Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มองหลังสู่ฝัน
•
ติดตาม
6 ก.ค. 2020 เวลา 18:51 • ไลฟ์สไตล์
คนยอง เมืองยอง
เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ตำนานมายาวนาน เริ่มขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มจากการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนพื้นเมือง ได้แก่พวกลัวะ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มคนไทจากเมืองเชียงรุ้งนำโดยเจ้าสุนันทะ โอรสของเจ้าเมืองเชียงรุ้งได้พาบริวารเข้ามามีอำนาจปกครองเมืองยองเหนือคนพื้นเมือง ได้ผสมผสานระบบความเชื่อและพิธีกรรมที่มีอยู่เดิมกับพุทธศาสนาที่เข้ามาภายหลัง นอกจากนั้นยังได้สร้างความสัมพันธ์กับคนพื้นเมือง
จากความสัมพันธ์ดังกล่าว คนเมืองยองจึงสืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่อพยพมาจากเมืองเชียงรุ้งและเมืองอื่นในสิบสองปันนา ซึ่งเป็นชนชาวไทลื้อ และเมื่ออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูน คนทั่วไปจึงเรียกว่า “คนเมืองยอง” เช่นเดียวกันคนเมืองเชียงใหม่ คนเมืองลำปาง คนเมืองเชียงตุง เป็นต้น กระทั่งเรียกให้สั้นเหลือเพียง “คนยอง”
การตั้งถิ่นฐานของชาวยองในลำพูน ในระหว่างปี พ.ศ.2325 – 2347 ก่อนการตั้งเมืองลำพูน พระเจ้ากาวิละยังไม่ได้แต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นเจ้าเมืองลำพูน ด้านการปกครองยังมีสภาพเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ จนถึงปี พ.ศ.2348 พระเจ้ากาวิละได้ฟื้นฟูเมืองลำพูนขึ้นอัน เป็นนโยบายในการเตรียมกำลังคนเพื่อสนับสนุนเชียงใหม่ในยามศึกสงคราม นอกจากนี้กำลังคนในเมืองลำพูนก็ลดลงไปในครั้งที่พระเจ้ากาวิละพาไปตั้งที่เชียงใหม่ ล่วงเข้าสู่วันขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 พระเจ้ากาวิละได้มอบหมายให้เจ้าคำฝั้นและบริวารจากเมือง 500 คน พร้อมด้วยเจ้าบุญมา น้องคนสุดท้องและบริวารจากเมืองลำปาง 500 คน มีเจ้าเมืองยองพร้อมด้วยบุตรภรรยา น้องทั้ง 4 ญาติพี่น้อง ขุนนาง พระสงฆ์และไพร่พลจากเมืองยอง จำนวน 20,000 คนเข้ามาแผ้วถางเมืองลำพูนที่ร้างอยู่ จนถึงวันขึ้น 8 ค่ำ จึงให้เข้ามาตั้งเมืองลำพูนได้ ในวันตั้งเมืองลำพูนมีพิธีทางศาสนาพระสงฆ์ 198 รูปสวดมงคลพระปริตในที่ไชยะมงคล 9 แห่งในเมืองลำพูน เจ้าเมืองยอง บุตรภรรยา พร้อมด้วยญาติพี่น้องและขุนนาง พระสงฆ์ระดับสูง ได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของน้ำแม่กวง ส่วนไพร่พลอื่นๆได้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนตามลุ่มน้ำแม่ทา น้ำแม่ปิง
อย่างไรก็ตามการตั้งถิ่นฐานของชาวยองจะเป็นการตั้งถิ่นฐานและขยายตัวของชุมชนตามแนวลำน้ำที่เหมาะสมในการเกษตรเป็นสำคัญ จากหมู่บ้านหลักในลุ่มน้ำแม่กวงบ้านเวียงยอง บ้านยู้ บ้านหลวย บ้านตองได้ขยายตัวออกไปเป็นบ้านหลิ่งห้า(ศรีบุญยืน) เขตลุ่มน้ำปิงห่างจนถึงบ้านหนองหมู บ้านป่าลาน ป่าเห็ว เป็นต้น นอกจาการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยองในลำพูน ซึ่งถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองลำพูนแล้ว ยังปรากฏมีชาวไตเขินจากเชียงตุงมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านสันดอนรอมในเขตนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้อีกด้วย ไพร่พลที่อพยพเข้ามาอยู่ในลำพูนนี้ต่อมาได้สืบลูกสืบหลานกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของลำพูน หากจะเรียกว่าชาวลำพูนส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวยองก็คงไม่ผิดนัก บริเวณที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวยองที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง คือบริเวณที่ราบลุ่มน้ำแม่ทา น้ำแม่กวงและน้ำแม่ปิงไหลมาบรรจบกันในเขตอำเภอป่าซางคือ “สบทา” ก็นับเป็นบริเวณที่มีชาวยองมาตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะบริเวณแถบนี้นอกจากจะเป็นแหล่งเสบียงอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่ผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว ยังเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญระหว่างเชียงใหม่ ลำพูนกับหัวเมืองต่างๆอีกด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ราบลุ่ม บ้านฉางข้าวน้อย อำเภอป่าซางซึ่งถือเป็นหมู่บ้านหลักของผู้คนที่อพยพมาจากเมืองยอง มีนิสัยรักสันโดษ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ดำรงรักษาประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของบรรพบุรุษเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจากจารึกไม้สักบ่งบอกว่า วัดฉางข้าวน้อยมีอายุหลัง 200 ปีเล็กน้อย มีการสร้างวิหารขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2371 วัดและชุมชนในบริเวณนี้น่าจะถูกตั้งขึ้นมาหลังการอพยพจากเมืองยองในปี พ.ศ.2448 ไม่นานนัก เมื่อมีผู้คนหนาแน่นขึ้น ชุมชนเริ่มก่อตั้งอย่างมั่นคง ชาวบ้านมี ความเป็นอยู่ที่ดี จึงมีเวลาในการทำนุบำรุงพระศาสนาโดยสร้างวิหารและพระพุทธรูปขึ้น
ปัจจุบันความเจริญได้โถมถาเข้าสู่วิถีชีวิตชุมชน นำไปสู่การผสมกลมกลืนของวัฒนธรรมเก่ากับวัฒนธรรมใหม่ ทว่าคนยองป่าซางกลับดำรงอยู่ในฐานะของคนยองส่วนใหญ่ในสังคมไม่ว่าระดับหมู่บ้าน ระดับท้องถิ่น ในอำเภอป่าซางได้ตรงแบบแต่ดั้งเดิมไม่มีผิดเพี้ยน คนยองป่าซางยังคงรักษาลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมได้ค้อนข้างยาวนาน โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เป็นต้น
คําว่า “ยอง” อันเป็นชื่อเรียกชาติพันธุ์นั้น ตำนานเมืองยองอธิบายว่า เป็นชื่อของหญ้าชนิดหนึ่งที่เคยขึ้นในบริเวณเมืองยอง กาลนานมาแล้วมีนายพรานจากเมืองอาฬวีมาจุดไฟเผาป่า ทำให้หญ้ายองปลิวไปทั่ว เช่นเดียวกับชาติพันธุ์ไทยองที่อยู่กระจัดกระจายทั่วไป
สิ่งที่สำคัญ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งคือภาษาพูดที่เรียกว่า “ภาษายอง” ซึ่งสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจระหว่างคนยองในทุกถิ่นฐาน
ไทยองที่อาศัยอยู่ในลำพูนได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้าง “วัดหัวข่วงนางเหลียว” ภายหลังได้เรียกมาเป็น “วัดหัวขัว” อันเปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของคนยอง
ดังจะเห็นได้จากมีเจ้านายเชื้อสายเมืองยองได้มาบรรพชาอุปสมบทที่วัดแห่งนี้ รวมถึงเมื่อมีเจ้านายเชื้อสายยองได้ถึงแก่อนิจกรรมลง ได้มีการนำเอาอัฐิมาบรรจุไว้ที่นี่
สำหรับวัดสำคัญของคนยองอีกวัดหนึ่งคือวัดต้นแก้ว ซึ่งมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านคนยอง ภายในบริเวณวัดมีการเก็บรวบรวมของโบราณหาชมยากกว่า 1,000 ชิ้น
จัดแสดงเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ คุตีข้าว ล้อเกวียน
อีกทั้งมีหีบพระธรรม พระเครื่องเก่าแก่ของลำพูน ถ้วยชาม รวมถึงผ้าทอโบราณของชาวยอง ที่ขึ้นชื่อได้แก่ผ้าซิ่นอายุ 106 ปี ของเจ้าแม่ฟองคำ ณ ลำพูน และผ้าซิ่นของแม่บัวเขียว
เป็นสถานที่ที่คนรุ่นหลังจะได้ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของอดีตกาลแห่งชาติพันธุ์คนยองที่ถือว่าทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันความเจริญได้มาเข้าสู่วิถีชีวิตชุมชน ผสมวัฒนธรรมเก่ากับวัฒนธรรมใหม่ แต่ทว่าคนไทยองในลำพูนยังอยู่แบบดั้งเดิมแทบไม่ผิดเพี้ยน คงรักษาลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมมาได้อย่างยาวนาน
1 บันทึก
4
5
2
1
4
5
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย