4 ก.ค. 2020 เวลา 12:00 • กีฬา
ลีรอย ซาเน่ กลายเป็นนักเตะที่ย้ายออกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมเรือใบสีฟ้าเรียบร้อยแล้วนะครับ หลังย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสัญญายาวจนถึงปี 2025 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ถึงแม้พรีเมียร์ลีกจะยังไม่ปิดฤดูกาล แถม แมนฯ ซิตี้ ยังมีลุ้นแชมป์ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ ซาเน่ จะไม่ใช่ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีกต่อไป
ปีกวัย 24 ปี จะเริ่มซ้อมกับต้นสังกัดใหม่ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเลยทันที แม้จะยังไม่สามารถลงช่วยทีมเสือใต้ลุ้นแชมป์ยุโรปฤดูกาลนี้ได้ก็ตาม
ค่าตัวเบื้องต้นที่ บาเยิร์น ต้องจ่ายก่อนแน่ๆ คือ 49 ล้านยูโร (ราวๆ 44.2 ล้านปอนด์) โดยมีออปชั่นเสริมต้องจ่ายเพิ่มอีก 11 ล้านยูโร หากนักเตะช่วยทีมประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอนาคต
สรุปก็คือ ถ้าหาก บาเยิร์น ยังเดินหน้าคว้าแชมป์เป็นว่าเล่นเหมือนเดิมในอีก 5 ปีข้างหน้า มูลค่ารวมกันของดีลนี้จะพุ่งสูงไปถึง 60 ล้านยูโร หรือเกือบๆ 55 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว
สำหรับเจ้าของสถิติเดิมที่ย้ายออกจาก แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัวแพงสุดก็คือ ดานิโล่ ฟูลแบ็กชาวบราซิเลียนที่ย้ายไป ยูเวนตุส ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 37 ล้านยูโร
แต่ดีลของ ดานิโล่ เมื่อปีที่แล้ว มันคือส่วนหนึ่งของการที่ ซิตี้ คว้าตัว ชูเอา คานเซโล่ สลับขั้วจากทีมม้าลายเข้ามาด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์
เพราะฉะนั้นสถานะที่แท้จริงของ ดานิโล่ คือ “ตัวแถม” เพื่อให้เกิดตัวเลขสวยๆ สำหรับตกแต่งบัญชีรายรับ-รายจ่าย มากกว่าที่จะบอกได้ว่า ยูเวนตุส ทุ่มหนักเพราะอยากได้เขาไปจริงๆ
ซึ่งนอกเหนือจาก ซาเน่ และ ดานิโล่ แล้ว ไม่มีนักเตะคนไหนย้ายออกจากถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยค่าตัวสูงกว่า 30 ล้านยูโร หรือ 30 ล้านปอนด์อีกเลย
นักเตะที่ แมนฯ ซิตี้ ขายได้ราคาดีเป็นอันดับ 3 คืออดีตกองหน้าตัวสำรองอย่าง เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ซึ่งปล่อยให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ในปี 2017
นั่นคือการแสดงให้เห็นว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคที่มีมหาเศรษฐีจากอาหรับเป็นเจ้าของทีม คือสโมสรที่มีศักยภาพมากพอที่จะรั้งผู้เล่นเก่งๆ ซึ่งอยู่ในช่วงวัยพีคและมีมูลค่าสูงไว้กับทีมได้นานๆ
ถ้าจะบอกว่า ลีรอย ซาเน่ คือนักเตะคนสำคัญคนแรกที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า รั้งตัวเอาไว้ที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่สำเร็จ ก็คงไม่ผิดนัก
ลีรอย ซาเน่ ย้ายจาก ชาลเก้ 04 ไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2016 ด้วยค่าตัวสูงถึง 37 ล้านปอนด์ โดยมีออปชั่นเสริมที่ทำให้มูลค่าของเขาอาจสูงถึง 46.5 ล้านปอนด์ ถ้าทำผลงานได้น่าพอใจ
สมัยที่อยู่กับชาลเก้ ซาเน่สามารถเล่นเป็นปีกได้ทั้ง 2 ข้าง โดยในฤดูกาล 2015-16 เขาคือนักเตะเพียงคนเดียวของบุนเดสลีกา ที่ทำสถิติเลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้ได้มากกว่า 90 ครั้ง นั่นคือจุดแข็งที่ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องการได้ตัวไปเสริมเกมริมเส้นในการคุมทีมที่อังกฤษปีแรก
แม้จะปรับตัวเข้ากับพรีเมียร์ลีกได้ค่อนข้างช้า แต่หลังจากเข้าสู่ปี 2017 เป็นต้นมา เขาพัฒนาฝีเท้ากลายเป็นปีกที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งของยุโรป
ซีซั่น 2017-18 ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ด้วยการทำสถิติเก็บไป 100 แต้ม ซาเน่ คือเจ้าของรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากพีเอฟเอ เมื่อโชว์ผลงานท็อปฟอร์ม ยิงไป 10 แอสซิสต์ 15 จากการลงสนามในลีก 32 นัด
ส่วนฤดูกาล 2018-19 แม้โอกาสลงตัวจริงจะลดลง จากการที่มี ริยาด มาห์เรซ ย้ายจาก เลสเตอร์ เข้ามาแย่งตำแหน่ง แต่ ซาเน่ ก็ยังมีส่วนกับประตูได้เยอะในลีกเหมือนเดิม เมื่อยิง 10 จ่าย 10
ในจำนวนประตูที่ยิงได้เมื่อปีก่อน มีประตูชัยที่ซัดดับ ลิเวอร์พูล 2-1 และลูกยิงตอกฝาโลงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการช่วยให้ทีมป้องกันแชมป์ลีกได้โดยเฉือนหงส์แดงเพียงแต้มเดียว
ส่วนสาเหตุที่เขาหายหน้าจากทีมไปในฤดูกาลนี้ ทุกคนก็คงรู้กันดีว่ามันมาจากปัญหาเจ็บหนักที่หัวเข่าจากเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จนต้องพักยาวเกือบปี และมันก็ส่งผลไม่น้อยที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ มีขุมกำลังเป็นรอง ลิเวอร์พูล ในซีซั่น 2019-20
ตอนที่ ซาเน่ ย้ายไปค้าแข้งที่อังกฤษในปี 2016 เขาเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาไว้ 5 ปีด้วยกัน
นั่นหมายความว่าก่อนที่สัญญากับทีมเรือใบสีฟ้าจะหมดลงในปี 2021 เขาไม่เคยต่อสัญญาใหม่เลย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ พยายามยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้เขาเซ็นหลายต่อหลายครั้ง แต่มันไม่เคยมีการตกลงกันได้จริงๆ จังๆ สักครั้งเดียว
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ ซาเน่ ลังเลที่จะฝากอนาคตไว้ในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ต่อไป มันเริ่มมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงซัมเมอร์ปี 2018
ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่คว้าแชมป์ด้วยการเก็บได้ถึง 100 แต้ม
นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดานักเตะเรือใบสีฟ้าชุดนั้น ถูกทีมชาติของตัวเองเรียกไปสู้ศึกใหญ่อย่างฟุตบอลโลกที่รัสเซีย
4 แข้งผู้ดีอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์ และ ฟาเบียน เดลฟ์ มีชื่อติดทีมชาติอังกฤษครบครัน
4 สหายแซมบ้าทั้ง เอแดร์ซอน โมราเอส, แฟร์นันดินโญ่, ดานิโล่ และ กาเบรียล เชซุส ก็ติดทีมชาติบราซิลทั้งหมด
2 แข้งฟ้าขาวอย่าง นิโกลัส โอตาเมนดี้ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ก็ไม่มีทางหลุดจากทีมชาติอาร์เจนตินาชุดนั้น
เควิน เดอ บรอยน์ กับ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ก็เป็นกำลังหลักของทีมชาติเบลเยียม เช่นเดียวกับ ดาบิด ซิลบา ก็ยังเป็นคนสำคัญของทีมชาติสเปน
แม้แต่ เบนฌาแม็ง เมนดี้ ที่เจ็บยาวแทบจะทั้งฤดูกาล ยังมีชื่อติดทีมชาติฝรั่งเศสไปคว้าแชมป์โลกกับเขาด้วย หลังเรียกความฟิตกลับมาทันสู้ศึกใหญ่ที่แดนหมีขาวพอดี
แต่ไม่น่าเชื่อว่าปีกที่ทำผลงานยิง 10 แอสซิสต์ 15 อย่าง ลีรอย ซาเน่ จะถูก โยอัคคิม เลิฟ หมางเมิน ไม่ใส่ชื่อไว้เป็น 23 ผู้เล่นทีมชาติเยอรมนีซะอย่างนั้น
คนที่แย่งตำแหน่งเขาไปคือ ยูเลี่ยน บรันด์ท ซึ่งตอนนั้นยังเป็นนักเตะดาวรุ่งของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
ถือว่า ลีรอย ซาเน่ มีดวงชะตาที่ไม่ค่อยสมพงษ์กับทีมอินทรีเหล็กสักเท่าไร เพราะย้อนไปในปี 2017 เขาต้องถอนตัวจากศึก คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดจมูก
ศึกคอนเฟดฯ เมื่อ 3 ปีก่อน คือโอกาสทองสำหรับนักเตะเยอรมันสายเลือดใหม่ ที่จะโชว์ฟอร์มให้เข้าตา โยอัคคิม เลิฟ เพราะมันคือรายการที่กุนซือจอมแคะขี้มูก อยากทดลองทีมชุดพลังหนุ่มโดยไม่ต้องพึ่งบรรดาขาประจำทีมชาติ
แต่การไปผ่าจมูกผิดเวล่ำเวลาของ ซาเน่ ทำให้ ยูเลี่ยน บรันด์ท ได้โอกาสนั้นไปแทน และมันส่งผลโดยตรงกับการเสียตำแหน่งในศึกฟุตบอลโลกอีก 1 ปีถัดมา
เมื่อเดือนมิถุนายน 2018 เลิฟ ให้เหตุผลที่ตัดชื่อ ซาเน่ ออกจากทีมชุดลุยเวิลด์คัพฉบับรัสเซียเอาไว้ว่า “ยูเลี่ยน บรันด์ท มีเกมที่ดีหลายนัดในศึก คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ และยังทำได้ดีมากๆ ในการฝึกซ้อม”
1
“แน่นอนว่า ลีรอย คือนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงมาก แต่เขายังไม่เคยไปถึงระดับแบบนั้นสำหรับทีมชาติเลย”
ในตอนนั้น ซาเน่ เริ่มมีความรู้สึกลึกๆ ว่าถ้าหากเขาได้เล่นในบุนเดสลีกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้อยู่ท่ามกลางนักเตะทีมชาติเยอรมนีหลายคนในสโมสรอย่าง บาเยิร์น มิวนิค บางทีมันอาจจะทำให้เขามีข้อได้เปรียบในการติดทีมชาติมากกว่านี้
ทีมชุดลุยบอลโลกเมื่อ 2 ปีก่อน มีนักเตะที่มาจากสังกัดเสือใต้ในเวลานั้นถึง 7 คน ประกอบด้วย มานูเอล นอยเออร์, โยชัว คิมมิช, เยโรม บัวเต็ง, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, โธมัส มุลเลอร์, นิคลาส ซือเล่ และ เซบาสเตียน รูดี้
การมีชื่อติดทีมของ เซบาสเตียน รูดี้ และ มานูเอล นอยเออร์ ยิ่งตอกย้ำทฤษฎีที่ว่า ถ้าคุณเล่นให้ บาเยิร์น มิวนิค คุณจะได้อยู่ในสายตาโค้ชทีมชาติมากกว่าทีมไหนๆ มากขึ้นไปอีก
รูดี้ เป็นเพียงกองกลางตัวโรเตชั่นในสโมสร แต่ก็ยังได้โควตา ขณะที่ นอยเออร์ ก็เจ็บยาวจนแทบไม่ได้ลงเฝ้าเสาในฤดูกาล 2017-18 แต่กลับได้สวมปลอกแขนยืนเป็นมือหนึ่งของทีมในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ซะอย่างนั้น
และอย่างที่ทุกคนรู้กัน นักเตะชาวเยอรมันแทบทุกคน ไม่ปิดโอกาสย้ายไปเล่นให้ บาเยิร์น มิวนิค สักครั้งในชีวิตอยู่แล้ว เพราะนี่คือสโมสรอันดับหนึ่งตลอดกาลของประเทศ และมีศักยภาพดีพอที่จะลุ้นแชมป์ยุโรปได้ทุกปี
หลังจากผิดหวังที่ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในชีวิต ซาเน่ ก็เจอสตั๊นเข้าไปอีก จากบทสัมภาษณ์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในช่วงปรีซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล 2018-19 ที่สหรัฐอเมริกา
กุนซือชาวสแปนิชบอกนักข่าวว่า “โยกี้ เลิฟ ตัดสินใจได้อย่างดีที่สุดแล้ว และผมเคารพการตัดสินใจของเขาในฐานะผู้จัดการทีม”
“สำหรับลีรอย การตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะต้องยกระดับเกมของเขาขึ้นมาให้ได้ และไปให้ถึงระดับที่เขาแสดงให้เห็นในฤดูกาลก่อนหน้านั้น”
ซาเน่ มั่นใจในศักยภาพฝีเท้าตัวเองมาตลอด เขาเชื่อว่าตัวเองคือปีกระดับสุดยอดของโลก และคู่ควรกับการเป็นตัวจริงทีมชาติ
แต่การให้สัมภาษณ์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำให้เขารู้สึกน้อยใจ เพราะมันเหมือนกับบอกว่า ซาเน่ ยังไม่ใช่ผู้เล่นชั้นยอดอย่างที่ตัวเขาคิด
ในหนังสือ “เป๊ป ซิตี้” (Pep’s City) ที่บอกเล่าเรื่องราวเบื้องลึกของเป๊ป ในการสร้างทีมเรือใบสีฟ้าให้เป็นโคตรทีมของอังกฤษ ยอดโค้ชชาวสเปนได้พูดถึง ซาเน่ เอาไว้ว่านักเตะคนนี้ยังมีอะไรให้ต้องปรับปรุงอีกเยอะ
“มันคือเรื่องทัศนคติของเขา ถ้าหากเขายังอยากพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากเขาอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาก้าวหน้ามากแค่ไหน สิ่งแรกที่เขาต้องยอมรับ ก็คือมันยังมีจุดที่เขาต้องแก้ไขและปรับปรุงตัวเองอยู่”
“ถ้าเขาทำได้ เขาจะเป็นนักเตะที่ดีขึ้น เพราะเขามีพรสวรรค์”
ไม่เพียงแต่คำพูดที่ทำให้ ซาเน่ รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการยอมรับจาก เป๊ป มากเท่าที่ควรเท่านั้น ถ้าไปดูสถิติการลงสนามในซีซั่น 2018-19 เขาได้โอกาสลงตัวจริงน้อยกว่านักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา อย่างเห็นได้ชัด
การย้ายเข้ามาของ ริยาด มาห์เรซ น่าจะกระทบกับตำแหน่งของ สเตอร์ลิ่ง ซึ่งเป็นปีกขวามากกว่า แต่กลายเป็นว่าคนที่นั่งสำรองบ่อยกว่าคือ ซาเน่ ส่วนอดีตดาวเตะลิเวอร์พูล ถูกจับไปยืนทางซ้ายบ่อยครั้ง แล้วโจมตีด้วยวิธีตัดเข้าในแทน
ฤดูกาลที่แล้ว สเตอร์ลิ่ง กับ แบร์นาร์โด้ ได้ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกคนละ 31 นัด แต่ ซาเน่ ได้ออกสตาร์ทแค่ 21 นัด
ช่วง 5 นัดสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังเบียดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูลอย่างเข้มข้น เขาได้ลงตัวจริงเพียงนัดเดียว โดยที่เกมนัดปิดซีซั่นที่บุกไปถล่ม ไบรท์ตัน 4-1 เขาเป็นแค่ตัวสำรองที่ไม่ถูกส่งลงสนามเลย
ความสงสัยที่ว่า “นี่เราสำคัญกับทีมมากแค่ไหน?” จึงเริ่มส่งเสียงดังในใจของ ลีรอย ซาเน่ มากขึ้นเรื่อยๆ
อันที่จริง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เคยมีความคิดจะขาย ลีรอย ซาเน่ ออกไปสักครั้ง และพยายามยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้นักเตะเซ็นต่อมาตลอด
แต่การที่ บาเยิร์น มิวนิค โผล่เข้ามาให้ความสนใจ ซาเน่ อย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ 2019 หลังจาก ฟร้องค์ ริเบรี่ กับ อาร์เยน ร็อบเบน อำลาทีม ทำให้ปีกวัย 24 ปี เริ่มมีใจให้ทีมยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดมากกว่า
ซาเน่ ไม่เคยปิดโอกาสย้ายไปอยู่กับเสือใต้อยู่แล้ว แม้จะเคยอำลาบุนเดสลีกาออกมาเล่นที่อังกฤษในปี 2016 แต่การได้กลับประเทศไปเล่นให้ทีมอย่างบาเยิร์น มันคือเรื่องที่แตกต่างจากการเล่นให้ทีมอย่าง ชาลเก้ แบบไม่ต้องสงสัย
อย่างที่บอกไป แมนฯ ซิตี้ ไม่เคยมีความคิดจะขาย ซาเน่ ทิ้ง โดยสื่ออังกฤษหลายสำนัก พร้อมใจกันรายงานข่าวเมื่อปีที่แล้ว ว่าพวกเขาจะไม่มีทางปล่อยตัว ซาเน่ ออกไป ถ้าได้ค่าตัวไม่ถึง 145 ล้านปอนด์
แต่ทาง บาเยิร์น ก็ดูจะเอาจริงเช่นกัน พวกเขามีพลังเงินมากพอจะสู้ราคาอยู่แล้ว จากการที่เพิ่งทำลายสถิติสโมสรถึง 80 ล้านยูโร กระชากตัว ลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ จาก แอตเลติโก มาดริด
อย่างไรก็ตาม บอร์ดบริหารทีมเสือใต้ก็ต้องพยายามต่อรองราคาอย่างชาญฉลาด เพราะค่าตัวที่ทีมเรือใบสีฟ้าเรียกร้อง มันโหดเกินกว่าจะเซ็นเช็คให้โดยไม่ต้องคิด
1
มีรายงานข่าวว่า บาเยิร์น มิวนิค พร้อมจ่ายสูงสุดที่ 100 ล้านยูโรเมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว แต่อาการเจ็บเข่าอย่างรุนแรงของนักเตะในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ทำให้การเจรจาทั้งหมดล่มลงทันที
หลังจากนั้นจนกระทั่งถึงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ พยายามโน้มน้าวให้ ซาเน่ อยู่กับทีมต่อมาตลอด
การเลือกระหว่างกลับไปเล่นให้ทีมที่ดีที่สุดของบ้านเกิด กับการอยู่เล่นให้สโมสรที่เขาคว้าแชมป์ร่วมกันถึง 7 รายการ มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย
มันยังมีปัจจัยจากบุคคลใกล้ตัวให้เกิดความลังเลด้วย โดย เรจิน่า เวเบอร์ อดีตนักยิมนาสติกหญิงทีมชาติเยอรมนี ซึ่งเป็นคุณแม่แท้ๆ ของซาเน่ เรียกร้องให้ลูกชายของเขากลับไปใช้ชีวิตที่ดินแดนไส้กรอกมาตลอด
ส่วน แคนดิซ บรู๊ค แฟนสาวชาวอเมริกัน ดูเหมือนว่าจะชื่นชอบการใช้ชีวิตที่อังกฤษมากกว่า
สุดท้าย เมื่อชั่งน้ำหนักดูทุกอย่าง ซาเน่ เลือกแล้วว่าการย้ายไปเล่นให้ทีมเสือใต้ คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดต่อทุกฝ่ายจริงๆ
ในวันที่ 19 มิถุนายน 2020 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันต่อนักข่าว ว่า ลีรอย ซาเน่ ตัดสินใจแล้วที่จะไม่ยอมต่อสัญญา
เขาบอกว่าสโมสรได้ยื่นข้อเสนอให้ ซาเน่ อยู่ต่อมาแล้วไม่น้อยกว่า 2-3 ครั้ง แต่การเจรจาไม่เป็นผล
“เมื่อพวกเรายื่นข้อเสนอให้นักเตะ มันเป็นเพราะว่าเราต้องการเขา”
“เขามีคุณสมบัติที่พิเศษ แต่เราต้องการนักเตะที่อยากเล่นให้สโมสรเพื่อบรรลุเป้าหมาย”
“เขาเป็นคนดีและผมก็รักเขามาก ผมไม่มีปัญหาอะไรกับเขา แต่เขาต้องการการผจญภัยครั้งใหม่”
“สโมสรได้คุยกับ ลีรอย 2-3 ครั้งเรื่องการต่อสัญญา เขาปฏิเสธ เขาอยากจะไปเล่นให้ทีมอื่น”
“ถ้าหากในตอนท้ายของฤดูกาล สองสโมสรสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ เขาก็จะได้ย้ายออกไป แต่ถ้าไม่ เขาจะยังอยู่ต่ออีกปี แล้วค่อยย้ายทีมเมื่อหมดสัญญาแทน”
ทีนี้มันก็เป็นการวัดใจ บาเยิร์น มิวนิค ว่าจะแสดงความจริงใจแค่ไหน ระหว่างยอมทุ่มค่าตัวที่เหมาะสมสำหรับนักเตะที่อยากได้มานานนับปี กับรอช้อนแบบฟรีๆ ในปีหน้า
สุดท้ายสิ่งที่ทีมเสือใต้ทำ คือการให้เกียรติทุกฝ่าย เพราะข้อเสนอมูลค่า 60 ล้านยูโร โดยพร้อมจ่ายทันที 49 ล้านยูโร ให้กับนักเตะที่เหลือสัญญาแค่ปีเดียว มันไม่ใช่น้อยๆ เลย
ข้อเสนอแบบ “ให้เกียรติ” ที่ทีมเสือใต้ยื่นมาให้ ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตอบรับแต่โดยดี โดยไม่ต้องบีบบังคับนักเตะที่อยากจะไป ให้ฝืนใจอยู่กับทีมต่ออีกแล้ว
1
สุดท้ายการเดินทางที่ยาวนาน ก็ได้ข้อสรุปว่า ลีรอย ซาเน่ จะได้สวมเสื้อหมายเลข 10 ของ บาเยิร์น มิวนิค ที่เคยเป็นของปีกระดับตำนานอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน ตั้งแต่ซีซั่น 2020-21 เป็นต้นไป โดยทำสัญญาเบื้องต้นเอาไว้จนถึงปี 2025
ซาเน่ เคยร่วมงานกับ ฮันซี่ ฟลิค ยอดโค้ชคนปัจจุบันของทีมแชมป์บุนเดสลีกามาแล้ว เพราะกุนซือคนเก่งของเสือใต้เคยเป็นอดีตสต๊าฟฟ์โค้ชทีมชาติเยอรมนีมาก่อน
ปีกทีมอินทรีเหล็กสามารถเล่นได้ทั้งฝั่งซ้ายแบบไปสุดเส้น กับฝั่งขวาแบบตัดเข้าใน ถือว่าน่าจะปรับตัวเข้ากับแท็กติกของ ฟลิค ไม่ยากเลย
เขากำลังจะได้เล่นให้สโมสรที่ดีที่สุดของประเทศ โดยได้อยู่ท่ามกลางนักเตะเพื่อนร่วมชาติหลายคน ซึ่งมันจะส่งผลต่อโอกาสยึดตำแหน่งตัวหลักในทีมอินทรีเหล็กของ โยอัคคิม เลิฟ ให้มีสูงขึ้นแน่
บาเยิร์น มิวนิค ก็ได้ตัวนักเตะฝีเท้าฉกาจที่พวกเขาต้องการมานาน โดยซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าเมื่อปีก่อนถึง 50 ล้านยูโร
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้พวกเขาจะต้องสูญเสียนักเตะดีๆ ที่ยังเล่นระดับสูงได้นานเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นกุนซือ แต่ดีลนี้ก็ถือว่าพวกเขา “วิน” เช่นกัน
เรือใบสีฟ้าได้เงินจำนวนไม่น้อยสำหรับนำไปเสริมทัพรับฤดูกาลหน้า จากการขายนักเตะที่แทบไม่มีส่วนกับฤดูกาลนี้เลยสักนัด เพราะเจ็บยาวมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม
ถ้าคุณไปดูทวิตเตอร์ของ ลีรอย ซาเน่ จะพบว่ามันเต็มไปด้วยการอวยพรจากคนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ว่าจะเป็นนักเตะและสโมสร
เจ้าตัวก็โพสต์ขอบคุณแฟนบอล ขอบคุณ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่พัฒนาให้เขาเป็นนักเตะที่ดีขึ้น จนความฝันที่ได้ย้ายกลับมาเล่นให้ทีมที่ดีที่สุดของบ้านเกิดกลายเป็นความจริง
นี่คือดีลที่ไม่มีใครต้องเจ็บปวด และทุกคนล้วนอวยพรให้ ลีรอย ซาเน่ โชคดี….
#เสียบสามเหลี่ยม #Sane #PepGuardiola #ManCity #MCFC #FCBayern #Bayern #Bundesliga #PremierLeague #Germany
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา