2 ก.ค. 2020 เวลา 12:50 • ท่องเที่ยว
เขาค้อ-ภูทับเบิก แบบไม่มีรีสอร์ทและวิวกะหล่ำ
หลังจากสถานะการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลงมาบ้าง สัญชาติญาณนักเดินทางบอกให้ผมออกจากห้องสี่เหลี่ยมไปสัมผัสธรรมชาติ ภูเขา ท้องฟ้า และหมอกขาว ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในรอบ 3 เดือน และผมเลือก "เขาค้อ-ภูทับเบิก"
5 ชั่วโมงคือเวลาในการเดินทางจากเมืองหลวงสู่เขาค้อ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแรก ความชุ่มฉ่ำและสีเขียวขจีของธรรมชาติสองข้างทางทำให้ผมเดินทางแบบไม่เร่งรีบนัก
เขาตะเคียนโง๊ะยามเช้า
คืนนี้ผมเลือกที่จะไม่พักในรีสอร์ท แต่เป็นเนินเขาเล็กๆที่เรียกว่า "เขาตะเคียนโง๊ะ" วิว 360 องศาของที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติจริงๆ หลังจากกางเต๊นท์เรียบร้อย พระอาทิตย์ก็ใกล้ลับขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก มีฉากหน้าเป็นผืนป่าของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
ก่อนเข้านอนนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ย้อนนึกถึงเรื่องราวความทรงจำในอดีต ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับบรรยากาศและหมู่ดาว ก่อนเข้านอนไปพร้อมกับฝนที่ตกลงมาช่วงกลางดึก และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าความงามจึงบังเกิด
วิวพระอาทิตย์ขึ้นจากเขาตะเคียนโง๊ะ
แสงแรกกระทบกับสายหมอกและเขาปู่เขาย่าตรงหน้าผม ภาพที่ออกมาจึงมหัศจรรย์อย่างที่เห็น ผมนั่งมองอยู่อย่างนั้นจนแสงอาทิตย์เริ่มร้อนแรงขึ้น จึงออกเดินทางไปยังภูทับเบิก
ระหว่างทางมีจุดให้แวะพักเป็นระยะทั้งวิวดีๆ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว และคาเฟ่สวยๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อมายังสถานที่แห่งนี้บนภูทับเบิกที่จะทำให้ลืมวิวทุ่งกะหล่ำที่คุ้นตา ที่นี่คือ "ผาหัวสิงห์"
ผาหัวสิงห์
และเช่นเคย ผมเลือกกางเต๊นท์บนภูฟ้าเพียงดิน จากตรงนี้สามารถมองเห็นผาหัวสิงห์ได้สวยงามที่สุด พระอาทิตย์ตกที่นี่สวยงามมากแล้ว ว่ากันว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจะงดงามยิ่งกว่า ผมเข้านอนพร้อมอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็น เพื่อตื่นมาพบความงามในรุ่งเช้าของอีกวัน
แสงของยามเช้ากับหมอกฟูๆ มาพร้อมลมเย็นๆที่พัดปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ให้ธรรมชาติได้โอบกอด เยียวยาความอ่อนล้าของหัวใจ ได้แต่คิดในใจว่า ถ้าเรารักธรรมชาติกันมากกว่านี้ อีลอน มัสก์ คงไม่ต้องลำบากหาทางไปดาวอังคาร
ตอนที่ผมนั่งเขียนเรื่องราวนี้ ก็กลับมาที่เมืองใหญ่แล้ว ก้มหน้าก้มตาทำงานอันเป็นที่รักเช่นเดิม แต่ยังเหมือนมีกลิ่นดินกลิ่นฝนติดตัวอยู่ แบบนี้ทริปหน้าคงอีกไม่นานแน่นอน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา