16 ก.ค. 2020 เวลา 17:04 • ปรัชญา
เรากลัวอะไรกันแน่?
ผมมีเรื่องราวจะเล่าให้อ่านครับ จากประสบการณ์ของผมเอง ผมไม่รู้จะตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี แต่มันเกี่ยวกับความกลัว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เมื่อ๑๐กว่าปีก่อน ตอนนั้นผมอายุ๑๓ปี ด้วยความที่ผมเป็นบ้านๆ ชีวิตในวัยเด็กก็จะอยู่แต่ป่ากับภูเขา และห้วย หนอง คลอง บึง บ่อยครั้งพอถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมกับเพื่อนๆ ก็จะชวนกันขึ้นภูเขา เพื่อที่จะไปหากล้วยไม้กันเป็นประจำ แต่ล่ะครั้งก็จะมีเรื่องราวมากมายให้ตื่นเต้นเสมอ
แต่วันนี้ผมจะเล่าครั้งที่ผมไปกับลูกพี่ลูกน้องของผม(ลูกของป้า) วันนั้นทางโรงเรียนมีเรียนแค่ครึ่งวัน ก็เลยได้โอกาศสองคนพี่น้องชวนกันไปขึ้นภูเขา
กว่าจะได้จัดแจงเตรียมตัว และเดินทางไปถึงตีนเขา ก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย๒กว่า
ผมกับพี่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เดินผ่าดงไม้ทึบ มีต้นไม้เล็กใหญ่มากมายนานาพันธุ์ ทั้งกอไผ่ลำใหญ่ยอดโอนเอนพริ้วใหวตามสายลม ทั้งนก ทั้งกระรอกกระแต โผบินกระโดดโลดเล่นกันสนุกสนาน เสียงเจี๊ยวจ๊าวกันเลยทีเดียว เห็นแล้วก็นึกอิจฉาพวกมันซ่ะจริงๆ
หลังจากที่ผ่านดงป่าทึบก็เริ่มถึงหน้าผาหินสูงชัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผมกับพี่จะชื่นชอบมากๆ เพราะทั้งสนุกและตื่นเต้นสุดๆ การปีนหน้าผาก็มีเพียงมือเปล่า แบบไร้อุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น ใช้แต่ความกล้าและกำลังแขนขาเท่านั้น ความสนุกมันทำให้ผมลืมความกลัวไปเลย คงเป็นปกติของมนุษย์ เมื่อเรามั่นใจในความสามารถของตัวเองและรู้ขีดจำกัด มันก็ทำให้เราทำอะไรบางอย่างลุล่วงด้วยดี
เมื่อผมกับพี่ปีนขึ้นมาจนถึงยอดเขา ความเหนื่อยกับเหงื่อที่เปียกชุ่มก็หายไป เพราะสายลมที่พัดโชยเย็นชื่นใจ แม้จะยังมีแดดอ่อนๆ พร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่สวยจนลืมทุกสิ่ง ทั้งภูเขาที่เรียงราวสลับซับซ้อนกัน พื้นป่าและสวนของชาวบ้านด้านล่างที่เขียวชอุ่ม ก้อนเมฆสีทองจากแสงแดดอ่อนๆพื้นหลังเป็นท้องฟ้าสีครามสดใส มันช่างเป็นภาพที่อธิบายด้วยตัวอักษรให้ออกมาตรงกับความรู้สึกยากจริงๆ
Cr.เพจ เขาทะลุซิตี๊
หลังจากที่ชื่นชมความงามจนอิ่มใจแล้ว ผมกับพี่ก็แยกกันหากล้วยไม้(รองเท้านารีขาวชุมพร) โดยที่นัดกันว่าอีกสักชั่วโมงมาเจอกันตรงนี้ที่เดิม เพราะความที่คุ้นชินกับพื้นทีและไม่ได้เอะใจอะไร ต่างคนก็ต่างแยกกันหากล้วยไม้กันไปจนเพลิน
Cr.ภาพจาก pantip
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆผมก็กลับมาทีจุดนัดพบ แต่ยังไม่เห็นพี่กลับมา ก็เลยนั่งรออยู่ตรงนั้น รอแล้วรออีกพี่ก็ยังไม่กลับมา ผมก็เริ่มใจไม่ดี ตอนนั้นไม่มีนาฬิกาแต่ก็พอเดาได้ว่าประมาณ ๕ โมงกว่าๆ สังเกตุจากท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้แล้ว เพราะฝั่งตะวันตกมีภูเขาอีกลูกบังแสงอยู่ เห็นดังนั้นผมก็ตัดสินใจ เดินออกไปจากบริเวณนั้นพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อพี่แบบสุดเสียง
ผมพยายามเดินหาและตะโกนเรียกอยู่พักใหญ่ๆ แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมาเลย แม้แต่เสียงนกเสียงสัตว์ก็ไม่มี เงียบมาก ในใจเริ่มคิดว่า พี่คงเป็นอะไรไปแน่ๆ แต่ก็ยังมีสติคิดในแง่ดีอยู่ ก็เลยตะเบ่งเสียงตะโกนเรียกพร้อมน้ำตาอีกครั้ง จนท้องฟ้าเริ่มมืด
เลยติดสินใจกลับ คิดว่าจะไปบอกผู้ใหญ่และพ่อให้มาช่วยตามหา แต่ด้วยความสูงของภูเขาและมีความชันมาก ผมก็พยายามพาตัวเองให้ลงจากเขาให้ได้ก่อน
ในขณะที่กำลังปีนลงมาในความมืดสลัวๆ ผมไม่ได้คิดกลัวสิ่งอื่นเลยสักนิดเดียว ไม่มีเรื่องอื่นเลยจริงๆ คิดเพียงเรื่องเดียวว่า "ถ้าพี่เป็นอะไรไป กูจะทำอย่างไร" พ่อของพี่ต้องเอาผมตายแน่ๆ
พอมาถึงบริเวรป่าทึบ ความมืดยิ่งเพิ่มขึ้น ผมใช้วิธีเดินเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับมือคลำทางไป คุณพระช่วย ผมออกจากป่าทึบนั้นสำเร็จพร้อมกับน้ำตาที่อาบเต็มใบหน้า เมื่อมาถึงถนนทางกลับบ้าน ผมเดินไปร้องให้ไป ด้วยความเป็นห่วงพี่ คิดว่าถ้าพี่ยังไปเป็นอะไรไป พี่จะอยู่อย่างไรบนภูเขานั่น หลังจากที่กำลังคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงอยู่ ก็มีแสงไฟจากรถมอไซร์กำลังใกล้เข้ามาหาผม ปรากฏว่าคนขับคือพ่อของผมเอง พ่อจอดรถแล้วถามผมว่า "ทำไมเพิ่งลงมาป่านนี้ แล้วพี่ไปใหน" ผมก็เล่าทุกอย่างให้พ่อฟังพร้อมทั้งน้ำตา เมื่อพ่อได้ยินดังนั้น ก็รีบไปที่บ้านของพี่ แต่ผมเดินกลับบ้านต่อ ไม่กล้าที่จะไปด้วย
ในที่สุดผมก็ถึงบ้าน สักพักหนึ่งพ่อก็กลับมา และคำแรกที่พ่อพูดก็คือ "พี่เองนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านมันนั้นแหละ" พี่มันบอกพ่อผมว่า ลงมาจากภูเขาตั้งแต่ ๕โมงแล้ว เพราะเรียกผมจนคอแตกแล้ว ก็ไม่มีใครตอบรับ ก็เลยคิดว่าผมลงมาก่อน พี่มันยังคิดว่า ทำไมผมทิ้งมัน แต่ในความเป็นจริง ผมต่างหากที่โดนทิ้ง จนเกือบเป็นบ้าอยู่บนภูเขานั่นคนเดียว
วันต่อมา ผมกับพี่ก็มานั่งคุยกันว่า มันเป็นเพราะอะไรถึงได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ เมื่อมาไล่เวลาดูแล้ว พี่ลงตอนผมนั่งรอ เวลาไม่น่าจะห่างกันมาก แต่ทำไมถึงเรียกกันไม่ได้ยิน แถมเสียงก็ดังก้องภูเขา บางคนก็บอกว่า ผีบัง โน้นนี้นั้น อาถรรพ์ต่างๆ มันก็อาจจะเป็นไปได้ คิดย้อนไปแล้วก็กลัวเหมือนกัน แต่ทำไมตอนที่ผมอยู่บนภูเขาคนเดียวจริงๆ ถึงไม่คิดกลัวเลย
นั้นแสดงว่าเรากลัวในสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็จริง แต่เรากลัวสิ่งที่จะกระทบกับตัวเราโดยตรงมากกว่า และสิ่งที่มากกว่าย่อมบดบังสิ่งที่น้อยกว่าเป็นธรรมดา
เพราะฉนั้นเราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรให้มากที่มันเกิดจากความคิดของเราเอง
ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ไปขึ้นภูเขาลูกนี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไปคนเดียว และนอนค้างคืนด้วยหนึ่งคืน เพื่อจะทดสอบความกลัวของตัวเอง และค้นหาอะไรบางอย่าง โอกาศหน้าผมจะมาเล่าให้อ่านกันน่ะครับ (ถ้ามีคนสนใจน่ะ)
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตโดยความไม่ประมาท
-----ขอบคุณครับ----
=ชีวิตที่ว่างเปล่ากับเรื่องราวที่มากมาย=
โฆษณา