาษีนั้น ต้องมีการแบ่งประเภทของรายได้ให้ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถวางแผนและเสียภาษีได้อย่างถูกต้องนั่นเอง
ก่อนอื่น ต้องตอบให้ได้ก่อนว่า ลักษณะงานของโค้ชคืออะไร
โดยปกติแล้ว ลักษณะงานของโค้ชคือการให้คำแนะนำและปรึกษา เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะมี 2 รูปแบบคือ
1. บริการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว หรือกลุ่มเล็ก ๆ
การให้บริการลักษณะนี้ถือเป็นลักษณะของการใช้แรงงาน (หนึ่งสมอง สองมือ) แลกกับเงิน ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(2) โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ 50% สูงสุดหักได้ไม่เกิน 100,000 บาท
2. จัดสัมมนาต่าง ๆ โดยตัวโค้ชอาจเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งอาจมีทีมงานช่วยในการติดต่อประสานงานในแต่ละเรื่อง
การให้บริการลักษณะนี้ถือเป็นลักษณะการทำงานในเชิงพาณิชย์ คือมีการลงทุนในการจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งต้องใช้ต้นทุนในการดำเนินการ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(8) โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงเท่านั้น (ไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา) ดังนั้น จึงต้องเก็บเอกสารหลักฐานที่แสดงถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ครบถ้วน และบริหารค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
จะเห็นว่า รายได้ทั้ง 2 ประเภท มีการบริหารจัดการภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากเทียบกับจำนวนรายได้ที่เท่ากัน หากโค้ชมีรายได้จากให้คำปรึกษาที่สูงมาก ๆ ก็จะมีโอกาสเสียภาษีมากกว่า รายได้ที่ได้มาจากการจัดสัมมนา เช่น
โค้ชมานพ มีรายได้จากการให้คำปรึกษาและแนะนำแก่บุคคลทั่วไป ในปีที่ผ่านมาเป็นเงิน 2,000,000 บาท (ถือเป็นเงินได้ประเภท 2) จะสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้น โค้ชมานพ จะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย = 2,000,000 – 100,000 = 1,900,000 บาท
ในขณะที่โค้ชมานะ มีรายได้จากการจัดสัมมนา ในปีที่ผ่านมาเป็นเงิน 2,000,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตลอดทั้งปี 1,200,000 บาท (ถือเป็นเงินได้ประเภท 8) จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง ดังนั้น โค้ชมานะ จะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย = 2,000,000 – 1,200,000 = 800,000 บาท
บางคนอาจแย้งว่า การบริการให้คำปรึกษา มีต้นทุนทีน้อยกว่าการจัดสัมมนามาก ๆ ดังนั้น หลังจากที่เสียภาษีแล้ว ก็น่าจะมีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่าลืมว่า กว่าที่โค้ชคนนึง จะมีชื่อเสียงจนได้รับการยอมรับจากสังคม ก็ต้องผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน และย่อมมีต้นทุนในระหว่างการดำเนินการต่าง ๆ ด้วย เราจึงไม่อาจบอกได้ว่า กำไรสุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีแล้ว แบบไหนจะเหลือเงินในกระเป๋ามากกว่ากัน ดังนั้น การวางแผนในการบริหารประเภทของรายได้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อไลฟ์โค้ชที่มีรายได้มากในระดับหนึ่ง มักจะเลือกที่จะทำธุรกิจในรูปแบบของบริษัทฯ มากกว่าบุคคลธรรมดา เพราะว่าจะสามารถบริหารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้ง อัตราภาษีของนิติบุคคล มีอัตราสูงสุด 20% ซึ่งต่ำกว่าอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่มีเพดานสูงถึง 35% ทำให้สามารถประหยัดภาษีได้มากกว่า
สิ่งสำคัญอีกเรื่องที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นธุรกิจการให้บริการ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โค้ชจำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจในนามบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม
ดังนั้น การมีความรู้ทางด้านภาษี และวางแผนให้ดี ไม่ใช่แค่จะประหยัดเงิน แต่ยังช่วยไม่ให้ต้องเสียเงินก้อนโตไปกับค่าปรับทางภาษีด้วยครับ
ในฐานะที่ไลฟ์โค้ช ถือเป็นไอดอลของผู้คนจำนวนมาก ดังนั้น การวางแผนที่จะเสียภาษีให้ถูกต้อง ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะให้ลูกศิษย์ได้ตระหนักและทำตาม เป็นการส่งเสริมให้คนทำในสิ่งที่ถูกต้อง สมกับการเป็นไลฟ์โค้ชด้วยครับ
#เรื่องภาษีไว้ใจเรา
แล้วพบกันครับ
มานพ รัตนะ
โฆษณา