15 ก.ค. 2020 เวลา 06:57 • สุขภาพ
ทหารอียิปต์ทำวุ่น Covid-19 กลายพันธุ์ D614G เชื้อเยอะ ติดง่าย เสี่ยงระบาดรอบสอง
1
BBC News
สืบเนื่องจากประเด็นสุดร้อนแรงในขณะนี้ ที่มีข่าวว่ามี
นายทหารอียิปต์เดินทางเข้าประเทศไทยลักษณะของลูกเรือเครื่องบินทหาร ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าประเทศตามมาตรการยกเว้นของรัฐบาล โดยได้เดินทางมาถึงสนามบินอู่ตะเภา
และเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง ระหว่างนั้นกลุ่มลูกเรือได้เดินทางไปสถานที่ต่างๆ ใน จ.ระยอง ก่อนได้รับการยืนยันว่ากลุ่มลูกเรือมีผู้ติดเชื้อ COVID-19
กรณีนี้ส่งผลกระทบไม่น้อยเลยทีเดียว
ศึกษาธิการจังหวัดระยองได้รายงานว่ามีสถานศึกษาในจังหวัดระยองปิดการเรียนการสอนแล้ว 274 แห่ง
ต้องใช้การเรียนการสอนแบบออนไลน์แทน
ขณะที่โรงแรม ที่กลุ่มทหารไปใช้บริการ ต้องปิดบริการชั่วคราว เพื่อทำการฆ่าเชื้อ และ เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคในกลุ่มพนักงานทั้งหมด ที่ทำงานในช่วงเวลานั้น
ห้างสรรพสินค้าดัง 2 แห่ง ที่กลุ่มทหารอียิปต์ดังกล่าว
ได้เดินทางเข้าไปใช้บริการ ได้ออกประกาศ
"ปิดให้บริการชั่วคราว" ตั้งแต่วันที่ 14 - 15 กรกฎาคม 2563
เพื่อทำการฆ่าเชื้อโดยรอบ
มีรายงานว่ามีผู้ที่อยู่ในห้างฯ ในช่วงเวลาเดียวกับกลุ่มทหาร
แบ่งเป็น ห้างฯ P. 395 ราย และ C. 450 ราย
Thailand Medical News
Covid-19 ที่เข้ามากับกลุ่มทหาร คาดว่าคือสายพันธุ์ 'GD614G' หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'สายพันธุ์ G'
ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในทวีปยุโรป
เป็นหนึ่งสาเหตุที่อธิบายได้ว่าทำไม ทวีปยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ถึงมีตัวเลขการติดเชื้อพุ่งอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง
สายพันธุ์ G จะมี ‘Spike Protein’ ยื่นออกมาจากตัวไวรัสโคโรนา ลักษณะคล้ายกับมงกุฎ ซึ่งคอยทำหน้าที่ยึดเกาะแบบเหนียวแน่น
เมื่อเข้าสู่เซลล์มนุษย์ จะหาที่ยึดเกาะและขยายแพร่พันธุ์ต่อ
สายพันธุ์ G มันไม่สามารถมีชีวิตหรือแพร่พันธุ์ได้ด้วยตัวมันเอง
แต่มันจะต้องมีที่ยึดเกาะ ด้วยการเข้าสู่เซลล์มนุษย์
ในการทำ สำเนา (แพร่พันธุ์) ตัวเองนับพันๆหมื่นๆ ตัวออกมา
ข้อมูลในวารสาร cell ระบุว่า จากการศึกษาที่ผ่านมา
พบว่าสายพันธุ์ G ระบาดได้ง่าย พบว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ G
จะมีปริมาณเชื้อที่ลำคอค่อนข้างมาก จึงกระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย
ทำให้ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น
แต่สายพันธุ์ G ไม่ได้ทำให้โรครุนแรงขึ้น เพียงทำให้แพร่กระจายไปทั่วโลกได้มากขึ้น
FR24 News English
ผลวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดหรือจีโนม
ของไวรัสซาร์สซีโอวีทู (SARS-CoV-2) ราว 5,350 ตัวอย่าง
จาก 62 ประเทศทั่วโลก กว่า70% ได้เริ่มการกลายพันธุ์แล้ว
บ่งชี้ว่าไวรัสก่อโรคโควิด-19 ซึ่งแบ่งได้เป็นสองสายพันธุ์ใหญ่ ๆ
บางส่วนมีการกลายพันธุ์ของโปรตีนที่หนาม แยกเป็นสองแบบด้วยกัน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าไวรัสกำลังปรับตัว เพื่อให้มีความสามารถเข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ได้มากขึ้น
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
(13 ก.ค.2563) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
แต่เดิมสายพันธุ์ของ โควิด-19 เริ่มต้นจากประเทศจีน
เป็นสายพันธุ์ S และสายพันธุ์ L
สายพันธุ์ L แพร่กระจายได้ง่ายในนอกประเทศจีน
แต่สายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยใน wave แรก
พบได้ทุกสายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ S
มีลักษณะจำเพาะ ในตำแหน่ง 829 บน spike โปรตีน
และ S มีการเปลี่ยนแปลงเป็น Threonine (T829)
เลยเรียกว่าเป็นสายพันธุ์ T ที่เกิดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น
สายพันธุ์ L เมื่อไประบาดนอกประเทศจีน โดยเฉพาะแถบยุโรป ได้ออกลูกหลาน เป็นสายพันธุ์ G และ V
โดยสายพันธุ์ G มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่ง 614 บนหนามแหลมที่ยื่นออกมา (spike) โดยเปลี่ยนแปลงจาก Aspartate (D) ไปเป็น Glycine (G) หรือเรียกว่าสายพันธุ์ G614
สายพันธุ์ G กระจายได้ง่ายมาก ซึ่งได้กลายพันธุ์ เป็นGH และ GR
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าสายพันธุ์ G นี้ แพร่ระบาดได้ง่ายเพราะพบว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ G จะมีปริมาณเชื้อที่ลำคอค่อนข้างมาก จึงแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย ทำให้ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น
สายพันธุ์ G นี้ไม่ได้ทำให้โรครุนแรงขึ้น ยังคงเหมือนเดิม
เพียงทำให้มีการแพร่กระจายไปทั่วโลกได้มากขึ้น
ดังนั้นขณะนี้สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก
จึงเป็นสายพันธุ์ G มากที่สุด
สายพันธุ์ที่มาจากต่างประเทศและตรวจพบ ใน state quarantine ของประเทศไทย จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นสายพันธุ์ G แล้ว
เชื่อว่าถ้ามีการระบาดในระลอก 2 สายพันธุ์ที่จะระบาดจะต้องเป็นสายพันธุ์ G ที่ย้อนกลับมาจากประเทศทางตะวันตก
และที่กำลังระบาดในเอเชียอยู่ขณะนี้ ไม่น่าจะเป็นสายพันธุ์ S
ที่เคยระบาดอยู่ในประเทศไทย
ขณะนี้ทางศูนย์ฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก
สำนักงานควบคุมโรคเขตเมือง สปคม.
ในการศึกษาสายพันธุ์ที่พบอยู่ในขณะนี้
โดยเฉพาะที่อยู่ใน state quarantine เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน และถ้ามีการระบาดเกิดขึ้นในประเทศไทย เราก็สามารถศึกษาย้อนกลับ ว่าสายพันธุ์ที่ระบาดน่าจะมาจากประเทศใด
ในการศึกษานี้เราจะดูตำแหน่ง ที่มีการเปลี่ยนแปลงของไวรัสทั้งหมด 6 ตำแหน่ง ทำได้ไม่ยากและรวดเร็ว เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลสำหรับประเทศไทยต่อไป
1
ถ้าสายพันธุ์ G แพร่ได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ S ตามที่ได้มีการศึกษาไว้
การระบาดระลอก 2 ก็จะต้องป้องกันอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามสายพันธุ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค เป็นการติดตามการระบาดวิทยา และเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดโรคได้ง่ายหรือยาก
เพราะสายพันธุ์ G เจริญเติบโตได้ดีในทางเดินหายใจจึงมีปริมาณไวรัสมากกว่า
santelog.com
องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ยืนกรานเสียงแข็งมาตลอดว่า
Covid-19 แพร่ระบาดทางฝอยละออง (Droplets) เท่านั้น
แต่อยู่ดีๆ ก็กลับลำกันกลางทาง ออกมาตั้งโต๊ะแถลงยอมรับว่า
Covid-19 สามารถแพร่กระจายทางอากาศ (Airborne) ได้เช่นกัน
โดยเชื้อสามารถติดต่อทางอากาศละอองฝอยขนาดเล็ก
สามารถแขวนลอยในอากาศ มีชีวิตได้หลายชั่วโมง
พร้อมที่จะเข้าปอดเมื่อสูดหายใจเข้าไป
statnews.com
( 2 ก.ค. 2563 ) CELL วารสารทางวิชาการ
ได้ตีพิมพ์บทความวิจัยโรค Covid-19
ซึ่งผลวิจัยของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ
แห่งคณะแพทยศาสตร์ไฟน์เบิร์ก มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น
ที่ได้พบความผิดปกติของโครงสร้างพันธุกรรม
จากตัวอย่างเชื้อไวรัสของผู้ป่วยโควิด-19 ที่สหรัฐอเมริกา
พบว่าไวรัสฯ นั้นมีวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอด มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เช่น โดยการเพิ่มอัตราการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น,
สามารถแพร่เชื้อได้ทางอากาศ, การอดทนต่อสภาพอากาศ,
สภาพแวดล้อม, อยู่บนพื้นผิวของวัตถุในรูปของเหลว
หรือ ลอยอยู่ในอากาศได้นานยิ่งขึ้นกว่าเดิม
(15 ก.ค. 2563 ) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
การติดต่อโรคฝอยละออง (droplet) หรือทางอากาศ (aerosol)
มีการถกเถียงกันว่าการแพร่กระจายของ covid-19เป็นอะไรกันแน่ ระหว่างฝอยละออง หรือทางอากาศ ก็คงถูกทั้งสองฝ่าย
จากตัวเลขที่มีการแพร่กระจายโรค
ส่วนใหญ่อํานาจการกระจายโรค จะอยู่ที่ 2-3 (R0 = 2-3)
คือผู้ป่วย 1 คน แพร่กระจายต่อไปได้ประมาณ 2-3 คน
ใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ที่มีการแพร่กระจายทางฝอยละออง
ดังนั้น การใช้หน้ากากอนามัย การกำหนดระยะห่าง 2 เมตร
ร่วมกับสุขอนามัยก็ถือว่าเป็นการเพียงพอ
บางครั้งโควิด-19 การแพร่กระจายจะไม่เป็นเพียงแค่ 2 หรือ 3 คน แต่อาจจะเป็น 10 หรือมากกว่า เช่นในสนามมวย สถานบันเทิง
แสดงว่าการติดต่อเป็นการติดต่อกันทางอากาศ เหมือนโรคหัด
ที่มีการติดต่อกันง่ายมากทางอากาศ จากผู้ป่วย 1 คน
สามารถกระจายไปได้ 12-16 คน
ถ้าเป็นเช่นนั้นการใส่หน้ากากอนามัยธรรมดาจะไม่เพียงพอ
ต้องใช้ N95 และชุดป้องกันตัว PPE
เมื่อพิจารณาแล้วจึงมีโอกาสเป็นได้ทั้ง 2 แบบ ขึ้นอยู่กับสถานที่ และสถานการณ์
ในภาวะปกติ การแพร่กระจายโรคจะเป็นแบบทางฝอยละออง
การป้องกันที่ผ่านมาถือว่าเพียงพอ
แต่ในภาวะที่ หรือสถานที่ ปกปิด เช่นสนามมวย สถานบันเทิง
ในห้องปิด ในหอผู้ป่วยวิกฤต ที่มีการทำหัตถการ เช่น พ่นยา
ดูดเสมหะ หรือแม้กระทั่งพูดเสียงดัง ก็จะทำให้เกิดฝอยละอองขนาดเล็กลอยไปในอากาศ ที่ไปได้ไกลกว่า 2 เมตร
ดังนั้นในสถานที่ดังกล่าว การป้องกันจะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดกว่าปกติ เช่น หน้ากากจะต้องใช้ ชนิด N95 และ มีชุดป้องกันตัว
การแพร่กระจายโรค ที่เป็นที่ถกเถียงกัน ก็คงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สถานที่ สิ่งแวดล้อม เป็นสำคัญ
แสดงให้เห็นว่าไวรัสฯ นั้นมีวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอด
โดยการเพิ่มอัตราการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น
โดยสามารถแพร่เชื้อได้ทางอากาศ
และนั่นหมายความว่า หน้ากากผ้า ที่ประชากรส่วนใหญ่ของไทยสวมใส่ป้องกันโควิด-19 ทดแทน หน้ากากอนามัย ที่หายากแสนยาก (ณ วันนี้ ก็ยังหาไม่เจอ) อาจเอา Covid-19 ไม่อยู่ซะแล้ว
โฆษณา