2 ก.ค. 2020 เวลา 22:00 • สุขภาพ
ใครว่าเรื่องของความรักมันเป็นเรื่องของหัวใจอย่างเดียวกันละ
สมองก็มีความรักได้ด้วยนะเธอ!!!
เรื่องวุ่นๆ ภายใจใจ แต่หารู้ไม่ว่ามันมาจากสมอง!!!!
วันนี้ทางบล็อกขอเปลี่ยนแนวเนื้อหาบ้างเล็กน้อยนะครับ ขอเป็นแนวน่ารักมุ้งมิ้งบ้างอะไรบ้าง
เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงเย็นที่ผ่านมาของวันนี้ ผมได้รับคำบอกเล่าจากเพื่อนที่รู้จักว่า
ช่วงนี้มันต้องมานั่งปลอบประโลมเหล่าบรรดาเพื่อนๆ ที่ต้องอกหักรักคุด
รักกันอยู่ดีๆ สุดท้ายก็โดนเทอย่างงๆ
ซึ่งบางครั้งเราอาจจะได้ยินว่า ก็มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เราไม่ได้รู้สึกกับเธอเหมือนเดิมแล้ว มันน่าเบื่อ มันจำเจ ไม่สดใสเหมือนตอนแรกที่เพิ่งเลิกคบกัน
ก็ถ้าถามผมว่ามันแปลกไหม ผมก็คงคิดว่ามันก็ไม่แปลกเท่าไรครับ ที่คู่รักหลายคู่จะรู้สึกแบบนั้น
ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ใครหลายคนต้องอยู่ห่างจากกันเพราะด้วยสถานการณ์ของการระบาด ไปมาหาสู่ก็ลำบาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดาบัณฑิตใหม่ทุกท่าน ที่เพิ่งเรียนจบ แน่นอนละว่าโอกาสที่จะได้เจอกัน ไม่ว่าจะเพื่อน จะแฟนหรือคนรัก มันก็ยิ่งมีโอกาสที่ลดลงไปอย่างมาก
มันเลยทำให้นึกถึงว่าระยะเวลาและระยะทางมันเป็นเครื่องมือทดสอบใครหลายๆคนที่กำลังมีความรัก “ ว่าจะไปต่อหรือพอกันแค่นี้ ”
เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้ผมเลยอยากมาพูดถึงเรื่องความรักสักหน่อย
เพื่อให้ใครหลายๆ คนได้เข้าใจความรักและทำความรู้จักกับมันให้มากขึ้น อยู่กับมันให้เป็น และจากกับมันให้ได้ครับ 🙂
ก่อนอื่นเราก็ต้องพูดถึงความรักกันก่อนนะครับ
เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเกลียดชัง ความสุข ความทุกข์ หรือความรู้สึกอื่นๆ ใดก็แล้วแต่ที่เราเคยมี ความรู้สึกเหล่านี้ คือ ผลรวมของการทำงานของสมอง ฮอโมน และสารสื่อประสาทภายในสมอง
ซึ่งเราอาจจะแสดงหรือไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกมาก็ได้
แล้วคำถามคือทำไมเราถึงต้องรู้สึก?
คำตอบก็คือ เพื่อเป็นการรับรู้และเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เรากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า หรือภายในจิตใจของเรา
ที่สำคัญมนุษย์เราก็เป็นสัตว์สังคมชนิดหนึ่ง ที่มีอารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลาย การแสดงออกทางความรัก หรือความรู้สึกต่อคนอื่น จึงนับว่าเป็นการแสดงออกของกิจกรรมทางสังคมชนิดหนึ่ง
เพื่อเป็นการสร้างพื้นที่ที่จะอยู่กันกับตัวเราเองกับคนอื่นในสังคม เช่น เราชอบหรือถูกคอกับคนนี้ เราก็จะแสดงน้ำใจ คำพูด หรือการกระทำที่เป็นมิตร ซึ่งก็เป็นการกำหนดลักษณะหรือพื้นที่ของความสัมพันธ์ของเรากับบุคคลคนนั้น
หรือเราแสดงออกว่าไม่ชอบ เกลียด เราก็จะพยายามตีตัวออกห่าง ซึ่งหารกระทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งทางสังคมนั้นเอง
ก็คนมันเกลียดอ่ะนะ คงไม่ต้อง keep clam down ละ 555
ผมจะขอพูดและแบ่งรูปแบบของความรักออกเป็นแต่ละช่วงหลักๆ นะครับ
1. ช่วงเวลาแห่งการจีบ/ถูกจีบ หรือช่วงโปรโมชั่น
เป็นช่วงแรกของการมีความรักที่ใครหลายคนเคยผ่านมันมา แต่ระยะเวลาจะสั้นหรือจะยาวก็ขึ้นอยู่กับคนสองคน ( ช่วงโปรใครหมดไวหรือหมดช้านั้นเอง )
โดยที่เป็นช่วงที่สมองเกิดความพึงพอใจ หรือมีความสุขจากการได้รับการตอบสนองของอีกฝ่าย หรือได้รับความสุขจากการกระทำที่แสดงออกมา เช่น ชวนหญิงไปทานข้าวแล้วหญิงตอบตกลง ฝ่ายชายก็แทบจะกระโดดโล้ดเต้นด้วยความดีใจ หรือจะเป็นตอนที่หยอดมุก ยิงมุกเสี่ยวๆ จีบไปแล้วอีกฝ่ายมีท่าทีเขินอาย ก็เกิดเป็นความรู้สึกพึงพอใจ มีความสุข
จนเกิดความเสพติด อยากมีความสุขอีก อยากรู้สึกมากกว่าเดิมอีก จนทำให้อยากจะพบพานมากขึ้น บ่อยขึ้น
ส่วนในแง่ของการทำงานของสมองนั้น จะพูดถึงตำแหน่งทางสมองที่สำคัญอย่าง นิวเคลียสแอกคัมเบนส์ (Nucleus accumben) ที่มีบทบาทหน้าที่ในการควบคุมความรู้สึกพึงพอใจ ความรู้สึกเสพติดกับการได้รับรางวัลหรือความสุข
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่และเกี่ยวข้องกับระบบการให้รางวัลของสมอง (Reward system)
ส่วนในแง่ของสารสื่อประสาท ก็จะมีการหลั่งสารที่มีชื่อว่า โดปามีน(Dopamine) ในสมองที่มากขึ้น โดยเฉพาะในสมองส่วนของ นิวเคลียสแอกคัมเบนส์ ( โดปามีน เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือสารแห่งความสุข หรือ feel-good neurotransmitter)
ซึ่งการหลั่งโดปามีนที่มากขึ้นก็ส่งผลให้เกิดความรู้สึกดี มีความสุข ความพึงพอใจมากขึ้น. จนนำไปสู่การเสพติดความสุขได้ โดยการทำงานของสมองและสารสื่อประสาทนี้จัดอยู่ในกลุ่มของ Mesolimbic dopamine pathway
ภาพแสดงของสมองส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องหลักๆ ก็จะมี 2 ตัวคือ คอติซอล (Cortisol )และ ฮอร์โมนเพศ(Sexual hormone)
ซึ่งพบว่า Cortisol จะมีระดับสูงมากขึ้น เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นร่างกายคิดว่าการที่เรารู้สึกชอบใครเป็นความเครียดอย่างหนึ่ง ร่างกายจึงหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมาจากต่อมหมวกไต หรือก็คือ หลั่ง cortisol มามากขึ้น เพื่อมาจัดการกับความเครียด(stress) ที่เกิดขึ้น
การหลั่งของ cortisol ที่มากขึ้น ประกอบกันการทำงานของระบบประสาทส่วนซิมพาเทติกที่มากขึ้นทำให้เกิดการตอบสนองของร่างกายออกมา เช่น หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น เป็นต้น
ส่วนฮอโมนเพศที่สำคัญได้แก่ เทส-ทอส-เทอ-โรน(Testosterone)
ผู้ชายจะสร้างฮอโมนตัวนี้ที่อัณฑะ ส่วนผู้หญิงจะสร้างที่ต่อมหมวกไตเจ้าเดิม
โดยเจ้าฮอโมน testosterone นี้จะมีผลในเรื่องของแรงผลักดันทางเพศ(libido) เป็นหลัก
ซึ่งทั่วไปแล้วผู้ชายจะมีฮอโมนตัวนี้มากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว
ทำให้ระยะเวลาช่วงแรกของการจีบกัน ผู้ชายจึงเป็นช่วงที่เปย์มากที่สุด จีบแบบถึงไหนถึงกัน
มี 100 ให้ล้าน จีบแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพื่อให้ตัวเองสมหวังและได้ผู้หญิงหรือคนรักมาครอบครอง
ในขณะที่ฝ่ายหญิงในช่วงแรกจะมีลักษณะของพฤติกรรมที่ระแวง ไม่มั่นใจ สงสัยและมักจะวิเคราะห์การกระทำของฝ่ายชายมากกว่านั้นเอง
ตอนมีโปรก็โทรหาทุกคืน ดึกดื่นๆก็ไม่นอน ไม่มีไรคุยก็คอลทิ้งไว้
2. ช่วงข้าวใหม่ปลามัน หรือช่วงพีค
เป็นช่วงที่ผ่านพ้นช่วงเวลาของการจีบไปแล้ว ก้าวสู่ระยะของการคบหา เป็นช่วงต้นของการคบหาดูใจกัน เริ่มมีการศึกษากันมากขึ้น และเริ่มมีการตั้งคำถามมากขึ้น
ความรักในช่วงนี้ เอาเข้าจริงๆ จะแฝงไปด้วยความเคลือบแคลง สงสัย ความไม่ไว้ใจและความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งอาจจะแสดงหรือไม่แสดงความสงสัยเหล่านี้ออกมาก็ได้
เพราะว่ามีความเกรงใจ และความกลัวที่จะพูดออกไปมาคอยห้ามที่จะแสดงออก
จึงเป็นช่วงที่มักจะต้องตัดสินใจอยู่บ่อยครั้งว่าทำแบบไหนจะดีกว่ากัน
แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกที่จะแสดงออกทางความรักมากกว่า การทำดีต่อกัน จนหลายคนรอบข้างค่อนข้างมั่นไส้ไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยการทำงานของสมองในช่วงนี้จะเน้นไปที่ตรงตำแหน่งของ VTA( Ventral Tegmental Area) และ ออ-บิ-โท-ฟรอน-ทอล. คอร์แทก (Orbitofrontal cortex). ที่มีการทำงานมากขึ้น
VTA เป็นบริเวณหนึ่งของสมองที่มีความสามารถในการสร้างโดปามีนได้เป็นจำนวนมาก โดยจะทำหน้าที่ในการกระตุ้น นิวเคียสแอกคัมเบนส์ อีกที เพื่อให้หลั่งโดปามีนมามากขึ้น ทำให้เป็นช่วงที่มีความสุขเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ส่วน Orbitofrontal cortex เป็นสมองที่มีหน้าที่ในการในการประมวลผลทางความคิด การตัดสินใจ(decision-making) ในเรื่องต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับความรักในช่วงนี้ที่มีความไม่แน่ใจ ไม่มั่นคง มีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอด
ส่วนในแง่ของสารสื่อประสาทในสมอง พบว่าระดับของโดปามีนอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือคงที่
เนื่องจากเป็นช่วงที่ผ่านพ้นความท้าทายในช่วงแรก เพราะมีการครอบครองเกิดขึ้น มีการคบหาขึ้นมานั้นเอง
ส่วนระดับของฮอร์โมนพบว่า ระดับของ cortisol จะสูงมากกว่าในช่วงของการจีบ แต่ระดับของ testosterone จะมีระดับลดต่ำลงโดยเฉพาะในผู้ชาย แต่จะเพิ่มมากขึ้นในเพศหญิง
เป็นผลทำให้ความเอาใจใส่ การเปย์ ช่วงโปรของผู้ชายเริ่มลดน้อยถอยลง มีร้อยเริ่มไม่ให้ล้าน เริ่มถึงจุดอิ่มตัว หรือพ้นจุดพีคไปแล้ว จึงทำให้ผู้ชายมักมีช่วงเวลาฉุกคิดเรื่องราวต่างๆ รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์
แต่ในขณะที่ฟากฝั่งของผู้หญิงเริ่มที่จะชอบ เริ่มที่จะเข้าหาผู้ชายมากขึ้น
หลายคนชอบบอกว่าผู้ชายเริ่มชอบจาก 100 แล้วค่อยน้อยลง
3.ช่วงความรัก ความสัมพันธ์ที่เริ่มคงที่
เป็นช่วงที่ความรู้สึกถึงความไม่มั่นคง ความไม่ไหวใจ ได้ผ่านกระบวนการคิดการตัดสินใจ การปรับปรุงขึ้นมาใหม่ กลายเป็นรูปแบบความรักความสัมพันธ์ที่มั่นคงมากขึ้น มีการยอมรับซึ่งกันละกัน. เนื่องจากการผ่านศึกษากันและกันและการปรับตัวเข้าหากัน
เริ่มหาจุดยืนร่วมกัน ลดพื้นที่ความเป็นตัวเอง เพิ่มพื้นที่ส่วนร่วมระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าความรักในช่วงนี้มักจะไม่ได้หวือหวา หรือมากมายเหมือนกันกับในช่วงแรกๆ แต่จะเป็นความรักที่มีความผูกผันที่เหนียวแน่นกันมากขึ้น รู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย
แม้มีปัญหากระทบกระทั่งแต่จะไม่รุนแรงและบานปลาย
ในแง่ของการทำงานในสมองในช่วงนี้พบว่า เป็นการทำงานของสมองส่วนต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันหรือประสานกันทำงาน ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำงานมากขึ้นเป็นพิเศษ
แต่พบว่าในสมองส่วนที่เคยพูดถึงไปก่อนหน้านี้ อย่างเช่น นิวเคลียสแอกคัมเบนส์ เริ่มมีการทำงานลดลง
ส่วนด้านของสารสื่อประสาทพบว่า ระดับของโดผามีนมีระดับที่ลดลง เนื่องจากเป็นผลของการทำงานของนิวเคลียสเลแอกคัมเบนส์ที่ลดลงด้วยส่วนหนึ่งนั้นเอง จึงอาจทำให้คู่รักหลายๆคน อาจไม่ได้มีความรู้สึกว่ามีความสุข ความพึงพอใจมากเทียบเท่ากับในช่วงแรกนั้นเอง
ส่วนระดับของฮอร์โมนในร่างกายพบว่า ฮอร์โมนแห่งความเครียดอย่าง Cortisol มีระดับที่ลดลง เพราะไม่มีความระแวงระหว่างกันหรือมีน้อยลง และนอกจากนั้นพบว่ามีการหลั่งของฮอร์โมนชนิดใหม่ได้แก่ ออกซิโทซิน(Oxytocin) จากต่อมใต้สมองส่วนหลังมามากขึ้น
การเพิ่มขึ้นของ Oxytocin พบว่าสอดคล้องกับความรู้สึกของความรัก ในลักษณะของความผูกผัน ความเชื่อใจระหว่างกัน ทำให้ยิ่งมีการเพิ่มขึ้นของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นของคู่รักนั้นเอง
ถึงแม้จะรักกันไม่ได้มากมายเหมือนตอนแรก แต่จะเป็นรักที่อยู่ยาวนานตลอดไป
4.ช่วงความสัมพันธ์แปรปรวน
เป็นช่วงที่คู่รักบางคู่อาจจะประสบพบเจอได้ เมื่อความสัมพันธ์พัฒนามาอย่างยาวนานมากขึ้น จนกลายเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว
เริ่มมีปัญหาการกระทบกระทั่ง ความเบื่อหน่าย ปัญหาการนอกใจ การหย่าร้าง
การทำงานของสมองใสช่วงนี้พบว่า สมองส่วน Ventromedial ที่ทำหน้าที่ยับยั้งด้านอารมณ์จะลดลง ทำให้เกิดขาดความยับยั้งชั่งใจ นำไปสู่การนอกใจได้
ส่วนในด้านของฮอร์โมนพบว่าระดับฮอร์โมนเพศอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ โดยเฉพาะในเพศหญิง เนื่องจากเพศหญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงถึง 2 ชนิด ได้แก่ เอสโทเจน และ
โพเจนเทอโรน ที่แปรเปลี่ยนระหว่างรอบเดือน
ทำให้ผู้หญิงอาจมีอารมณ์กระวนกระวาย ขี้หงุดหงิด ตกใจง่าย มีปฏิกิริยากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากเกินไป จนอาจนำไปสู่ปัญหาการทะเลาะระหว่างคู่รักได้
ส่วนในเพศชายนั้นที่มีฮอร์โมนเพศชาย หรือ testosterone ที่แสดงถึงความต้องการทางเพศ และความก้าวร้าว ทำให้มีโอกาสที่จะขาดความยับยั้งชั่งใจมากกว่าฝ่ายหญิง อาจนำไปสู่ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง การใช้กำลัง การนอกใจได้
ความเบื่อหน่าย การทะเลาะ การความขาดยับยั้งชั่งใจ ที่อาจนำไปสู่ปัญหาการนอกใจ
แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์อันดีก่อนหน้าอาจจะช่วยประคับประคองให้คู่รักสามารถเดินต่อไปได้ เพราะเป็นผลของ Oxytocin ที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น
เสริมอีกนิดว่า Oxytocin ยังสามารถกระตุ้นการทำงานของ นิวเคลียสแอกคัมเบนส์ได้ ทำให้เกิดความพึงพอใจหรือความสุขได้เช่นกัน
นอกจากนั้นในเพศหญิงยังมีระดับของ oxytocin ที่มากกว่าในเพศชาย นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเวลามีความรักแล้ว ผู้หญิงจึงเป็นฝ่ายที่ความรู้สึกรักและผูกผันมากกว่าผู้ชาย
5.ช่วงเลิกรา
เป็นข่วงที่ความสัมพันธ์ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางความรักหรือชีวิตคู่
เป็นช่วงที่อาจมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเกิดความรู้สึกเศร้า เสียใจจนอาจนำไปสู่การเป็นภาวะซึมเศร้าได้
หรือในบางรายที่จบไม่สวย ก็อาจนำไปสู่ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่เช่น ความสัมพันธ์ในรูปแบบของคู่แค้น การเป็นศัตรูต่อกัน หรือไม่เผาผีกันเลยก็ว่าได้
แต่บางรายที่จบกันได้ดี แม้ระดับความสัมพันธ์จะลดลงจากเดิม แต่ก็ยังคงเป็นมิตรต่อกันได้ในฐานะอื่นๆ เช่น เพื่อนสนิท
ในด้านของการทำงานของสมองพบว่าในช่วงนี้ สมองที่มีชื่อว่า อิน-ซุ-ลา-คอร์-แท็ก(Insular cortex) กับ แอน-ที-เรีย-ซิง-กู-เลต-คอร์-แท็ก (Anterior cingulate cortex) ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและประมวลผลทางอารมณ์ทำงานลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า ความเบื่อหน่าย ความเสียใจ การไม่มีความสุขได้
ในแง่ของสารสื่อประสาทพบว่า เซโรโทนิน(Serotonin) มีปริมาณชดลงอย่างชัดเจน ทำให้เกิดคงามรู้สึกเศร้า ท้อแท้ ความเหงา การเบื่อหน่าย ขาดสีสันหรือความสนุกในชีวิต บางรายอาจทำให้นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน ร้องไห้
ทำให้ส่งผลกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้ อาจทำให้กลายเป็นผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าได้
ทั้งนี้ยังพบว่ามีฮอร์โมนแห่งความเครียดที่ทำงานมากขึ้น คือ cortisol ทำให้การทำงานของร่างกายอาจผิดปกติได้
เป็นไงกันบางครับหวังว่าเรื่องที่เขียนมาจะสร้างความเข้าใจกับความรักในอีกรูปแบบมากขึ้น
เราสามารถเรียนรู้ที่อยู่กับความรักได้
เพราะความรักก็แค่ความรู้สึกหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเรา
เราสามารถมีความสุขกับมันได้ ทุกข์จากมันก็ได้
และเราก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีความรักจากคนอื่น
เพราะว่าเรายังสามารถรักตัวของเราเองได้
ท้ายที่สุดนี้ก็อยากจะฝากบอกถึงคนที่มีความรัก คนที่มีคู่ ดูแลคู่ของท่านให้ดีๆ ประคับประคองกันไปให้ได้นานที่สุด
ส่วนคนที่ไม่มีคู่หรือเพิ่งเลิกลากันไป ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ สิ้นหวังกับชีวิต
เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่กับอดีตที่ผ่านมา หรือกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ไม่ต้องสนว่าเราจะผ่านอะไรแย่ๆ มา
หรือไม่ต้องกลัวว่าอนาคตเราจะเดินต่อไปอย่างไร
ปัดความรู้สึกไม่ดีเหล่านี้ทิ้งออกไป และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งครับ
Let’s start your new journey!!!
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
SJ.
2 กรกฎาคม 2563
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หากชอบหรือถูกใจ อยากจะแชร์ประสบการณ์อะไรก็เชิญคอมเม้นท์และกดถูกใจได้ที่ด้านล่างโพสต์เลยครับ 😁
โฆษณา