2 ก.ค. 2020 เวลา 11:12 • ความคิดเห็น
ไม่มีทัศนคติเชิงบวกใดจะทำให้เราเข้าใจโลกเท่า"ทัศนแห่งความจริง"
ผมเชื่อว่าเราหลายคนคงได้เรียนรู้ความคิดเชิงบวกมาจากคอร์สสร้างแรงบัลดาลใจมาหลายๆคนผ่าน Youtube และ การเสียเงินเข้าคอร์สสัมนา ซึ่งสิ่งที่เราได้นั้นก็คือ ทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิตพร้อมกับคำพูดของ Life Coach ซึ่งออกแนวทำนองว่า"ทัศนคติเชิงลบคือปีศาจ จงกำจัดมันให้พ้นสมองของคุณ" และ "ทัศนคติเชิงบวกคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคุณก้าวหน้าพัฒนาขึ้น จงคิดถึงมันเป็นประจำ"
และคุณคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องไหมครับ ใช่ครับ มันถูกต้องอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ แต่มัน"ถูกครึ่งเดียว" และถูก"ปกปิดบางส่วน" และในวันนี้ Near us จะอธิบายให้ฟังครับว่า เขาใช้วิธีการ"ลูกล่อลูกชนความคิดเชิงบวก" ได้อย่างไร
ศาสตราจารย์ Svend Brinkmann อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยาและการสื่อสารจากมหาวิทยาลัย อัลเบิร์ก (Aalborg University) ประเทศเดนมาร์ก ได้ให้มุมมองในเรื่องของ ด้านมืดของความคิดเชิงบวก ที่น่าสนใจมากครับ โดยเขาได้อธิบายว่า "สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการพยายามคิดบวกก็คือการหลอกตัวเอง เพราะสิ่งนี้อาจนำมาซึ่งผลเสียต่อภาวะอารมณ์ของเรามากกว่าที่คิด"
Svend Brinkmann
เขายังได้พูดต่ออีกว่า“ผมเชื่อว่าความคิดและความรู้สึกของเรา คือกระจกสะท้อนโลกใบนี้ เมื่อเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เราทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกไม่ดี และคิดลบ เพราะนั่นคือวิธีที่เราจะเข้าใจโลก"
1
และศาสตารจารย์ยังได้บอกอีกว่า "ถ้าหากเราใช้ชีวิตโดยเคยชินกับการบังคับตัวเองให้คิดบวกเพียงอย่างเดียว เมื่อเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นผ่านเข้ามา มันจะทำร้ายเรามากกว่าที่ควรจะเป็น และการที่เราต้องบังคับตัวเองให้คิดบวก เพื่อทำงานแลกเงิน ความสุขที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ของเราจริง ๆ แต่มันคือความพยายามกดดันตัวเองให้ได้มันมา"
2
หรือพูออีกนัยย์หนึ่งก็คือ การที่หัวหน้าเริ่มบังคับให้ลูกน้องพูดแต่สิ่งดีๆและห้ามพูดสิ่งที่ไม่ดี มันจะกลายเป็นว่า "เอาดีฉาบหน้า เอาชั่วซ่อนหลัง" และผลก็คือ ไม่มีใครทำงานอย่างมีความสุขเพราะไม่กล้าพูดความจริงและกลายเป็นคนที่มองโลกแห่งความเป็นจริงไม่เป็น....
1
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ด้านลบของการคิดบวกแล้ว คราวนี้เราลองมาดูกันครับว่า พวกLife Coach เขามีขั้นตอนและวิธีการอย่างไรในการดึงดูดเงินของเราและผลประโยชน์มากมายเข้กระเป๋าของเขา
จริงๆแล้วขั้นตอนมันง่ายๆมากๆเลยครับ เพียงแค่คุณรู้จักตัวเองมากพอ คุณก็ดูออกแล้วว่าเขาหากินกับคุณยังใง เริ่มจาก
ขั้นตอนที่ 1 รอจังหวะที่ผู้คนอ่อนแอเดินเข้ามาหาใน Social Media
เราทุกคนล้วนมีความอ่อนแอและมีจุดอ่อนเป็นเรื่องธรรมดาครับ และความอ่อนแอนี้แหละคือสิ่งที่เขาต้องการจากคุณมากๆ เพราะมันทำให้คุณเปิดช่องว่างให้เขาเอาความคิดเชิงบวกที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมา(และCopyตัดต่อมาจากคนอื่น)ใส่ในหัวสมองคุณผ่าน YouTube และ Facebook&IG โดยพยายาม"สร้างความประทับใจในความอ่อนแอของจิตใจเรา"ให้มากที่สุด เพราะเขารู้ว่า ยิ่งคุณอ่อนแอมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสซื้อคอร์สของเขาด้วยความรู้สึกมากขึ้นเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 2 รอจังหวะที่คุณประทับใจจนยอมเสียเงิน
หลังจากที่คุณได้เริ่มซึมซับแรงบัลดาลใจผ่าน Social Media ของเขาแล้ว คุณก็จะเริ่มหลงไหลเขามากขึ้นเรื่อยๆครับ มันก็เหมือนกับการที่คุณบ้าดาราหรือใครซักคนหนึ่งจนคุณต้องซื้อตั๋วเพื่อไปเจอเขาให้ได้นั่นแหละ และในกรณีของตอร์สสร้างแรงบัลดาลใจก็ไม่ได้ต่างกันเลยครับ เพราะดาราเขาหากินบนความสุขของคน แต่Life Codeเขาหากินบนจุดอ่อนและความโศกเศร้าของคน(ไม่ได้เข้าข้างใครนะครับ)
2
โดยวิธีการของเขาก็ไม่ได้ยากอะไรครับ เพียงแค่ Promote ผ่านช่องทางคอร์สสัมนาที่ตัวเองได้ทำSocial Media มาก่อนแล้วและหลังจากที่คุณได้เสียเงินไปแล้ว เขาก็จะพยายามประดิษฐ์ความคิด/ทัศนติเชิงบวก/แรงบัลดาลใจ จากตัวเองและคนที่เขาได้Copyและเรียบเรียงมาอย่างดีมาไว้ในงานสัมนา ซึ่งมันต้องดีกว่าในSocial Media อยู่แล้วเพราะสิ่งที่อยู่ในSocialเขาทำเพื่อเรียกยอด Like&Followเฉยๆ แต่ของจริงที่เสียเงินเขาจะเอามาไว้ที่งานสัมนา(แต่ทุกอย่างใช้วิธีแบบเดิมแต่เพื่มเติมคือเห็นหน้าจริงๆของเขา)
ขั้นตอนที่ 3 คุณถูกล้างสมองจากสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้วกลายเป็น"ลูกค้าประจำ"
เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองได้รับทัศนคติเชิงบวกที่คุณ"รู้สึก"โหยหามานานแล้ว สิ่งๆนี้จะทำให้คุณเชื่อเขาแบบสนิทใจแล้วครับ แล้วคุณก็จะกลายเป็น"โล่กำบังเชิงบวก"ของเขาที่เขาได้ป้อนเข้ามาในสมองของคุณและหากใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับตัวเขา คุณก็จะด่าเขาแล้วบอกว่า"พวกทัศนคติเชิงลบ"และ"พวกไม่พัฒนาตัวเอง"ยังใงล่ะครับ
เรียกได้ว่า นอกจากเขาจะได้เงินจากคุณแล้ว เขายังได้คุณมาปกป้องจากคนที่มองเห็นความจริงที่เขาซ่อนเอาไว้ด้วย ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว
ปิดท้ายด้วยข้อสงสัยที่น่าคิด
1.ก่อนที่คุณจะจ่ายเงินให้พวกเค้า เพื่อขอให้พวกเค้าสอนให้คุณ คุณลองวิเคราะห์ดูก่อนว่าเขารวยมาจากการสร้างเนื้อสร้างตัวเองหรือรวยมาจากการที่เขาขายคอร์สให้คุณ
2.แบรนดอน เบอร์ชาด ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The Millionaire Messenger ได้เคยเล่าว่า ครั้งหนึ่งน้องสาวของเค้าเคยมาปรึกษากับเค้าเพราะน้องสาวมีปัญหาเรื่องความรัก ทีนี้ตัวเค้าตอนนั้นก็ไม่รู้จะให้คำปรึกษากับน้องยังไงเพราะไม่เคยมีแฟนมาก่อน เค้าเลยตัดสินใจหาข้อมูลจากหนังสือที่อธิบายถึงความรัก และอ่านมันแบบบ้าคลั่งสุดๆ จากนั้นก็กลับไปให้คำปรึกษากับน้องแต่กลับกลายเป็นว่าผลตอบรับกลับดี น้องสาวเขารู้สึกดีขึ้น(โดยที่เดิมทีเขาไม่เคยมีความรักและไม่เคยมีแฟนกับใครซักคน)
3.จากข้อ 2 คุณพิสูจน์ได้ไหมครับว่า พวกที่ขายคอร์สสร้างแรงบัลดาลใจจะไม่ทำแบบเดียวกัน?
4
โฆษณา