19 ก.ค. 2020 เวลา 04:53 • ธุรกิจ
วิ่งมาราธอน 42.195 กิโลเมตร (ในวัยใกล้หลักสี่) ไม่ยาก
ใครเคยดูหนังเรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน คงจำฉากการวิ่งมาราธอนได้เป็นอย่างดี สำหรับผมแล้วการวิ่งระยะทาง 42.195 กิโลเมตร เป็นความฝันหนึ่งของผมว่าสักวันจะทำให้ได้ตั้งแต่สมัยเริ่มเข้าสู่วงการวิ่งใหม่ ๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ความฝันก็ยังคงเป็นความฝันไม่ได้ลงมือทำสักที ยิ่งนานวันไปความฝันก็ยิ่งเลือนรางลง ถูกคนรอบข้างเป่าหูว่า อายุมากแล้วอย่าไปวิ่งเลย เดี๋ยวเข่าพัง แต่งงานมีลูกแล้ว งานก็เยอะ จะเอาเวลาที่ไหน
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ คำพูดเหล่านี้ก็เหมือนกับคำให้การที่ผมรวบรวมไว้ แล้วก็พิพากษาจำคุกตัวเองว่า “เออจริง กูทำไม่ได้หรอก” จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องแหกคุก Jailbreak ตัวเองไปวิ่งมาราธอน ตามผมมาผมจะเล่าให้ฟัง
ความฝันถูกจุดประกายอีกครั้ง เมื่อผมไปลงเรียนหลักสูตร “กล้าเปลี่ยนแปลง” ของอาจารย์ณรงค์วิทย์ แสนทอง เมื่อกลางปี พ.ศ. 2555 เรียนจบผมตั้งเป้าหมายว่าจะไปวิ่งมาราธอนให้ได้ภายในปี พ.ศ.2556 ก่อนที่วัยจะล่วงเลยไปถึงหลักสี่ ผมตั้งชื่อภารกิจนี้ว่า “Jailbreak You Mind” แปลเป็นไทยว่า “แหกคุกในใจ” คุกในที่นี้คือ กำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาล้อมกรอบตัวเองเอาไว้มานานแสนนาน ผมอยากจะทลายกำแพงนี้เสียที
ผมเริ่มกลับมาเคาะสนิมซ้อมวิ่งได้เป็นระยะ ๆ บวกกับงานที่รัดตัว จนมาเริ่มซ้อมจริงจังตอนต้นปี 2556 ผมใช้แผนการซ้อมวิ่งมาราธอน 25 สัปดาห์ สำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่ง หาเอาใน Internet มาเป็นแผนในการซ้อม และปักธงเอาไว้ว่าวันที่ 23 มิถุนายน 2556 ผมจะไปมาราธอน 42.195 กิโลเมตร ที่อำเภอลานสกา จ.นครศรีธรรมราชให้ได้
เมื่อมีเป้าหมาย มีแผน ที่เหลือ คือ การลงมือทำ ตลอดระยะเวลา 25 สัปดาห์ ผมในฐานะมนุษย์เงินเดือนคนหาเลี้ยงชีพปกติ กลางวันทำงาน ตกเย็นก็กลับไปดูแลครอบครัว เลี้ยงลูก ก็ต้องพยายามจัดสรรหาเวลาให้กับตัวเองในการซ้อมวิ่ง ซึ่งมักเป็นข้ออ้างของคนที่ไม่มีเวลา
ผมใช้เวลากับการซ้อมไป 53 ครั้ง ในช่วง 141 วัน รวมเวลาซ้อมจริง ๆ 73 ชั่วโมง ได้ระยะทาง 587 กิโลเมตร (ประมาณกรุงเทพ ลำปาง) เผาผลาญพลังงานไป 63,372 กิโลแคลลอรี
ถึงวันวิ่งจริง 23 มิถุนายน 2556 ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ไป 5 ชั่วโมง 58 นาที
มีนักวิ่งมาราธอน เหรียญทองในโอลิมปิค ชาวเชค กล่าวไว้ว่า
“ถ้าคุณ อยากจะวิ่งก็ให้วิ่งแค่ไมล์เดียว แต่ถ้าคุณอยากจะพบประสบการณ์ชีวิตใหม่ ให้ไปวิ่งมาราธอน”
วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตใหม่ที่ผมไปแหกคุกมาเล่าให้คุณฟัง
1. ตลอดการซ้อมวิ่งของผม ผมได้เจอเพื่อนใหม่ 1 คนในวันที่ 20 เมษายน 2556 วันนั้นต้องซ้อม 26 กิโล แต่วิ่งไปได้เพียง 20 กิโล เกิดอาการขาล้า ก้าวไม่ออก มีเพื่อนใหม่ผมคนหนึ่งโผล่ออกมา ชื่อจริงเขาชื่อ อีกนิด แต่ผมเรียกด้วยความสนิทว่า อีนิด อีนิด ตะโกนใส่หูผมตลอด 6 กิโล ที่เหลือ สู้ ๆ อีกนิด ทำให้ผมวิ่งได้ตามเป้าหมาย วันนั้นทำให้ผมรู้ว่า เราไม่ได้มาถึงด้วยกาย แต่เรามาถึงได้ด้วยใจ ถ้าใจไปถึงเดี๋ยวตัวก็ไปถึงครับ
2. อีกประสบการณ์หนึ่งคือวันสุดท้ายของการซ้อมวิ่งยาว ระยะทาง 35 กิโล ที่สวนลุม ผมตั้งใจจะซ้อมใหญ่ ให้เหมือนวันวิ่งจริง แต่ปรากฏว่า ไม่มีอะไรพร้อมสักอย่างนอกจากใจ กางเกงก็ขาดส่งซ่อม รองเท้าก็ยังไม่กล้าใส่คู่ใหม่ น้ำ 1.5 ลิตร 3 ขวดที่วางไว้ ถูกขโมยไปตั้งแต่วิ่งไปได้ 20 กิโล
วิ่งเสร็จวันนั้น ต้นขาไหม้ เท้าพอง แต่ทำให้เรารู้ว่าวันจริงต้องเตรียมตัวอย่างไร
พอถึงวันจริงได้กางเกงกลับมา ใช้พลาสเตอร์พันนิ้วเท้าทั้ง 10 ไว้ โป๊ะวาสลีนที่ขาและเท้า เตรียมเกลือแร่ติดตัวไป ทำให้วันจริง วิ่งเสพ เอนโดฟินไปเรื่อย ๆ เข้าเสิ้นชัยสบาย ๆ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
3. “คนที่จะประสบความสำเร็จคือ คนที่ไม่มีข้ออ้างในชีวิต” “เมื่อไม่มีข้ออ้างข้อจำกัด ในชีวิตก็หายไปและ วินัย ก็เข้ามาแทนที่”ผมสามารถหาที่ออกกำลังกายได้ทุกที่ ทุกเวลา เช่น ที่จอดรถบริษัท ถนนในหมู่บ้าน ในโรงแรมเวลาไปสอนหนังสือต่างจังหวัด สนามบินสุวรรณภูมิเวลารอขึ้นเครื่อง ฯลฯ ส่วนเรื่องเวลายิ่งไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าจะตี 3, 5 โมงเย็น, 4 ทุ่ม หรือเที่ยงคืน ผมออกกำลังกายได้หมด จนเป็นวินัยขึ้นมา วันไหนไม่ได้ทำรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
4. ถ้าแหกคุกปกติต้องจับคนอื่นเป็นตัวประกัน แต่ถ้าจะแหกคุกในใจ ต้องจับตัวเองเป็นตัวประกัน ประเภทไม่ได้ไม่เลิก
5. ไม่มีอะไรเกินความพยายามของเรา ตราบใดที่เรายังคงใช้ความยายามยามอย่างเต็มที่ไปล้อมความสำเร็จไว้ สักพัก ความสำเร็จมันทนไม่ไหว มันจะออกมามอบตัวเอง
เขียนบันทึกไว้ 23 มิ.ย. 2556
โจ้ เจลเบรค Joe Jailbreak (สุวัชชัย แก้วทรัพย์ศักดิ์)
โฆษณา