2 ก.ค. 2020 เวลา 08:55 • กีฬา
ทำไมเจอร์เก้น คล็อปป์ และเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงปฏิเสธแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่คือสาเหตุที่ทีมปีศาจแดง พลาดได้ตัว 2 กุนซือที่เก่งที่สุดในโลก
มาถึงวินาทีนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือ 2 ผู้จัดการทีมที่โดดเด่นที่สุดในโลก จากผลงานที่ชัดเจนมากๆ จนทุกคนยอมรับ
กวาร์ดิโอล่า คว้าแชมป์ลีกกับทุกสโมสรที่คุม บาร์เซโลน่า มาบาเยิร์น มิวนิค และล่าสุดคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาคุมทีมมา 4 ฤดูกาล ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไป 2 หน ซึ่งกับลีกที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดแบบนี้ แชมป์ 2 หน ถือว่าน่าประทับใจแล้ว
ขณะที่เจอร์เก้น คล็อปป์ เริ่มต้นจากไมนซ์ ทีมในลีกา 2 พาเลื่อนชั้นมาบุนเดสลีกา ก่อนจะย้ายมาดอร์ทมุนด์ พาทีมเสือเหลืองได้แชมป์ลีก 2 สมัย ก่อนย้ายมาลิเวอร์พูลในปี 2015 และพาหงส์แดงที่กำลังจะล่มสลายในยุคปลายร็อดเจอร์ส พลิกกลับมาเป็นแชมป์ยุโรป 1 ครั้ง และ แชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 1 หน
ดังนั้น สำหรับแมนฯซิตี้ และลิเวอร์พูล สองทีมที่ได้ตัวกวาร์ดิโอล่า กับ คล็อปป์ไปคุม ก็เหมือนกับถูกหวย คือในโลกของฟุตบอล ต่อให้คุณมีเจ้าของที่รวยขนาดไหน และนักเตะในทีมที่เก่งเท่าไหร่ แต่ถ้าผู้จัดการทีม ที่เป็นคนกุมบังเหียนไม่เก่งพอ มันก็ยากจะประสบความสำเร็จได้
1
จริงๆแล้ว มีเรื่องที่น่าสนใจ 1 อย่าง คือก่อนที่กวาร์ดิโอล่า จะเลือกแมนฯซิตี้ และ คล็อปป์จะเลือกลิเวอร์พูล มีอยู่หนึ่งสโมสร ที่เล็งสองคนนี้เอาไว้ก่อน ทั้งเรือและหงส์เสียอีก คืออ่านขาดตั้งแต่แรกว่า เป๊ป กับคล็อปป์ จะทำให้สโมสรแล่นฉิวแน่ๆ
สโมสรนั้นคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมีวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยม รู้ตั้งแต่แรกว่าเป๊ปกับคล็อปป์คือของจริง
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่า ทั้ง 2 คน เลือกบอกปัดแมนฯยูไนเต็ด ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาไม่ตกลงใจมาอยู่โอลด์แทรฟฟอร์ด เราจะย้อนความหลังไปด้วยกัน
ความจริงแล้วแผนดั้งเดิมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาจะประกาศรีไทร์หลังจบฤดูกาล 2011-12 อย่างไรก็ตาม พอโดนแมนฯซิตี้ของโรแบร์โต้ มันชินี่ ปาดหน้าได้แชมป์นาทีสุดท้าย ทำให้ทีมปีศาจแดงต้องจบฤดูกาลแบบมือเปล่า
ซึ่งแน่นอน คนอย่างเฟอร์กี้ยอมไม่ได้ที่จะรีไทร์ไปทั้งแบบนี้ เขาจึงยืดเวลาอีก 1 ปี และคุมทีมต่อในฤดูกาล 2012-13 เพื่อทวงแชมป์คืนให้ได้
คราวนี้ผีแดงจัดเต็ม ซื้อโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ จากอาร์เซน่อล ซื้อชินจิ คากาวะ จากดอร์ทมุนด์ ยิ่งมารวมกับตัวเก่งๆในทีม ทั้งริโอ เฟอร์ดินานด์ และเวย์น รูนี่ย์ ทำให้แมนฯยูไนเต็ด พอผ่านไป 10 เกมแรก พวกเขานำจ่าฝูง จากนั้นก็ยึดอันดับ 1 ไว้ได้ยาวนานแบบไม่มีแผ่วเลย
เมื่อเห็นว่าทีมจะได้แชมป์แล้ว คราวนี้เฟอร์กี้ก็โล่งใจ สามารถอำลาทีมไปอย่างสง่างาม อย่างไรก็ตาม ปัญหาเดียวที่ทำให้เขายังมีห่วงอยู่คือสโมสรจะเอาใครมาสานงานต่อจากเขา
แมนฯยูไนเต็ดในซีซั่น 2012-13 อาจจะแกร่งพอที่จะได้แชมป์ก็จริง แต่นักเตะโดยรวมของทีมนั้นอายุเยอะแล้ว
ริโอ 33, สโคลส์ 37, วิดิช 30, กิ๊กส์ 38, คาร์ริก 30 มันแปลว่าโค้ชคนใหม่ที่จะเข้ามาคุม ต้องเจอความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะการ "ถ่ายเลือด" เอานักเตะดาวรุ่งตัวใหม่ๆ มาทดแทนรุ่นพี่ที่โรยราแล้ว
เฟอร์กูสันมองตัวเลือกหลายคน และสุดท้ายคิดว่า คนที่เหมาะที่สุดที่จะสืบทอดตำนานของเขา คือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า
1
กวาร์ดิโอล่า หลังจากพาบาร์เซโลน่าได้แชมป์ทุกรายการบนโลก มาในซีซั่น 2011-12 บาร์ซ่าก็ดร็อปลงจนได้ เมื่อจบอันดับ 2 ในลีก แพ้เรอัล มาดริด ขณะที่ในแชมเปี้ยนส์ลีก ก็ตกรอบรองชนะเลิศด้วยการแพ้เชลซี
1
ถึงจุดนั้นกวาร์ดิโอล่า ยอมรับว่าเขาไม่ไหวแล้ว การคุมบาร์เซโลน่าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดตลอดเวลา มันทำให้เขาหมดไอเดียอย่างสิ้นเชิง เขาไม่แน่ใจว่าจะพัฒนาทีมให้เก่งไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีปัญหาขัดแย้งกับซานโดร โรเซลล์ ประธานสโมสร ณ เวลานั้นอีก ทำให้สุดท้ายเป๊ป ประกาศอำลาบาร์ซ่าในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะบาร์ซ่าในยุครุ่งเรืองขนาดนั้น โค้ชคนไหนก็อยากคุม แต่เป๊ปกลับบอกลาทีมอย่างไม่ลังเลใจเลย
กวาร์ดิโอล่าประกาศว่า ในซีซั่น 2012-13 จะเป็น Sabbatical year หรือปีที่เขาหยุดพักจากการทำงาน และเมื่อพร้อมแล้วในซีซั่นต่อไป 2013-14 จะกลับมาทำงานต่อ แต่ยังไม่รู้ ว่าจะเป็นสโมสรไหน
ซึ่งเมื่อเป๊ปประกาศไปแบบนั้น ทำให้มีหลายสโมสรหูผึ่งทันที ใครๆก็อยากได้ตัวอัจฉริยะคนนี้ไปทำงานให้ และทีมแรกที่เปิดฉากรุกก่อน คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
1
ในขณะที่ทีมอื่นยังคิดนี่ คิดนั่น เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อ่านสถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาดว่า เป๊ปนี่ล่ะ คือคนที่ใช่ที่สุด เพราะผลงานที่คุมบาร์ซ่ามาตลอด 4 ปี มันพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว
และความเก่งของเป๊ปนั้น ไม่ใช่แค่โทรฟี่แชมป์ แต่ความเฉียบขาดในการจัดการ เขาก็ไม่เป็นรองใคร อย่างในกรณีของซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่สโมสรจ่ายเงินแพงที่สุดในประวัติการณ์ ซื้อมาร่วมทัพในปี 2009 แน่นอนว่า เป๊ปก็โดนแรงกดดันจากประธานสโมสรให้ส่งอิบราลงเล่น แต่สุดท้าย เมื่อเป๊ปเห็นว่า การเอาอิบราลง มันจะลดทอนศักยภาพในการยืนหน้าเป้าของลีโอเนล เมสซี่ เขาก็กล้าจะดร็อปอิบราฮิโมวิชเป็นสำรอง ก่อนจะปล่อยทิ้งให้เอซี มิลานในซีซั่นต่อมา
1
นอกจากนั้น เป๊ปยังมีสายตาที่เฉียบขาดในการดันดาวรุ่งที่เขาคิดว่าเจ๋งพอ ให้ออกสตาร์ตทันทีกับทีมชุดใหญ่ ตัวอย่างเช่น เซร์คิโอ บุสเกตต์ เคยเล่นในบาร์ซ่า เบ ในระดับดิวิชั่น 4 แล้วพอเป๊ปเข้ามาคุมปีแรก ก็ดันมาเล่นชุดใหญ่ทันที หรืออย่างเปโดร โรดริเกวซ ก็ได้แจ้งเกิดจริงๆจังๆ ตั้งแต่เป๊ปเข้ามาคุมเช่นกัน
1
ความอัจฉริยะในการสร้างสรรค์แท็กติกใหม่ๆ บวกกับความกล้าที่จะชนกับผู้บริหาร และทักษะในการปั้นเยาวชนที่น่าทึ่ง นั่นทำให้เฟอร์กี้มองว่า เป๊ปจะรับมือกับแรงกดดันที่แมนฯยูไนเต็ดได้ดีมาก คือจะส่งไม้ต่อกันได้แบบไม่สะดุดกันเลยทีเดียว
ดังนั้นช่วงเปิดซีซั่น 2012-13 ตอนที่เป๊ปยังไม่ได้รับข้อเสนอจากใคร เซอร์อเล็กซ์ ตัดสินใจบินจากแมนเชสเตอร์ ไปหาเป๊ปที่นิวยอร์กเพื่อดินเนอร์ด้วยกัน 1 มื้อ และทำการ "ทาบทาม" ให้เป๊ปมาเป็นกุนซือคนใหม่ของแมนฯยูไนเต็ด
1
"ผมไปหาเป๊ป กวาร์ดิโอล่าที่นิวยอร์กในปี 2012 แต่ผมไม่ได้ยื่นข้อเสนอโดยตรงให้เขา ณ ขณะนั้น เพราะผมอยู่ในตำแหน่งอยู่" เฟอร์กูสันเล่า "ณ เวลานั้น เขาคว้าแชมป์มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย, ลาลีกา 3 สมัย, โกปาเดลเรย์ 2 สมัย, ฟีฟ่าคลับเวิลด์ 2 สมัย คือมันทำให้ผมชื่นชมเขาอย่างมากจริงๆ"
"ผมขอกวาร์ดิโอล่าเอาไว้ว่า ก่อนที่จะตอบตกลงข้อเสนอกับทีมไหน ให้โทรบอกเขาก่อนพอจะเป็นไปได้ไหม" แน่นอน แมนฯยูไนเต็ดเอาจริง ถ้าเป๊ปคิดจะไปคุมทีมไหน จะได้ยื่นข้อเสนอเกทับกันไป และดึงตัวมาร่วมทีมด้วย
ตอนนั้นว่ากันตรงๆ แมนฯยูไนเต็ด มีโอกาสสูงมากที่จะได้ตัวเป๊ป ย้อนกลับไปวันที่ 4 พฤษภาคม 2011 แชมเปี้ยนส์ลีกรอบรองชนะเลิศที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แมนฯยูไนเต็ด ถล่มชาลเก้ 4-1 นัดนั้นกวาร์ดิโอล่าอยู่ในสนามด้วย เพื่อไปดูฟอร์มของคู่แข่งที่จะเจอกันในรอบชิงชนะเลิศ ในวันนั้นเป๊ปต้องตะลึงกับบรรยากาศที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เขาถึงกับหลุดปากออกมาว่า "ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ และผมรู้สึกว่าในอนาคตผมอาจจะย้ายมาทำงานกับสโมสรแห่งนี้ก็ได้"
จะเห็นได้ว่าเป๊ปเองก็มีใจ และเฟอร์กี้เองก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาอยู่ที่แมนฯยูไนเต็ด เดินเกมช้าเกินไป
ในระหว่างฤดูกาล 2012-13 ซีอีโอของทีมปีศาจแดงกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน จากเดวิด กิลล์ มาเป็นเอ๊ด วู้ดเวิร์ด ซึ่งมันทำให้การดำเนินการส่วนอื่นๆ มีความสะดุดติดขัดไปหมด ซึ่งในเวลานั้นเอง สโมสรอื่นๆ เขายื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการให้เป๊ปพิจารณากันแล้ว
1
ตุลาคม 2012 เป๊ปได้ข้อเสนอจากทั้งเชลซี แมนฯซิตี้ และ บาเยิร์น มิวนิค แต่ไม่มีข้อเสนออย่างเป็นทางการจากฝั่งแมนฯยูไนเต็ด คือในมุมของเป๊ป เขาจะไปรู้ได้ไงว่าแมนฯยูไนเต็ดจะจริงจังแค่ไหน
1
ด้วยชอยส์ที่มี ถ้าวัดกันที่ศักยภาพและความพร้อม เป๊ปมองไปที่บาเยิร์นเป็นอันดับแรก แต่ก็ยังมีคำถามในใจอยู่ เพราะว่าบาเยิร์นน่าจะมีเงินให้เขาซื้อนักเตะน้อยกว่าเชลซี และแมนฯซิตี้ อย่างไรก็ตาม อูลี่ เฮอเนส ผู้บริหารของทีมเสือใต้ยืนยันกับเป๊ปว่า "ไม่ต้องห่วง เราจะหาเงินมาให้คุณได้อย่างแน่นอน"
หลังบรรลุข้อตกลงทุกอย่าง เป๊ปก็เซ็นสัญญาล่วงหน้ากับบาเยิร์น และทีมเสือใต้ประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2013 ว่าเป๊ปจะมาแทนที่จุ๊ปป์ ไฮย์เกสตั้งแต่ซีซั่นหน้าเป็นต้นไป
3
ซึ่งที่น่าสนใจก็คือ กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้โทรบอกเซอร์อเล็กซ์ ตามที่เฟอร์กี้ขอเอาไว้ตอนดินเนอร์กันที่นิวยอร์กด้วย
1
ซึ่งเมื่อเป๊ปเลือกบาเยิร์น ทำให้แมนฯยูไนเต็ด จำเป็นต้องหาคนสืบทอดคนใหม่ และบอร์ดบริหารได้ตกลงใจเลือกเดวิด มอยส์ จากเอฟเวอร์ตันในที่สุด
เมื่อเดวิด มอยส์ มาคุมแมนฯยูไนเต็ด ทีมก็มีผลงานอย่างน่าผิดหวัง ยิ่งต้องถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเฟอร์กี้ ทำให้เขาคุมทีมอย่างกดดันมากๆ
นั่นทำให้ต้นเดือนเมษายน 2014 วู้ดเวิร์ดก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า ยังไงก็ต้องปลดเดวิด มอยส์ออกแน่นอน น่าจะเป็นช่วงปลายเดือนเมษายนนี่ล่ะ
ก่อนที่จะประกาศปลดมอยส์ วู้ดเวิร์ดจำเป็นต้องมี "ตัวแทน" ก่อน คือคุณจะปลดมั่วๆไม่ได้ ถ้าไม่มีคนที่เก่งกว่ามาแทนที่ หลังจากมองดูตัวเลือกในตลาดแล้ว ชอยส์ที่โดนใจวู้ดเวิร์ดมากที่สุดคือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
1
คล็อปป์พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก และยังมีเสน่ห์แบบที่เดวิด มอยส์ไม่มี ซึ่งถ้าหากพลาดกวาร์ดิโอล่าแล้ว การได้คล็อปป์มาแทนก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านั้น คล็อปป์อายุแค่ 46 ปีเท่านั้น อายุใกล้เคียงกับเซอร์อเล็กซ์ ตอนที่ย้ายจากอเบอร์ดีน มาคุมแมนฯยูไนเต็ดในปี 1986
ดังนั้นแมนฯยูไนเต็ด อาจจะสร้างอาณาจักรความยิ่งใหญ่ของตัวเองขึ้นมาได้ ถ้าเจรจาดึงคล็อปป์มาอยู่ด้วยสำเร็จ
คล็อปป์เหลือสัญญากับดอร์ทมุนด์ถึงปี 2018 ก็จริง แต่วู้ดเวิร์ดมองว่าคล็อปป์นั้นอิ่มตัวแล้วกับบุนเดสลีกา โดยเฉพาะในสองปีหลังสุด เขาจบฤดูกาลแบบมือเปล่าทั้งสองปี ดังนั้นอาจได้เวลาที่จะโยกไปคุมสโมสรใหม่ๆแล้ว
วู้ดเวิร์ดบินไปหาคล็อปป์ที่เยอรมัน เพื่อเจรจาด้วยตัวเอง และยื่นข้อเสนอมูลค่ามหาศาลให้คล็อปป์พิจารณา ซึ่งมากกว่าที่เขาได้รับกับดอร์ทมุนด์อย่างทาบกันไม่ติด
วู้ดเวิร์ดบอกว่าช่วงเวลาของเดวิด มอยส์ กำลังจะจบลงแล้ว และเขาก็ต้องการให้คล็อปป์นำความตื่นเต้นที่แฟนแมนฯยูไนเต็ดคาดหวัง กลับมาสู่ทีมอีกครั้ง ซึ่งจากที่เห็นสไตล์ในการคุมดอร์ทมุนด์ คล็อปป์สามารถเอาวิธีการเล่นแบบนั้น มาใส่กับแมนฯยูไนเต็ดได้แน่นอน
1
ถามว่าโอกาสที่แมนฯยู จะได้ตัวคล็อปป์มีไหม คำตอบคือ ก็มี เพราะคล็อปป์เองเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ถ้าผมจะย้ายไปคุมทีมต่างแดน อังกฤษคือชอยส์เดียวเท่านั้น นั่นเพราะผมพอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง สามารถใช้สื่อสารได้ และสไตล์การคุมทีมของผม ผมจำเป็นต้องใช้การพูดคุยในการทำงาน ดังนั้นถ้ามีทีมจากอังกฤษติดต่อมา เราก็อาจต้องมาเจรจากัน"
1
อย่างไรก็ตาม ในการเจรจากันระหว่างวู้ดเวิร์ดกับคล็อปป์นั้น มันมีคำพูดหนึ่งซึ่งคล็อปป์ไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่
วู้ดเวิร์ดนำเสนอว่า สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด มีสมญานามว่าโรงละครแห่งความฝัน นี่คือ "ดิสนีย์แลนด์ในเวอร์ชั่นของผู้ใหญ่" คือในมุมของวู้ดเวิร์ด เขามองว่าโอลด์แทรฟฟอร์ดสามารถสร้างความรู้สึก "ว้าว" ให้แฟนบอล แบบเดียวกับที่เด็กๆได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์
2
ซึ่งคล็อปป์เมื่อได้ยินดังนั้น เขาไปเล่าให้เพื่อนฟังภายหลัง แล้วบอกว่า เขารู้สึกว่าประโยค "ดิสนีย์แลนด์เวอร์ชั่นผู้ใหญ่" มันไม่ค่อยถูกจริตเขา คือในสายตาคล็อปป์ เวลาคิดถึงเกมฟุตบอลจะคิดถึงในแง่ของแพสชั่น บรรยากาศอันยิ่งใหญ่ดุดัน แบบเยลโลว์วอลล์ของดอร์ทมุนด์ แล้วพอโดนยกไปเปรียบว่า จะต้องย้ายไปคุมทีมในดิสนีย์แลนด์ เขาเลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่น่าจะใช้แนวทางของเขาหรือเปล่า
4
คล็อปป์จึงตัดสินใจตอบปฏิเสธไป "แมนฯยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ และผมเองก็ชื่นชอบแฟนบอลของพวกเขามาก อย่างไรก็ตามผมมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับแฟนบอลของดอร์ทมุนด์ ซึ่งคงจะไม่ถูกทำลายง่ายๆ"
สุดท้ายแมนฯยูไนเต็ด จึงพลาดได้ตัวคล็อปป์ วู้ดเวิร์ดจึงมองหาผู้จัดการทีมคนใหม่ และไปลงเอย ได้หลุยส์ ฟาน กัล มาแทนที่
ขณะที่คล็อปป์อยู่ดอร์ทมุนด์ต่ออีก 1 ปี จนถึงซัมเมอร์ 2015 เขาก็ลาออก และเข้าสู่โหมด Sabbatical year แต่คล็อปป์เองก็ได้พักไม่ถึง 1 ปีอย่างที่ตั้งใจ เพราะหลังจากลิเวอร์พูลปลดเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในเดือนตุลาคม 2015 ได้ติดต่อมาหาคล็อปป์ และสุดท้าย เขาก็ตอบโอเค รับงานเป็นกุนซือคนใหม่ที่แอนฟิลด์
2
จากเคสของกวาร์ดิโอล่า และคล็อปป์ จะเห็นว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสอยู่เหมือนกัน ที่จะได้ตัวทั้งสองคนไปสร้างอาณาจักรของตัวเอง แต่สุดท้ายดีลนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เลยกลายเป็นว่า แมนฯซิตี้ และลิเวอร์พูล จึงยึดครองวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วง 5 ปีหลังสุด อย่างที่เราเห็นกันตอนนี้
สิ่งสะท้อนที่เราได้เห็นจากเรื่องนี้ คือในโลกของฟุตบอล หรือในโลกธุรกิจ การทาบทามคนมีฝีมือมาร่วมงานด้วย เรื่องเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าเป็นคนเก่งจริงๆ ไม่ว่าองค์กรไหนก็อยากได้ เขาสามารถไปรับรายได้ที่งดงามจากบริษัทไหนก็ได้ทั้งนั้น
การจะคว้าตัวคนเก่งมาร่วมงานด้วยนั้น จึงต้องมีอะไรมากกว่าเรื่องเงิน
แล้วอะไรที่มากกว่าเรื่องเงินล่ะ?
1) องค์กรจำเป็นต้อง "เข้าหา" ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
2) ต้องมีคำพูดคำจาที่ให้เกียรติอีกฝ่ายเพราะต่อให้เราเป็นองค์กรใหญ่เขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะต้องมาทำงานกับเรา
และ 3) จำเป็นมากที่องค์กรต้องมีทัศนคติในจุดสำคัญที่ตรงกับคนเก่งคนนั้นด้วย
กวาร์ดิโอล่าชอบแมนฯยูไนเต็ดก็จริง แต่ทีมปีศาจแดงไม่แสดงความจริงจัง คือทีมอื่นๆเขายื่นข้อเสนอไปแล้ว แต่ฝั่งแมนฯยู ยังไม่รู้จะเอาไงกันแน่ นั่นทำให้จังหวะเวลามันผิดพลาด และเป๊ปก็เลยไปบาเยิร์น มิวนิคในที่สุด
หรืออย่างเคสของคล็อปป์ เราก็เห็นว่า ทัศนคติของวู้ดเวิร์ด กับคล็อปป์อาจไม่คลิกกัน เพราะขณะที่วู้ดเวิร์ดมองโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นสังเวียนที่สร้างความบันเทิง โดยการไปเปรียบกับดิสนีย์แลนด์ แต่คล็อปป์นั้นเป็นคนฟุตบอลของจริงที่โฟกัสเรื่องแพสชั่นเป็นอันดับ 1 เมื่อแนวคิดต่างกันมันก็เลยไปด้วยกันไม่ได้
1
ในเรื่องนี้ไม่มีใครผิด มันก็แค่เป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นในช่วงจังหวะเวลานั้น และเมื่อเป๊ปกับคล็อปป์เลือกแล้ว แมนฯยูไนเต็ดก็ต้องมูฟ ออน ต่อไป ไล่ตามหาคนที่ใช่ต่อ
ในซัมเมอร์ 2014 วู้ดเวิร์ดเซ็นหลุยส์ ฟาน กัล จากนั้นก็เซ็นโชเซ่ มูรินโญ่ ก่อนล่าสุดจะเลือกโอเล่ กุนนาร์ โซลชา มาเป็นผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน และเริ่มต้นนับหนึ่งอย่างช้าๆ
1
แน่นอน แมนฯยูไนเต็ด ณ จุดนี้ ยังตามหลังแมนฯซิตี้ และลิเวอร์พูลอยู่ ในเรื่องผลงานในสนาม แต่ใครจะไปรู้อนาคต โซลชา อาจพิสูจน์ตัวเองว่าเป็น ทางเลือกที่ดีที่สุดยิ่งกว่าคล็อปป์หรือเป๊ปเสียอีก
แต่ในเรื่องนี้ สิ่งที่คนชอบคิดกันเล่นๆเสมอ คือ ถ้าเป๊ปหรือคล็อปป์คนใดคนหนึ่ง ตัดสินใจเลือกแมนฯยูไนเต็ดในวันนั้น ทีมปีศาจแดงจะเป็นอย่างไรตอนนี้
จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างไร้เทียมทาน และเป็นตัวเต็งแชมป์หรือเปล่า
แม้จะเป็นแค่ What if? เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น แต่มันก็น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าคล็อปป์มาแมนฯยู แล้วทุ่มเงินซื้อมาเน่ และฟาน ไดค์ จากเซาธ์แฮมป์ตัน ตามด้วย ซาลาห์จากโรม่า เอามารวมกับพวกแรชฟอร์ด และ มาร์กซียาล
ถ้าทีมชุดนี้ถือกำเนิดขึ้นจริงๆล่ะก็ อืมม แค่คิดก็มันส์แล้ว
#GUARDIOLA #KLOPP
โฆษณา