2 ก.ค. 2020 เวลา 08:42 • ธุรกิจ
แรงไม่ตกของ Life Coaching ในวันที่วิจารณญาณอ่อนค่า แต่ความรู้สึกมาเต็ม
กระแสความนิยม และการปรากฏตัวของ Life Coach ตามสื่อต่างๆเพิ่มขึ้นแบบ Viral ก็ว่าได้ แท้จริงแล้ว "โค้ชนี้เพื่อใคร"
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยอ่าน เคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องราวของโค้ชมาบ้าง ซึ่งเรื่องราวของโค้ชเองนั้นคงสามารถแยกแตกแขนงออกไปได้หลากหลาย แต่ที่เห็นกันมากและเด่นชัดคือ Life Coaching และ Performance Coaching และโดยส่วนตัวผมเอง ผมมีความสนใจใน Performance Coaching ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าดูมีความเป็นรูปธรรมมากกว่า ใกล้เคียงกับจริตและฐานคิดที่ตนเองมีอยู่เดิม
แต่ไม่ว่าจะโค้ชกันแขนงไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานที่เหมือนกัน คือการเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้ได้รับการโค้ช(Coachee) สามารถบรรลุเป้าหมาย ด้วยแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปได้ในแบบของตนเอง หรือที่ผมมักเรียกว่า "ใต้ร่มศักยภาพของตนเองอย่างมีสไตล์" โดยโค้ชจะสนับสนุนให้เกิดการ "มองหา" และ "มองเห็น" ใต้ร่มศักยภาพที่อาจถูกบดบังจากความขุ่นมั่วหรือม่านหมอกบังใจทั้งหลายแหล่ หรือฝรั่งเขาเรียก Unblocking
สรุปได้ว่า ทุกอย่างมาจากความต้องการที่แท้จริงของตัว Coachee เอง ตั้งแต่การค้นหาและตั้งเป้าหมาย ไปจนถึงแนวทางการบรรลุเป้าหมายนั้น
ในส่วนการที่มีโค้ชแขนงต่างๆ เป็นการเลือกใช้และนำศาสตร์ หรือทฤษฏีอันเป็นเอกของแต่ละแขนงที่จะหยิบยกมาเป็นสมมติฐานในการรองรับความชอบธรรม ซึ่งก็คือความเชื่อแบบหนึ่งอันปฏิเสธไม่ ว่าสิ่งนั้นมีความถูกต้อง ดีงาม ตามโค้ชในแขนงต่างๆ
แต่ Viral ของ Life Coaching ที่ผ่านหูผ่านตา ก็ทำให้ผมเกิดความสงสัยเล็กๆ ว่า "อะไรที่มันขาดหายไปจากสังคม" จนทำให้เกิดการ Supply เรื่องราวของ Life Coaching ออกมาซะมากมาย และส่วนใหญ่จะออกไปในแนวทางของการสร้างความร่ำรวย พร้อมสูตรสำเร็จบ้าง เรื่องเล่าบ้าง แนะนำให้ไปเรียน ไปลงคอร์สบ้าง และยังแถมด้วย"วลีเด็ด" หรือ "คำเดือด" ที่ทำให้อะดีนาลีน พลุ่งพลานอยากหยิบเอาความสำเร็จนั้นมาครอบครอง
เห้ย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่คือการโค้ชจริงหรือ
รักนี้เพื่อใคร? เอ้ย โค้ชนี้เพื่อใคร?
การโค้ช มันทำบนเป้าหมาย และ ร่มศักยภาพของ Coachee นะ
บางคนบอกว่าใครๆก็อยากรวย ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ขอให้คุณไปทำตามนี้ หรือใครอยากมีความสุข ก็จงไปทำตามนี้
แต่เดี๋ยวๆก่อนนะ เป้าหมายและศักยภาพ มันเหมาเข่งไม่ได้ ไม่ใช่เหรอ
สิ่งเหล่านี้ ผมแอบคิดว่ามันคือการสร้าง Demand เทียมขึ้นมาในหัวคนรึเปล่า ใช้ห้วงเวลาที่คนตกอยู่ในบรรยากาศที่เคลิบเคล้มด้วยเรื่องเล่า และวลีเด็ด คำเดือดมากมาย ประกอบกับชื่อเสียง และการสร้างสถานการณ์การสื่อสารที่เร้าความรู้สึก เสมือนว่าถ้าไม่ทำ ไม่เรียน ไม่เชื่อ แล้วคุณจะพลาดโอกาส ในขณะที่คนอื่นไม่พลาด อ่าวมันคือจิตวิทยาในการเร้าความรู้สึก เน้นที่ความรู้สึก ให้ตัดสินใจ ให้ลงมือ ให้เชื่อตามที่ว่า โอเค จบๆๆ
แต่คำถามของผมคือ แล้วผู้คนเหล่านั้นมีโอกาสได้ใช้วิจารณญาณที่ถ่องแท้ รอบด้าน เพื่อให้ตนเองสามารถแสวงหาเป้าหมายแห่งความสุขที่แท้จริงอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้อย่างไร และวิธีการที่จะใช้มันอยู่ใต้ร่มศักยภาพของเขาเหล่านั้นจริงเหรอ
เป็นเรื่องราวที่ชวนคิด และแบ่งปปันมุมมองกับเพื่อนๆ แล้วคุณคิดอย่างไรกับเรื่องราวเหล่านี้เล่าสู่กันฟังบ้างครับ
ขอจบสวยๆ แบบโค้ชบนหลักการโค้ชสักนิดหน่อย พอเป็นการกระตุ้นเตือนตัวเองในวิถีการโค้ช ด้วยคำถามชวนคิดสักเล็กน้อย
- ในขณะที่คุณฟัง คุณมีแนวทางอย่างไรในการรักษาวิจารณาญาณในการฟัง
- คุณสามารถรับรู้ได้อย่างไร ว่าคุณกำลังถูกโน้มน้าวทางด้านความรู้สึกอยู่ ณ ขณะนั้น
- หากคุณกำลังรับรู้ว่าถูกโน้มน้าวทางความรู้สึก คุณจะปรับการฟังให้เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองได้อย่างไร
คำตอบของคุณ จะได้ใช้ในแบบของคุณ
โฆษณา