ว่ากันว่ามาร์เก็ต ลีดเดอร์ ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดจะมีข้อได้เปรียบหลายประการ อาทิ การยอมรับของลูกค้า, การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่, ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ, การเป็นผู้นำทางด้านราคา, ช่องทางการจัดจำหน่ายมีมากกว่า และสามารถเพิ่มการส่งเสริมการตลาดได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน้าที่หลักของแบรนด์ลีดเดอร์ ไม่ได้อยู่แค่เพียงการสร้างการเติบโตของยอดขาย หรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กับแบรนด์ตัวเองเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่การเข้ามารับบทบาทผู้นำในการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้กับตลาดที่เล่นอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องทำหน้าที่ในการ Penetrate ไปยังกลุ่มผู้ใช้ใหม่ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากแบรนด์ผู้ตามที่ต้องหานิช หรือเจาะเข้าไปในตลาดนิชที่ลีดเดอร์ที่ช่องว่างเอาไว้
ด้วยบทบาทของความเป็นผู้นำตลาดกาแฟผงสำเร็จรูปที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในมือเกินครึ่งหนึ่งของตลาด ทำให้เนสกาแฟต้องทำหน้าที่ในการดึงให้ตลาดกาแฟผงสำเร็จรูปกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังจากที่ในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมานี้ ตลาดแทบไม่มีการเติบโต เนื่องจากการปรับเปลี่ยนพฤคิกรรมการดื่มกาแฟของคนรุ่นใหม่ที่หันไปดื่มกาแฟคั่วบดที่โดนกระตุ้นโดยร้านกาแฟนอกบ้านซึ่งผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
การไม่หยุดทำตลาดด้วยการนำเสนอนวัตกรรมให้กับตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2019 ตลาดกาแฟปรุงสำเร็จในบ้านเรากลับมามีตัวเลขเติบโตในแดนบวก นั่นคือ เติบโต 2% แม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่ด้วยขนาดของตลาดที่มีมูลค่าถึง 21,000 ล้านบาท การเติบโตในระดับดังกล่าวถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะตลาดแทบจะไม่มีการเติบโตมาตลอดในช่วง 5 – 6 ปีหลังมานี้
เนสกาแฟ พยายามที่จะรักษาการเติบโตให้มีความต่อเนื่องต่อไป จึงยังคงเดินหน้าบุกตลาด เพื่อดึงให้คนหันมาดื่มกาแฟปรุงสำเร็จ แม้จะมีทางเลือกมากขึ้นจากการเบ่งบานของเชนร้านกาแฟ
ขอบคุณบทความจาก brandage online