1 ก.ค. 2020 เวลา 15:19 • ปรัชญา
ทำบุญอุทิศกุศลให้แก่คนตาย เขาจะได้รับหรือไม่
ช่วงนี้ใกล้ถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนา คือ วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชนจะบำเพ็ญกุศลโดยการใส่บาตร เข้าวัดถือศีล5 ปฎิบัติธรรมถือศีล 8 หรือทำบุญถวายสังฆทาน ฟังธรรม ถวายเทียนพรรษา และเวียนเทียน กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นการเกิดผลบุญกุศลทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่มาแห่งบุญไว้ 3 ประการโดยย่อคือ
 
1. บุญเกิดจากการให้ทาน
2. บุญเกิดจากการรักษาศีล
3. บุญเกิดจากการภาวนา
ในที่นี้จะกล่าวถึง การถวายทานคือปัจจัย 4 เท่านั้น และการอุทิศกุศลหมายถึงการให้เฉพาะเจาะจง การทำบุญอุทิศกุศลให้แก่คนตายมีทั้ง...."ได้รับ" และ"ไม่ได้รับ" ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่อไปนี้:
กรณีที่ผู้ตายไม่ได้รับ แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ
1. ฝ่ายกุศล คือ บุคคลผู้ประพฤติตนอยู่ใน" กุศลกรรมบถ 10 ( ทางแห่งกรรมที่เป็นกุศลความดีนำไปสู่ความสุข ความเจริญหรือสุคติ) ขณะ เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อตายไป ด้วยผลของกุศลกรรมนี้ เขาย่อมไปเกิดในสุคติ(เกิดที่ดี) คือ
1.1 เกิดเป็นมนุษย์และย่อมเสวยวิบาก ด้วยการบริโภคอาหารของมนุษย์ เพื่อเลี้ยงชีวิต
หรือ 1.2 เกิดเป็น เทวดาและย่อมเสวยวิบากด้วยการบริโภค อาหารของเทวดาเพื่อเลี้ยงชีวิต
2. ฝ่ายอกุศล คือ บุคคลผู้ประพฤติตนอยู่ในอกุศลกรรมบถ 10 ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อตายไป ด้วยผลของอกุศลกรรมนี้ เขาย่อมไปเกิดในทุคติ(คือเกิดที่ไม่ดี) คือ
2.1 นรก และย่อมเสวยวิบากด้วยการบริโภคอาหารของสัตว์นรกเพื่อเลี้ยงชีวิต
หรือ 2.2 เป็นสัตว์เดรัจฉานและย่อมเสวยวิบากด้วยการบริโภคอาหารของสัตว์เดรัจฉานเพื่อเลี้ยงชีวิต
ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถรับและบริโภคปัจจัย 4 ที่ผู้ทำบุญอุทิศบุญไปให้ได้
กรณี...ผู้ตายได้รับคือ
บุคคลผู้ประพฤติตนอยู่ในอกุศลกรรมบถ 10 ขณะที่เขามีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปด้วยผลของอกุศลกรรมนี้ เขาย่อมไปเกิดในทุคติ คือ เปรตและย่อมเสวยวิบากกรรมด้วยการบริโภคอาหารของเปรตเพื่อเลี้ยงชีวิต และเขายังสามารถเลี้ยงชีวิตได้ด้วยการอนุโมทนาในส่วนบุญกุศลที่ญาติมิตร ได้ทำบุญด้วยการถวายปัจจัย 4 และอุทิศบุญกุศลให้
เปรตที่ว่านี้หมายถึง ปรทัตตุปชีวกเปรต ซึ่งเป็นเปรตจำพวกเดียวเท่านั้น ที่สามารถรับส่วนบุญกุศลของญาติมิตรที่อุทิศบุญไปให้ได้ หลังจากได้กล่าวคำอนุโมทนาว่า "สาธุ" "สาธุ" แล้ว เปรตประเภทนี้ มักอาศัยอยู่ใกล้บริเวณบ้านเพราะขณะใกล้ตาย เกิดความห่วงหาอาลัยในทรัพย์สิน เงินทอง ญาติมิตรสหาย ครั้นถึงแก่ความตายก็ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ใกล้ๆบ้านนั้น และบางครั้งด้วยความทุกข์ทรมานจากความหิวโหย เขาก็จะปรากฎกายให้ญาติมิตรได้เห็น เพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้น หากใครเคยเห็นเปรต หรือที่เรียกว่า " ผี " นี้ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเขาได้รับความเดือดร้อนต้องการให้เราช่วยเหลือ ก็ให้เราทำบุญด้วยปัจจัย 4 แล้วอุทิศบุญไปให้ผีหรือเปรตตนนั้นให้เขาได้มาอนุโมทนาส่วนบุญ
* เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะไม่มีญาติที่ตายไปแล้ว จะไม่ไปเกิดในภพเปรต ในสังสารวัฏฏ์อันยืดยาวนานนี้
กรณีที่..ผู้ให้ทานได้รับเองแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ
1.ฝ่ายกุศล ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ประพฤติ กุศลกรรมบถ 10 ( ละเว้นอกุศลกรรมบถ10 ) และเคยทำบุญถวายปัจจัย 4 แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเสวยผลกรรมดีนั้นด้วยการไปเกิดในภพภูมิของ มนุษย์ เขาย่อมได้ กามคุณ ( คือ รูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสกายที่ถูกใจ) อันเป็นของมนุษย์
หรือ ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา เขาย่อมได้ กามคุณอันเป็นทิพย์ ในเทวโลก
 
ฉะนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่นั้นควรปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ประกอบกรรมดีละเว้นความชั่วทุกประการ แล้วอุทิศบุญไปให้ผู้ตาย เมื่อเขาได้อนุโมทนาในบุญนั้นเขาย่อมได้รับผลและประโยชน์มาก
เพิ่มเติมจากพระไตรปิฎก อากังเขยยสูตร ม.มู22/77 ดังข้อความบางตอนนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย..ถ้าภิกษุจะพึ่งหวังว่า..ญาติและสาโลหิตของเราเหล่าใดที่ล่วงลับไปแล้วมีจิตเลื่อมใสระลึกถึง (เธอ) อยู่ ความระลึกถึงด้วยจิตเลื่อมใสของพวกเขาเหล่านั้นจะมีผลมากมีอานิสงค์(ประโยชน์) มาก (ก็ต่อเมื่อ..เธอ...)
1. รักษาศีลให้บริสุทธิ์
2.ปฎิบัติเจโตสมถะ(สมาธิ) สิ่งที่ทำให้จิตสงบจากกิเลสภายใน
3.ไม่ละทิ้ง ห่างเหินจากการเพ่ง ฌาน
4. ปฏิบัติวิปัสสนา
5. เพิ่มพูน สุญญาคาร ( มีปัญญาเห็นอนัตตา)
คำกรวดน้ำอุทิศกุศลให้คนตาย
"ขอให้ทานกุศลนี้ จงสำเร็จประโยชน์ แก่เปรตญาติทั้งปวง และขอให้ญาติทั้งหลายในภพภูมิอื่นๆจงได้มาอนุโมทนาใน ศีล สมาธิ ปัญญาที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาดีแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ขอให้ญาติทั้งหลายเหล่านั้นได้ฟังธรรม ได้ปฏิบัติตรงตามธรรมจนพ้นจากทุกข์ มีความสุข ความเจริญ ตราบสิ้นกาลนานเทอญ"
จบเรื่องการทำบุญอุทิศกุศลให้ผู้ตายและขอให้เพื่อน BD โปรดติดตามบทความธรรมะใน เพจ mercy ต่อไปนะคะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้คะ
อ้างอิง: รูป www.pixabay.com
หนังสือพระไตรปิฎก ชาณุสโลนีสูตร ฉบับ มหามกุฏฯ
โฆษณา