11 ก.ค. 2020 เวลา 10:48 • สุขภาพ
มนุษย์นั้นเจ็บและป่วยได้ แต่ยอมพ่ายแพ้ไม่ได้
“Man can be ill but not defeated”
ประโยคอันโด่งดังประโยคหนึ่งที่อยู่ในงานเขียนของเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบล ชาวอเมริกันที่ผมนึกถึงอยู่บ่อยๆนั่นก็คือ
“Man can be killed but not defeated”
หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“มนุษย์นั้นถูกทำลายได้ แต่ยอมพ่ายแพ้ไม่ได้”
แต่ผมมักชอบที่จะเปลี่ยนไปใช้เป็น
“Man can be ill but not defeated” หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“มนุษย์นั้นเจ็บและป่วยได้ แต่ยอมพ่ายแพ้ไม่ได้”
มากกว่า ประโยคนี้ผมมักใช้ปลอบและให้กำลังใจผู้ป่วยหลายคนและเคยได้ผลมาแล้ว หนึ่งในคนที่ผมจำได้แม่นยำนั้นก็คือคุณสมยศ
สมยศเป็นอดีตทหารลาดตระเวน อายุใกล้เคียงกันกับผม เราจึงคุยกันได้อย่างสนิทสนม ยศนั้นโชคร้าย เนื่องจากในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แถวจังหวัดชลบุรี ก็ประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป หลังจากนั้นชีวิตของยศก็เปลี่ยนไป จากคนที่เคยร่าเริงกลับกลายเป็นคนซึมเศร้าและเครียดง่าย ยศมักนอนติดเตียงอยู่เสมอหลังจากย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่ จนทำให้เกิดแผลกดทับและติดเชื้อ รวมถึงการละเลยการสวนปัสสาวะด้วยตัวเองจึงทำให้ยศติดเชื้อดื้อยาในทางเดินปัสสาวะและต้องมานอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยาปฏิชีวนะอยู่เป็นประจำ และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมรู้จักเขา เพราะต้องรักษาซ้ำๆให้เกือบทุกเดือน มีครั้งหนึ่งที่นับเป็นจุดเปลี่ยนที่ผมจำได้คือเขามีอาการติดเชื้อจากแผลกดทับ ครั้งนั้นเขาหงุดหงิดใส่ทุกคน นอนติดเตียงไม่ยอมให้ใครทำแผล พร่ำบ่นแต่ว่าอยากจะตายไปซะเดี๋ยวนี้ แม่เขาได้แต่นั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ข้างเตียง
ผมไปตรวจเยี่ยมอาการตามปกติได้รับทราบเรื่องและอาการจากคุณพยาบาลและพยายามเข้าไปช่วยปลอบเขา อันที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าเป็นการโต้เถียงกันมากกว่าครับ สุดท้ายผมบอกยศว่า “ยศไม่มีขาแต่ยศยังมีแขนนะ ทำไมไม่ฝึกใช้งานให้ดีจะได้ทดแทนกัน ยศเป็นทหารมาก่อนเลยนะ น่าจะเข้มแข็งมากกว่านี้ ยศไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก แต่ก็ยังมีแม่และครอบครัวคอยดูแล โชคดีกว่าคนอีกหลายคน คนทุกคนนั้นเจ็บและป่วยได้ แต่ยอมพ่ายแพ้ไม่ได้นะ” จากนั้นผมจึงเล่าเรื่องอดีตนักกีฬาคนหนึ่งให้เขาฟัง ดังนี้ครับ
เจนนีน เชปเพิร์ด เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมสกีของประเทศออสเตรเลียซึ่งกำลังเตรียมตัวไปแข่งกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว วันหนึ่งเธอกับกลุ่มเพื่อนออกไปขี่จักรยานเพื่อฟิตซ้อมร่างกาย โดยที่เธอเองก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่าวันดีๆวันนั้นจะกลายเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอตลอดไป เธอเล่าไว้ว่า
“ขณะที่เรากำลังปั่นจักรยานไปยังบลูเมาเทนส์ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองซิดนีย์ วิวทิวทัศน์นั้นสวยงามตระการตามาก เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงอันสมบูรณ์แบบ มีทั้งแสงแดด กลิ่นต้นยูคาลิปตัส และความฝัน ชีวิตที่ดีงาม เราอยู่บนจักรยานได้ประมาณห้าชั่วโมงครึ่ง ตอนไปถึงบริเวณที่ฉันชื่นชอบ นั่นคือส่วนที่เป็นเนินเขา ฉันก็ยกตัวขึ้นจากที่นั่งจักรยานและเริ่มปั่นให้เร็วขึ้น ขณะที่กำลังสูดอากาศเย็นบนภูเขา ฉันก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่สดชื่นนั้นอยู่เต็มปอด เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองแสงแดด แล้วทุกอย่างก็ดับมืดไป....” เจนนีนถูกรถบรรทุกชนเข้าอย่างจัง ผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้เจนนีนกระดูกสันหลังหักหลายส่วน เป็นกลายเป็นอัมพาตทั้งส่วนล่างของร่างกาย ต้องนอนรับการรักษาในโรงพยาบาลหลายเดือนและได้รับผ่าตัดอีกนับครั้งไม่ถ้วน
เธอผ่านช่วงเวลาท้อแท้จนไม่อยากมีชีวิตอยู่มาหลายครั้ง แต่แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยน มีอยู่วันหนึ่งเธอนั่งรถเข็นอยู่ในสนามหญ้าที่บ้านกับแม่ของเธอ แล้วเผอิญมองเห็นเครื่องบินบินผ่านไป เธอดีใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แล้วบอกกับแม่ของเธอว่า แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังเดินเองไม่ได้ แต่เธอสามารถ “บิน”ได้
เจนนีนสมัครเป็นนักบินฝึกหัด เธอพยายามยิ่งในการพัฒนาและฟื้นฟูร่างกายเธออีกหลายปี จนตอนนี้เธอกลับมาเดินได้และกลายเป็นครูพี่เลี้ยงฝึกหัดนักบินในที่สุด เธอบินได้ตามที่บอกกับแม่ไว้ บินได้เพราะหัวใจที่ไม่ยอมพ่ายแพ้
ตอนนี้สมยศได้งานใหม่แล้ว เขาเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งและดูมีความสุขดี นับเป็นครูศิลปะที่กล้ามแขนใหญ่มากที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยพบ เขาบอกผมในครั้งหลังสุดที่เจอกันว่า ตอนนี้เขาใช้แขนแทนขาเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างสบาย แถมยังพึ่งรู้ว่าตัวเขาวาดรูปเก่งเลยทีเดียวจึงไปสมัครเป็นครูสอนศิลปะ เขาบอกว่าเขาขอบคุณแม่บ่อยๆที่ให้แขนสุดพิเศษคู่นี้มา ผมบอกเขาว่ายศต้องขอบคุณแม่ที่มอบหัวใจที่แข็งแกร่งให้ด้วยอีกอย่างหนึ่ง เพราะมันคือหัวใจของมนุษย์ที่อาจจะเจ็บป่วยได้ แต่ไม่ยอมพ่ายแพ้
โฆษณา