Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เสียบสามเหลี่ยม
•
ติดตาม
19 ก.ค. 2020 เวลา 04:00 • กีฬา
ในปีสุดท้ายที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ถือเป็นปีที่วงการฟุตบอลมีความมหัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย หากลองนึกย้อนความทรงจำกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว
อาร์เซน่อล สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาล นั่นคือแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายของทีมปืนใหญ่จนถึงทุกวันนี้ และนั่นคือปีที่พวกเขาทำสถิติไม่แพ้ใครในลีกอังกฤษนานที่สุดถึง 49 นัด ก่อนจะถูกหยุดลงด้วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ตำแหน่งแชมป์ ลา ลีกา สเปน ปีนั้น ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า แต่กลับเป็น บาเลนเซีย ของ ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งพ่วงแชมป์ ยูฟ่า คัพ ด้วยอีกรายการ
เอฟซี ปอร์โต้ หักปากกาเซียนคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาคือทีมสุดท้ายที่ไม่ได้มาจาก 5 ลีกดังที่ครองเจ้ายุโรป ก่อนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวและกลายเป็นกุนซือระดับโลกในเวลาต่อมา
ทีมชาติกรีซ ก็สร้างเทพนิยายให้เกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดคิด เมื่อทะลุเข้าไปคว้าแชมป์ ยูโร 2004 หน้าตาเฉย
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เดินทางออกจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปเล่นในลีกดังยุโรปเป็นครั้งแรก ขณะที่ เวย์น รูนี่ย์ ก็ทำลายสถิติการเป็นนักเตะดาวรุ่งค่าตัวแพงที่สุดในโลก เมื่อย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนกลายเป็นตำนานดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของปีศาจแดงในภายหลัง
นั่นยังเป็นปีที่ ลิโอเนล เมสซี่ ได้สัญญานักเตะอาชีพฉบับแรกในชีวิตกับ บาร์เซโลน่า ซึ่งในเวลาต่อมา เขากลายเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่บาร์ซ่าเคยมีมา
ในขณะที่ปี 2004 โลกลูกหนังเต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์ แต่มันกลายเป็นปีที่น่าเศร้าสำหรับทีมยูงทอง ที่ต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกรองของอังกฤษ ทั้งที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว
ลีดส์ ยูไนเต็ด การันตีการตกชั้นลงจากพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2004 เมื่อออกไปโดน โบลตัน วันเดอเรอร์ส ถล่มยับเยิน 4-1 ทำให้ไม่เหลือความหวังอะไรให้ลุ้นก่อนลงเล่น 2 เกมสุดท้าย
ภาพที่ อลัน สมิธ หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาแบบไม่อายใคร จนนายประตูอย่าง พอล โรบินสัน ต้องเข้าไปปลอบ คุณจะเห็นว่า “สมัดเจอร์” สวมเสื้อของโบลตันอยู่ เพราะเขาคือดาวดังอันดับหนึ่งของทีมยูงทองชุดนั้น แน่นอนว่านักเตะคู่แข่งย่อมอยากแลกเสื้อด้วย
ขุมกำลังของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2003-04 ที่ปัจจุบันยังไม่แขวนสตั๊ด มีเพียง 4 คนเท่านั้น
1. สกอตต์ คาร์สัน ตอนนั้นยังเป็นผู้รักษาประตูวัยทีนเอจ ซึ่งเป็นมือสองรองจากของ พอล โรบินสัน ปัจจุบันอายุ 34 ปี มีสถานะเป็นนายด่านมือสามของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และกำลังจะกลับไปเฝ้าเสาให้ต้นสังกัดที่แท้จริงอย่าง ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เมื่อหมดสัญญายืมตัว
2. แม็ทธิว คิลกัลล่อน ตอนนั้นเป็นแค่เซนเตอร์แบ็กดาวรุ่งตัวสำรอง ส่วนตอนนี้ไปเล่นอยู่ในลีกอินเดียกับทีมเล็กๆ อย่าง ไฮเดอราบาด เอฟซี
3. อารอน เลนน่อน ปีกดาวรุ่งตัวจี๊ด ที่แม้ขึ้นชุดใหญ่ให้ลีดส์ปีแรกแล้วทีมตกชั้นทันที แต่ในเวลาต่อมา เขาคือปีกขวาตัวท็อปของพรีเมียร์ลีก เมื่อดังกระฉูดกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ตอนนี้ในวัย 33 ปี เลนน่อน กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด หลังจาก เบิร์นลี่ย์ ไม่ต่อสัญญา
4. เจมส์ มิลเนอร์ ตอนนั้นถือเป็นอีกหนึ่งตัวรุกระดับวันเดอร์คิดของวงการ หลังจากทีมยูงทองตกชั้น เขาย้ายไปพัฒนาฝีเท้ากับ นิวคาสเซิ่ล และ แอสตัน วิลล่า จนกลายเป็นนักเตะที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 3 สมัย
เขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ครั้ง ส่วนปีนี้ในวัย 34 เขาเพิ่งพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 30 ปี ในฐานะตัวสำรองอเนกประสงค์ของ เจอร์เก้น คล็อปป์
1
ตัดภาพมาที่ขุมกำลังชุดปัจจุบันของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไม่มีสมาชิกคนไหนเลย ที่เป็นนักเตะอาชีพในตอนที่สโมสรยังไม่ร่วงตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก
ผู้เล่นที่อายุมากที่สุดของทีมยูงทองชุดนี้คือ ปาโบล เอร์นานเดซ แนวรุกตัวทีเด็ดชาวสเปนวัย 35 ปี แต่ในปี 2004 เขายังเป็นนักเตะในอะคาเดมี่ของ บาเลนเซีย โดยยังไม่ได้โอกาสขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่แต่อย่างใด
ส่วนกุนซือคนปัจจุบันอย่าง มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ในปี 2004 เขายังคุมทีมชาติอาร์เจนตินาอยู่เลย
ก่อนจะมาค้นพบ “คนที่ใช่” อย่างบิเอลซ่า ลีดส์ทำการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมในรอบ 16 ปีที่ผ่านมาถึง 15 ครั้ง โดยยังไม่ได้นับรวมพวกกุนซือขัดตาทัพที่ทำหน้าที่แค่ไม่กี่นัด ก็หลีกทางให้คนใหม่
นอกจากตำแหน่งกุนซือแล้ว แม้แต่คนที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรตั้งแต่ปี 2004-ปัจจุบัน ยังมีอีกถึง 5 คนด้วยกัน จาก เจอรัลด์ คราสเนอร์, เคน เบตส์, ซาลาห์ นูรุดดิน, มัสซิโม่ เซลิโน่ และ อันเดรีย ราดริซซานี่
16 ปีที่แล้วมันนานขนาดไหน เอาเป็นว่าตอนนั้นโลกยังไม่มี Youtube และแอปเปิลยังไม่เคยเปิดตัว iPhone รุ่นแรกเลยด้วยซ้ำ
ย้อนไปเมื่อช่วง 2 ทศวรรษที่แล้ว ลีดส์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในทีมระดับ “บิ๊กไฟว์” ของพรีเมียร์ลีก
คือนอกจาก “บิ๊กโฟร์” ดั้งเดิมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ถือว่า ลีดส์ ไม่เป็นรองทีมไหนเลย
และบางที มันอาจมีทีมที่ศักยภาพเหนือกว่าพวกเขาจริงๆ แค่ 2 ทีมก็ได้ นั่นคือ 2 ทีมที่ผลัดกันเป็นแชมป์ยุคนั้นอย่างผีแดงและปืนใหญ่ นอกนั้นถือว่าทีมยูงทองพร้อมแซงได้หมด
ช่วงระหว่างฤดูกาล 1997-98 จนถึง 2001-02 พวกเขาไม่เคยจบฤดูกาลต่ำกว่าอันดับ 5
ซีซั่นที่ท็อปฟอร์มที่สุดคือ 1999-2000 ที่ เดวิด โอเลียรี่ พาทีมของเขาเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ พร้อมกับจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 และคว้าตั๋วไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกในยุคที่เล่นพรีเมียร์ลีก
แต่ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้อดีตประธานสโมสรอย่าง ปีเตอร์ ริดส์เดล ใช้เงินเกินตัว โดยในฤดูกาล 2000-01 พวกเขาใช้งบซื้อนักเตะใหม่ร่วมๆ 50 ล้านปอนด์
ซัมเมอร์ปี 2000 โอลิวิเย่ร์ ดากูร์, มาร์ค วิดูก้า และ โดมินิค มัตเตโอ สามคนนี้ราคารวมกันราวๆ 18 ล้านปอนด์
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 2000 ลีดส์ ทุ่มเงินเป็นสถิติโลกของค่าตัวกองหลัง กระชาก ริโอ เฟอร์ดินานด์ มาจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยราคาสูงถึง 18 ล้านปอนด์
คือในสมัยนั้น ตลาดนักเตะยังไม่มีการแบ่งเป็น 2 รอบเหมือนปัจจุบัน (ซัมเมอร์กับหน้าหนาว) คือแต่ละทีมยังสามารถเสริมทัพนักเตะใหม่ระหว่างฤดูกาลได้เรื่อยๆ
ในเดือนเมษายนปี 2001 ลีดส์ ยังตัดสินใจทุ่มเงินอีก 12 ล้านปอนด์ ซื้อขาด ร็อบบี้ คีน จาก อินเตอร์ มิลาน หลังจากดีลรอบแรกคือการยืมตัว ทำให้งบเสริมทัพของลีดส์แค่ซีซั่นนั้นซีซั่นเดียว เกือบครึ่งร้อยล้านปอนด์เข้าไปแล้วอย่างที่บอกไป
จริงๆ แทบทุกชื่อที่เสริมเข้ามา ถือว่าทำผลงานได้น่าพอใจ เมื่อสามารถช่วยให้สโมสรทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้
ถึงแม้ว่า ร็อบบี้ คีน ลงเล่นเกมยุโรปไม่ได้ เพราะติดคัพไท จากการที่เคยลงเล่นให้ทีมงูใหญ่ในรอบคัดเลือกก่อนย้าย แต่ดาวยิงทีมชาติไอร์แลนด์ ก็ยังทำผลงานได้ดีในเกมลีก
แต่ความโหดร้ายของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2000-01 ก็คือมันมีโควตาสำหรับทีมที่จะได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก แค่ 3 ทีม
ลีดส์ จบซีซั่น 2000-01 ด้วยอันดับ 4 ตามหลังอันดับ 3 อย่าง ลิเวอร์พูล เพียงแต้มเดียว จึงพลาดโอกาสสร้างรายได้มหาศาลจากการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์สโมสรที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปไปอย่างน่าเสียดาย
แค่การพลาดตั๋วไปลุย UCL หลังจากเพิ่งใช้เงินมากกว่ารายได้ ก็ทำให้สโมสรขาดทุนมากพอแล้ว
แต่สิ่งที่ ปีเตอร์ ริดส์เดล ทำต่อจากนั้น ไม่ต่างอะไรกับ “ผีพนัน” เพราะในซีซั่น 2001-02 โควตาได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ของพรีเมียร์ลีก ถูกเพิ่มเป็น 4 ทีมเป็นครั้งแรก เขาจึงกล้าที่จะเสี่ยง แต่ไม่ประเมินว่าถ้าเสีย จะต้องเสียอะไรบ้าง
เขาเอาอนาคตสโมสรไปเดิมพัน ด้วยการไปกู้เงินธนาคารมาอีกถึง 60 ล้านปอนด์ เพื่อนำมาใช้จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะดาวดัง และลงทุนซื้อแข้งใหม่เข้ามาเพิ่ม
ถ้าหากสโมสรกลับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง มันอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ลีดส์ ยูไนเต็ด อาจกลายเป็นทีมที่ล้มละลาย
ทีมยูงทอง คว้าตัว เซ็ธ จอห์นสัน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เข้ามาก่อนสิ้นปี 2001 ด้วยราคารวมกัน 20 ล้านปอนด์ เมื่อบวกกับแกนหลักหน้าเดิมๆ ถือว่าพวกเขาทำท่าว่าจะไปได้สวย เพราะ 23 สัปดาห์แรกของฤดูกาล 2001-02 ลีดส์ไม่หลุดจากท็อปโฟร์เลย
แต่กลายเป็นว่าหลังจากนั้น ฟอร์มของยูงทองดร็อปลงไปเยอะ สวนทางกับคู่แข่งทีมอื่นๆ ที่ฟอร์มแรงขึ้นมา...
สุดท้าย ลีดส์ ยูไนเต็ด จบซีซั่นแค่อันดับ 5 และทำให้ ปีเตอร์ ริดส์เดล สั่งปลด เดวิด โอเลียรี่ ออกจากตำแหน่งกุนซือในช่วงซัมเมอร์ 2002 เพราะมองว่ามีผลงานไม่น่าพอใจ ทั้งที่ลงทุนซื้อนักเตะให้ตั้งเยอะ
1
แต่ความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่าใครที่เข้ามาคุมทีมแทน จะต้องทำงานยากกว่าเดิมแน่ เพราะสโมสรจำเป็นต้องขายนักเตะกำลังสำคัญทิ้งเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ด้วย หลังจากพลาดตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ปีติดต่อกัน
ริโอ เฟอร์ดินานด์, ร็อบบี้ คีน, ลี โบวเยอร์, โจนาธาน วู้ดเกต และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ถูกขายทิ้งทั้งหมด เพื่อนำเม็ดเงินมาพยุงสโมสร
แต่เมื่อขุมกำลังอ่อนลงไปเยอะ ลีดส์ จึงเปลี่ยนสถานะจากทีมที่เคยลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรป เป็นทีมที่แฟนบอลต้องลุ้นว่าจะอยู่รอดในลีกสูงสุดหรือไม่
ฤดูกาล 2002-03 พวกเขาจบซีซั่นด้วยอันดับที่ 15 ก่อนจะอาการโคม่าถึงขั้นตกชั้นไปในฤดูกาล 2003-04 เมื่อจมอันดับรองบ๊วยของตาราง หลังจากเสียนักเตะอย่าง โอลิวิเย่ร์ ดากูร์, ไนเจล มาร์ติน และ แฮร์รี่ คีเวลล์ ออกไปอีก
ความล้มเหลวจนตกต่ำอย่างรวดเร็วของทีมยูงทอง ทำให้ที่อังกฤษมีสำนวนว่า “Doing a Leeds” หมายถึงการลงทุนแบบไม่ประเมินความเสี่ยง จนเจ๊งไม่เป็นท่า
หากให้เปรียบเป็นภาษาไทย ถ้าใครกำลังใช้เงินเกินกำลังแล้วไม่มีปัญญาใช้หนี้ ก็คือ “มึงแม่งโคตรลีดส์เลยว่ะ”
หลังจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก วิบากกรรมของทีมยูงทองยังไม่หมด เพราะหนี้สินของสโมสรมีแต่พอกพูน จากการที่พวกเขาตกต่ำจนรายได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ
นักเตะของทีมชุดที่เล่นพรีเมียร์ลีกฤดูกาลสุดท้าย ถูกขายออกไปแทบทั้งหมด เพราะสโมสรจำเป็นต้องระดมทุนไปใช้หนี้ และลดรายจ่ายผู้เล่นค่าเหนื่อยสูง ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พอล โรบินสัน ย้ายไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เจมส์ มิลเนอร์ ย้ายไป นิวคาสเซิ่ล, สกอตต์ คาร์สัน ย้ายไป ลิเวอร์พูล, มาร์ค วิดูก้า ย้ายไป มิดเดิ้ลสโบรช์
และแม้กระทั่งนักเตะที่รักทีมสุดหัวใจอย่าง อลัน สมิธ ยังต้องย้ายไปซบคู่อริอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ เพราะทีมปีศาจแดงคือสโมสรที่ให้ราคาของ สมัดเจอร์ ดีที่สุดในตอนนั้น
ไม่เพียงแต่ต้องขายนักเตะกินเท่านั้น แม้กระทั่งสนามเหย้าอย่าง เอลแลนด์ โร้ด ยังต้องถูกขายทอดตลาดด้วยในช่วงปลายปี 2004 โดยมีออปชั่นซื้อคืนได้ แต่ต้องมีเงินมาจ่ายภายในระยะเวลา 25 ปี
ทีมที่เจอปัญหารุมเร้าขนาดนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่จะจบฤดูกาลแค่อันดับ 14 ในการเล่นแชมเปี้ยนชิพปีแรก
ฤดูกาลที่ 2 ลีดส์ เกือบจะได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง เมื่อทีมที่กุนซือ เควิน แบล็คเวลล์ สร้างขึ้นมาใหม่ สามารถจบฤดูกาลปกติด้วยอันดับ 5 และผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟเลื่อนชั้นไปพบกับ วัตฟอร์ด
แต่การโดนทีมแตนอาละวาดถล่มยับเยิน 3-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้ความหวังที่สโมสรจะได้ฟื้นต้องสลายไปในอากาศทันที
ลีดส์ ยังคงต้องเล่นในแชมเปี้ยนชิพต่อในซีซั่น 2006-07 และต้องต่อสู้อย่างหนัก เพื่อไม่ให้ทีมตกต่ำลงไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ทีมยูงทองที่เมาหมัดจากการพลาดโอกาสกลับสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลก่อนหน้า แย่ถึงขั้นร่วงลงไปเล่น ลีก วัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
เพราะในฤดูกาล 2006-07 นอกจากผลงานใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ จะย่ำแย่แล้ว ยังถูกเข้าควบคุมกิจการการเงิน จนโดนหัก 10 คะแนน และหล่นไปอยู่อันดับบ๊วยอีกต่างหาก
ฤดูกาล 2007-08 ลีดส์ ยูไนเต็ด ต้องลงเล่น ลีก วัน ครั้งแรก ด้วยการติดลบก่อน 15 แต้ม เพราะปัญหาทางการเงินเรื้อรัง ทำให้พวกเขายังต้องถูกสมาคมฟุตบอลลีกเข้าควบคุมบัญชี
การโดนหักแต้มเยอะขนาดนั้น ส่งผลโดยตรงกับการพลาดโควตาเลื่อนชั้นกลับสู่แชมเปี้ยนชิพโดยอัตโนมัติ เพราะ ลีดส์ จบซีซั่นแค่อันดับ 5 ตามหลังรองแชมป์อย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แค่ 6 คะแนน
คือถ้าไม่โดนหักแต้ม พวกเขาคงเลื่อนชั้นไปแล้ว แต่นี่ต้องไปเหนื่อยเพลย์ออฟ แล้วก็ต้องผิดหวังไปอีก เมื่อแพ้ ดอนคาสเตอร์ โรเวอร์ส 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล 2008-09 ลีดส์ จัดการบัญชีได้อยู่ตัวมากขึ้นจึงไม่โดนหักแต้มในลีกไปอีก แต่มันก็เป็นอีก 1 ปีที่พวกเขายังไม่ดีพอที่จะเลื่อนชั้นกลับแชมเปี้ยนชิพ เพราะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ก่อนไปแพ้ มิลล์วอลล์ ในเกมเพลย์ออฟ รอบรองชนะเลิศ
จนกระทั่งฤดูกาล 2009-10 ทีมยูงทอง ก็ได้กลับขึ้นสู่ลีกลำดับที่ 2 ของประเทศอีกครั้งในฐานะรองแชมป์ ลีก วัน ซึ่งในฤดูกาลนั้น พวกเขามีเกม เอฟเอ คัพ ที่น่าจดจำ ด้วยการบุกเขี่ย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบ 3 คา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วย
อย่างไรก็ตามช่วง 8 ปีแรกที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด กลับไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง (2010-2018) พวกเขาไม่เคยใกล้เคียงกับการเลื่อนชั้นกลับลีกสูงสุดเลย เพราะไม่เคยจบฤดูกาลได้สูงกว่าอันดับ 7
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทีมยูงทองกลับมาได้ลุ้นอีกครั้ง เริ่มจากการเข้ามาซื้อหุ้นสโมสรของ อันเดรีย ราดริซซานี่ นักธุรกิจหนุ่มชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นเจ้าของทีมคนปัจจุบัน
ราดริซซานี่ ซื้อหุ้นสโมสรมาครอบครองก่อน 50% ในเดือนมกราคม 2017 จึงกลายเป็นเจ้าของสโมสรร่วมกับ มัสซิโม่ เซลิโน่ ก่อนที่ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน เขาซื้อหุ้นอีก 50% ที่เหลือจาก เซลิโน่ จึงเทคโอเวอร์ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้แบบเบ็ดเสร็จ
สิ่งที่ทำให้ ราดริซซานี่ กลายเป็นที่รักของแฟนบอลทีมยูงทองอย่างรวดเร็ว คือการซื้อสนาม เอลแลนด์ โร้ด กลับคืนมาได้ด้วยเม็ดเงิน 20 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2017 (หลังจากเป็นเจ้าของทีมเต็มตัวแค่เดือนเดียว) โดยจ่ายในนามบริษัท กรีนฟิลด์ อินเวสต์เมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของ
และอีกสิ่งที่สำคัญมากๆ กับการทำให้ทีมกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง คือการแต่งตั้งโค้ชชาวอาร์เจนไตน์อย่าง มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ขึ้นเป็นกุนซือใหญ่ของทีมก่อนเปิดฤดูกาล 2018-19
ภายใต้การคุมทีมของบิเอลซ่า ลีดส์ยกสถานะจากทีมกลางตารางแชมเปี้ยนชิพ กลับมาเป็นสโมสรระดับหัวตารางอีกครั้ง
1
อันที่จริง ซีซั่นก่อน ลีดส์ ควรจะได้เลื่อนชั้นกลับพรีเมียร์ลีกอยู่แล้ว เพราะนำจ่าฝูงหลังจบเกมที่ 29 ของฤดูกาล
แต่จุดเปลี่ยนก็คือการเสียตำแหน่งจ่าฝูงในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2019 จากการแพ้ 2 นัดติดต่อกันให้กับ ฮัลล์ ซิตี้ และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก่อนที่ฟอร์มค่อยๆ แผ่วไป จนจบฤดูกาลปกติแค่อันดับ 3
พวกเขายังพลาดท่าแพ้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่มี แฟร้งค์ แลมพาร์ด คุมทีมคาบ้านด้วยสกอร์ 2-4 ในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้น รอบรองชนะเลิศ เลกสอง ทั้งที่นัดแรกบุกไปอัดแกะเขาเหล็กมาก่อน 1-0 จึงต้องเหนื่อยเล่นในลีกรองต่ออีกปี
อย่างไรก็ตาม พอมาถึงซีซั่นนี้ ลีดส์ ยูไนเต็ด จดจำบทเรียนที่ฟอร์มแผ่วในช่วงสำคัญจากฤดูกาลที่แล้ว และพวกเขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก
นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งรองจ่าฝูงหลังจบเกมนัดที่ 17 ของฤดูกาล ที่บุกไปชนะ ลูตัน ทาวน์ 2-1 บิเอลซ่า ไม่เคยทำให้ทีมหลุดจาก 2 อันดับแรกของตารางอีกเลย
ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2019 กุนซือจากแดนฟ้าขาวพา ลีดส์ โชว์ฟอร์มสุดแกร่งเมื่อไม่แพ้ใครนานถึง 11 นัดซ้อนในแชมเปี้ยนชิพ ทำให้ในตอนนั้น พวกเขาทิ้งห่างอันดับ 3 ห่างถึง 10 แต้ม
แม้ 7 นัดแรกของปี 2020 ทีมยูงทองจะฟอร์มแผ่วไปบ้าง เพราะชนะแค่นัดเดียว แพ้ถึง 4 นัด แต่ทีมที่ไล่หลังมา ก็ยังไม่สามารถฉวยโอกาสทำอันดับแซงพวกเขาขึ้นไปได้
จากนั้นตั้งแต่ผ่านพ้นวันวาเลนไทน์ ลีดส์ ยูไนเต็ด กลับมาติดเครื่องอีกครั้ง เมื่อกวาดชัยชนะถึง 10 เกมจาก 12 นัดหลังสุด (ยังไม่รวมผลนัดรองสุดท้ายที่จะบุกไปเยือน ดาร์บี้ เคาน์ตี้) ทำให้ทุกคนมั่นใจแล้วว่า ปีนี้พวกเขาไม่พลาดอีกแน่
สถานการณ์ก่อนลงเตะเกมวีคที่ 45 (นัดรองสุดท้าย) ลีดส์ นำโด่งเป็นจ่าฝูงด้วยการทิ้งห่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 5 แต้ม และนำห่างอันดับ 3 อย่าง เบรนท์ฟอร์ด 6 คะแนน
นั่นหมายความว่า ทีมของ บิเอลซ่า ขอแค่แต้มเดียวจาก 2 นัดสุดท้าย หรือไม่ก็รอให้ เวสต์บรอมฯ หรือ เบรนท์ฟอร์ด พลาด พวกเขาก็จะการันตีการกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ทันที
แล้วเมื่อ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ออกไปแพ้ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 2-1 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม เป็นอันว่าการรอคอย 16 ปีของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่จะได้กลับสู่พรีเมียร์ลีกสิ้นสุดลงแล้ว
และหลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง เบรนท์ฟอร์ด ออกไปแพ้ สโต๊ค ซิตี้ 1-0 ทำให้ทีมยูงทองคว้าแชมป์ อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาล 2019-20 ทันที ตั้งแต่ยังไม่ทันลงเตะ 2 เกมสุดท้าย
มันมีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่าง ตรงที่ว่า 3 ครั้งหลังสุด ที่พวกเขาได้เลื่อนชั้นขึ้นจากลีกรอง ทีมที่ได้ครองแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษ คือ ลิเวอร์พูล ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปี 1964, 1990 และ 2020
สำหรับดาวเด่นของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ชุดปัจจุบัน ได้แก่ แพทริค แบมฟอร์ด อดีตศูนย์หน้าดาวรุ่งเชลซี ตอนนี้อายุ 26 ปี เป็นดาวซัลโวสูงสุดประจำทีม ด้วยการกดไปแล้ว 16 ประตูในแชมเปี้ยนชิพซีซั่นนี้
ตัวเด่นคนอื่นๆ ในแนวรุก ได้แก่ ปาโบล เอร์นานเดซ แนวรุกจอมเก๋าชาวสแปนิช และ แจ็ค แฮร์ริสัน ปีกซ้ายวัย 23 ปี ที่แอสซิสต์รวมกันไปแล้วไม่น้อยกว่า 15 ลูก
ผู้รักษาประตูมือหนึ่งคือ กีโก้ กาซีย่า ที่เคยเป็นนายทวารของ เรอัล มาดริด ฤดูกาลนี้เขาเก็บคลีนชีตไปแล้วถึง 15 นัด
ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกแล้ว เจ้าของทีมอย่าง อันเดรีย ราดริซซานี่ น่าจะอัดเม็ดเงินให้ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เสริมทัพให้น่ากลัวขึ้นอีกแน่
ดูเหมือนว่าแฟนบอลของทีมในพรีเมียร์ลีก ที่ยินดีกับการคัมแบ็กของ ลีดส์ ยูไนเต็ด มากที่สุด ก็คือแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
1
บรรดา เร้ด อาร์มี่ คิดถึงบรรยากาศ “สงครามดอกกุหลาบ” ในลีกสูงสุดนานถึง 16 ปี โดยครั้งสุดท้ายที่เจอกัน คือเกม ลีก คัพ รอบ 3 เมื่อเดือนกันยายน 2011 โดย แมนฯ ยูไนเต็ด บุกชนะ 3-0
คำว่า “สงครามดอกกุหลาบ” มันมาจากเรื่องราวในทางประวัติศาสตร์ โดย แมนเชสเตอร์ เคยเป็นเมืองที่อยู่ในแคว้นแลงคาเชียร์ ซึ่งมีดอกกุหลาบสีแดงเป็นสัญลักษณ์ ขณะที่ ลีดส์ ตั้งอยู่ในแคว้นยอร์คเชียร์ มีสัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบสีขาว
ในสมัยอดีตกว่า 500 ปีที่แล้ว ตระกูลแลงคาสเตอร์จากแลงคาเชียร์ และตระกูลยอร์คจากยอร์คเชียร์ เคยผลัดกันช่วงชิงอำนาจขึ้นปกครองอังกฤษ ก่อนที่สงครามจะมาจบลงในปี 1485 ด้วยชัยชนะของพวกตระกูลแลงคาสเตอร์ พร้อมการขึ้นครองราชย์ของ พระเจ้าเฮนรี่ ที่ 7
เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ค เป็นอันว่าความขัดแย้งระหว่าง 2 ตระกูลนี้สิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี มันมีการแข่งขันในเรื่องเศรษฐกิจระหว่างคนเมืองแมนเชสเตอร์ และ ลีดส์ นั่นทำให้เวลาที่ 2 สโมสรใหญ่จาก 2 เมืองนี้มาเจอกัน จึงมีความดุเดือดมากเป็นพิเศษ
เรื่องความเกลียดชังกันระหว่างแฟนบอลสองทีม ดูเหมือนว่าปัจจุบันจะลดดีกรีลงไปเยอะ จากการที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ตกชั้นมาเป็นเวลานาน
แต่สิ่งที่คอลูกหนังถวิลหาก็คือบรรยากาศความเป็น “ดาร์บี้แมตช์” ซึ่งมันจะช่วยทำให้อารมณ์ในการเชียร์ยิ่งพุ่งพล่านมากขึ้น
ถึง ลีดส์ ยูไนเต็ด จะเลื่อนชั้นเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีอีกทีม ที่แฟนบอลพรีเมียร์ลีกยุคคลาสสิคคิดถึงเช่นเดียวกัน
ทีมนั้นคือ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
ฟอเรสต์ ตกชั้นในปี 1999 และยังหาทางกลับสู่ลีกสูงสุดไม่เจอมานานถึง 21 ปี ทั้งที่ครั้งหนึ่ง “เจ้าป่า” เคยยิ่งใหญ่ขนาดคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ถึง 2 สมัย
ฤดูกาลนี้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มีลุ้นเลื่อนชั้นผ่านการเพลย์ออฟอีกครั้ง หลังจากไม่สามารถจบฤดูกาลด้วยการติด 6 อันดับแรกได้อีกเลยตั้งแต่ปี 2011
ถ้าหาก ลีดส์ และ ฟอเรสต์ กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกพร้อมกัน มันคงเป็นอะไรที่สุดยอดมากสำหรับแฟนบอลที่ทันดูบอลยุค 90 เลยทีเดียว
#เสียบสามเหลี่ยม #Leeds #Bielsa #Forest #Championship #PremierLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
6 บันทึก
27
1
3
6
27
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย