15 ก.ค. 2020 เวลา 05:30 • กีฬา
"เกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" นี่คือวลีอมตะในโลกฟุตบอล ที่ออกมาจากปากของบรมกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ซึ่งมันน่าหยิบยกมาใช้กับสถานการณ์ชิงพื้นที่ UCL ของยูไนเต็ดตอนนี้เหลือเกิน
3
จากการโดนยิงแบบไม่น่าโดน เสียแบบไม่น่าเสีย
ดังเช่น ลูกที่โดน เซาป์แธมตัน ตีเสมอกระชากอันดับ 3 ไปแบบคาบ้าน สร้างความน่าหงุดหงิด ให้ผู้ชมทางบ้านอย่างกระผมหลือเกิน อารมณ์นั้นคือผิดฟวังอย่างแรง เพราะจะหมดเวลาแล้ว
ซึ่งถ้าเหล่านักเตะของปีศาจแดง เล่นเกมส์รับได้ดีกว่านี้ซักนิด บางทีประตูแรกอาจจะไม่เสียด้วยซ้ำ ประตูแรกมาจากการเล่นที่ไม่น่าภิรมย์ ที่เริ่มมาจาก ดาวิด เด เกอา ที่จ่ายบอลไปให้พอล ป๊อกบา ซึ่งถ้าดูดีๆ จังหวะนั้น เหล่านักบุญวิ่งเข้าเพลสซิ่งหนักมาก และอยู่ไกล้เจ้าป๊อกด้วย และก็โดนบีบจนเสียบอลหน้ากรอบจริงๆ และเสียประตู
ส่วนลูกปฏิเสธอันดับที่ 3 ของยูไนเต็ด เกมรับยืนรับมือลูกเตะมุมของนักบุญ ต้องใช้คำว่า อิหยังวะ คือ แฮรี่ แมกไกวร์ กองหลัง 80 ล้านปอนด์ ทำการประกบติด กดดัน อารอน วาน บิสซากา อย่างหนัก ตอนเห็น ผมอุทานว่า...เพื่อ!!!!!
เรื่องเกมรับ สำคัญไม่แพ้เกมรุก ซึ่งย้อนไปในช่วงยุครุ่งเรืองของแมนฯ ยู ในมือป๋าเฟอร์กี้ เคยอยู่ในช่วงที่ไม่ได้แชมป์ลีกถึง 3 ปีติด ในช่วงปี 2004-2006 ปัญหาคืออะไร คือเกมรับ ในตำแหน่ง กองหลัง หรือที่เรียกว่า เซ็นเตอร์
ตอนนั้นมีตัวยืนคือ ริโอ เฟอร์ดินาน ที่ได้ตัวมาจาก
ลีด ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ เฟอร์ดี้เก่งครับ แต่ไม่มีคู่หูที่ดี เพราะ ยาป สตัม ก็ออกจากทีมไป ทำให้คู่เซ็นเตอร์ในช่วงนั้น จะเป็น โอเช บราวน์ หรือ ซิลแวส สลับหมุนเวียนกันลง ซึ่งหาความลงตัวไม่ได้
เลยต้องหาตัวแทนคนใหม่ ที่จะมาเป็นคู่หูของเฟอร์ดินาน เฟอร์กี้ จิ้มไปที่ เนมาย่า วิดช จากสปาร์ตัก มอสโค ลีกรัสเซีย ซึ่งทำผลงานได้ดีในนามทีมชาติ
เซอร์เบียฯ และเซอร์ ก็คว้ามาไว้ในทีม ในเดือนธันวาคมปี 2005 หวังให้เป็นคู่หูของริโอ
ตอนแรกก็มีเสียงบ่นประมาณว่า ไปเอาใครมา แมวมองบางทีมก็ให้ความเห็นว่า มุทะลุเกินไป บ้าพลัง ใช้ความรุนแรงประมาณนั้น อาจจะไม่เป็นผลดีกับทีม
นัดแรกที่ลงสนามในลีก คู่กับ เฟอร์ดินาน
เจอกับแบล็กเบริ์น โดนแบล็กเบิร์น ล่อไป 4-0 ครับ โดนยิงถึง 4 ประตู
วิดิชต้องใช้เวลาปรับตัวอีกครึ่งฤดูกาลที่เหลือ(2005-2006) ลงเล่นลีกคัพ เล่นบอลถ้วย ลงในลีกบ้าง ใช้เวลาปรับตัวถึง 8 เดือน จนกระทั่งเริ่มฤดูกาลใหม่ (2006-2007)
ฤดูกาลนั้น วิดิช สามารถขึ้นมายืนคู่กับริโอเฟอร์ดิ
นานได้ครับ และเล่นกันอย่างรู้ใจ ซึ่งมาจากความเชื่อใจที่ทั้ง เฟอร์กี้ และ เฟอร์ดี้ มีให้วิดิชมาแม้จะลงนัดแรก(ฤดูกาล2005/2006) โดนไป 4 เม็ดก็ตาม
ฤดูกาลนั้น(2006/2007) จบลงที่ แมนฯ ยูไนเต็ดกลับมาเป็นแชมป์ลีกได้สำเร็จครับ เครดิตอาจจะไปอยู่ที่พวกบรรดาเกมรุกอย่าง เวนย์ รูนี่ย์,โรนัลโด,ไรอัน กิกส์ พวกนี้
แต่ถ้ามาย้อนดูที่สถิติเกมรับ แมนฯ ยู ในฤดูกาลนั้น เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากคู่ของ จอห์น เทอรี่ กับ คาวัลโญ่ของเชลซี
แต่ในปี 2007/2008 แมนฯยู เสียประตูแค่ 22 ประตู ซึ่งน้อยที่สุดในลีก เป็นอันดับหนึ่ง และเป็นแชมป์ลีกสมัยที่สองติดต่อกัน รวมถึงก้าวไปคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ ยูฟ่า แชมป์เปียนลีก มาครองได้สำเร็จ
และมาเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 3 ติดต่อกันในปี 2008/2009 น่าเสียดายที่ไม่ได้แชมป์ยุโรป ทั้งที่เข้าชิงเป็นปีที่สองติดต่อกัน แต่ปีนั้นเกมรับยูไนเต็ดสร้างสถิติที่โหดมากคือ แนวรับทั้ง 5 คน คือ
-ผู้รักษาประตู เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์
-แบ็คขวา - ซ้าย คือ แกรี่ เนวิลล์ กับ ปาทริก เอวร่า
คู่เซ็นเตอร์ เฟอร์ดินาน กับ วิดิช
ทั้ง 5 คนนี้ ไม่เสียประตู เป็นเวลา 1,103 นาที ซึ่งส่งผลให้น้าซาร์ ไม่เสียประตู 11 นัดติดต่อกัน ทำลายทุกสถิติของลีกอังกฤษ ณ เวลานั้น
เป็นอย่างที่ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสันบอกจริงๆ นะครับ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือเป็นแชมป์เนี่ย คุณต้องมีเกมรับที่ดี ไม่ใช่ให้เล่นเกมรับนะครับ คนละความหมายกัน
เช่นกันครับ ถ้าแมนฯ ยูไนเต็ด เวอร์ชั่นลุ้นพื้นที่
ยูฟ่า แชมป์เปียนลีก ในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ อยากคว้าตั๋วไปเล่นถ้วยหูใหญ่ 3 นัดที่เหลือในลีก พยายามอย่าเสียประตูง่ายๆ ต้องกำชับให้บรรดาแนวรับ มีสมาธิที่ดีกว่านี้ ไม่ประกบกันเอง(เห็นทีมอื่นล้อละเพลีย) และต้องชนะทุกนัด
คือ ...เกมรุกต้องยิงให้ได้ เกมรับต้องอย่าเสียประตูง่ายๆ เห็นมั้ยครับว่า ถ้าแนวรับสะเปะสะปะ แบบนัดที่ผ่านมา ส่งผลเสียหายคือ คุณไม่ได้เป้าหมายที่ตั้งไว้คืออันดับ 3 ถ้าชนะจะขึ้นไปอันดับนั้นทันที แต่ก็ไม่ได้สิ่งนั้นมา จากการเสียประตูในช่วงนาทีท้ายๆ อย่างน่าเสียดายนั่นเอง
- กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม เป็นกำลังใจให้เพจ ปีศาจแดงแรงฤทธิ์ (veryred) ไว้ด้วยนะครับ 👍👍👍❤❤🙏🙏
เรามี เฟสบุคแล้วนะครับ แต่ยังไม่มีคนกดไลค์เลย ว่าแล้วฝากไปกดไลค์ให้เพจในเฟสบุคหน่อย
"veryred ปีศาจแดงแรงฤทธิ์"
โฆษณา