20 ก.ค. 2020 เวลา 11:30 • หนังสือ
"ในบรรดาหนังสือที่ผมมีอยู่ทั้งหมด ส่วนใหญ่อ่านเพียงครั้งเดียวก็น่าจะพอ บางเล่มดีควรจะอ่านซ้ำอีกซักครั้ง แต่ก็มีบางเล่มที่น่าจะอ่านเพียง 0.5 ครั้งเท่านั้น เลวร้ายสุดคือ 0.2 ครั้งก็ถือว่าเยอะเกินไป ควรเขวี้ยงไปทางคนที่อ่านแล้วได้ประโยชน์จะดีกว่า
มีอยู่เล่มเดียวที่ผมเขียนไว้ในหน้าแรกใต้ปกว่า
“จงอ่าน 100 ครั้ง”
เพราะว่ามันเป็นหนังสือระดับ “เปลี่ยนชีวิต” น่าเสียดายผมอ่านครั้งที่หนึ่งช้าไปเล็กน้อย ... เพียงประมาณ 20 ปี
Peter F Drucker ผู้ล่วงลับ เป็นปรมาจารย์ทางด้านการจัดการ (Management) ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงสุด ราวกับเป็นแบรนด์เนมของคำๆนี้ ถ้าผู้อ่านได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไร นั่นเป็นเพราะพวกเราอยู่ใน Post-Drucker Era หรือยุคสมัยที่แนวคิดของท่านได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางไปแล้วนั่นเอง แต่ถ้าอ่านดีๆก็จะพบความลึกซึ้งในความคิดของท่านเหมือนกัน"
- ทั้งหมดนี้คือคำนิยมจากพี่ท่านนึงที่เราชื่นชอบ ถึงกะใจเต้นอยากได้มาอ่านเดี๋ยวนั้น (แต่พี่เค้าอ่าน English Version)
รวมทั้งประโยคนี้...
การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนการได้นั่งลงสนทนากับปรมาจารย์ด้านการจัดการและที่ปรึกษาด้านบริหารธุรกิจที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก
เป็นหนังสือที่ Harvard Busines Review วารวารเก่าแก่ของคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1922 นำเสนอออกมาตีพิมพ์ออกจำหน่ายทั่วโลก
ทำให้ต้องรีบไปจัดมาอ่านโดยด่วน ว่าจะปานเทพขนาดไหน
แต่...
พออ่าน Principles จบ มาอ่าน Managing Oneself ต่อ จะพบว่า Wording คนแปลทั้ง 2 เล่มนี้ คนละขั้วเลย
เล่มนี้ออกแนวลิเกเยอะไป น้ำซะเยอะ แทนที่จะเข้าใจง่าย พี่ภิญโญ พาไปไหนไม่รู้ ศัพท์แสงพาเพลีย ชวนงง
Principles มีแต่ความชัดเจน แจ่มแจ้ง เป็นรูปธรรม ส่วน Managing Oneself มันให้ความรู้สึกล่องลอย โบ๋เบ๋ นามธรรม มากเลย คนแปลเกี่ยวมั้ย มะแน่ใจ
อ่านจบยังงงๆ อ้าว จบแล้วรึ แล้วตกลงเราเป็นยังไงหว่า
เป็นคนประเภทไหน Reader หรือ Listener ชอบทำงานแบบไหน ให้คุณค่ากับอะไร etc.
ไม่มีตัววัดอันใด หรือวิธีวัดอันใดเลย มี Mind Mapping ท้ายเล่ม แต่ก็ไม่มีวิธีรวมคะแนนแล้วสรุปว่าเราเป็นอะไร ยังไง
สงสัยเพราะเราอยู่ใน Post-Drucker era ดังว่า
เราเลยรู้สึกมะอินมาก😌
"เมื่อก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัย เด็กไทยไม่รู้จักตนเอง เลือกคณะผิด ประกอบงิชาชีพที่ตนไม่ถนัด ไม่อาจนำเอาศักยภาพและจุดแข็งตัวเองออกมาใช้ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทุ่มเทให้กับสิ่งใด และไม่เข้าใจว่าทำอะไร จึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับยุคสมัย
เราจึงกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสังคม ที่ใช้ชีวิตทำงานไปอย่างลมๆ แล้งๆ กระทั่งหมดแรงพลังใจก่อนจะถึงวัยเกษียณเสียด้วยซ้ำ เราส่วนใหญ่กลายเป็นคนเฉื่อยชาและไร้ความสุข...
ความทุกข์ทั้งหมดนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากการไม่รู้จักตนเอง
เมื่อไม่รู้จักตนเอง จึงไม่รู้ว่าจะจัดการตนเองอย่างไร
มีแต่ผู้ที่รู้จักศาสตร์แห่งการจัดการตนเองเท่านั้น จึงจะสามารถดำรงตนอยู้ได้อย่างสง่างาม ในยุคที่มนุษย์ถูกทำให้ด้อยค่าลงไปทุกวัน"
- ผู้แปลหนังสือ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
เนื้อหาในเล่มก็....
ผู้ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น
นโปเลียน ดา วินชี หรือ โมสาร์ท
ล้วนรู้จักการจัดการตนเองทั้งสิ้น
ดรักเกอร์ใช่แต่มีความคิดเป็นของตนเองเท่านั้น แต่เขายังมีพรสวรรค์ในการกระตุ้นให้ผู้อื่นตื่นตัวไปกับทุกประโยคแห่งความคิดของเขา - Winston Churchill
Successful careers are not planned.
They develop when people are prepared for opportunities because they know their strengths, their method of works, and their values. - Peter F. Drucker
เรามารู้จักตนเอง และจัดการกับตนเองกันเถอะจ้ะ
การวิเคราะห์ทบทวนตนเอง - Feedback Analysis
พี่ Drucker แนะนำให้เน้นพัฒนาจุดแข็งให้เยี่ยมยอด ซึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่าแต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า การที่จะใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการพัฒนาจุดอ่อนให้ดีขึ้น
เรามาเชคตัวเองหน่อยว่าเราเป็นคนประเภทไหน
- Reader นักอ่าน หรือ Listener นักฟัง
พี่ Drucker บอกว่า
มีคนน้อยมากเหลือเกินที่รู้ว่าในโลกนี้มีทั้งนักอ่านและนักฟัง
และน้อยคนนักที่จะเป็นได้ทั้งสองประเภท
พร้อมทั้งยกตัวอย่าง คนเก่งๆผู้นำระดับโลกที่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นนักอ่านหรือนักฟัง ส่งผลให้ทำงานผิดประเภท และงานนั้นไม่สำเร็จได้ด้วยดี เช่น
ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในฐานะนายพล เป็นขวัญใจสื่อมวลชนด้วยลีลาการแถลงข่าวที่เยี่ยมยอด
แต่ทำได้แย่ในฐานะประธานาธิบดีอเมริกา เมื่อรับช่วงต่อจากประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ และ แฮร์รี่ ทรูแมน ที่เป็นนักฟัง เพราะไอเซนฮาวร์ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นนักอ่าน ไม่ใช่นักฟัง
หรือ ลินดอน บี. จอห์นสัน ผู้มีผลงานที่ยอดเยี่ยมในฐานะสมาชิกวุฒิสภา แต่ทำได้ไม่ดีในฐานะประธานาธิบดีอเมริกา เมื่อต้องรับช่วงต่อจาก จอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้เป็นนักอ่าน
จอห์นสันไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นนักฟัง ไม่ใช่นักอ่าน เป็นต้น
มาสำรวจตัวเองทีละขั้น...
1. จุดแข็งของฉันคืออะไร
2. ฉันเป็น นักอ่าน หรือ นักฟัง
3. ฉันมีวิธีการเรียนรู้อย่างไร
4. ฉันทำงานได้ดีกับผู้คนหรือฉันทำงานคนเดียวได้ดีกว่า
5. ฉันเป็นผู้นำ หรือผู้ตาม
6. ฉันถนัดที่จะเป็นคนตัดสินใจ หรือ คนให้คำปรึกษา
7. ฉันชอบที่จะเป็นหมายเลข 1 หรือ หมายเลข 2
8. ฉันชอบทำงานภายใต้แรงกดดัน หรือ สภาพแวดล้อมที่พยากรณ์ได้
9. ฉันให้คุณค่ากับสิ่งใด ตัวอย่าง เงินหรือคุณธรรม
10. ตัวเอง กับ องค์กร ฉันให้ความสำคัญสิ่งใดมากกว่า
11. การจัดการตนเองต้องรวมถึงความใส่ใจในความสัมพันธ์กับผู้คน เช่น เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งความใส่ใจในการสื่อสาร
หนังสือยังกล่าวถึง "ครึ่งที่สอง" ของชีวิต รวมทั้งอาชีพที่ 2 ด้วย
โดยได้บอกวิธีการ 3 วิธี ในการพัฒนาอาชีพที่ 2
1. เริ่มต้นใหม่
2. สร้างอาชีพคู่ขนานขึ้นมา
3. กรณี ประสบความสำเร็จในอาชีพแรก ก็เริ่มกิจการไม่แสวงหาผลกำไร ทำเพื่อสังคม
ทั้ง 3 ทางข้างบน คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นงานล่วงหน้าเป็นเวลานานพอสมควร ก่อนที่คุณจะสามารถทำอาชีพที่ 2 ได้เป็นอย่างดี
หนังสือเล่มเล็ก พิมพ์ครั้งที่ 27 แน่ะ
ปกสวย กระดาษเยี่ยม ตั้งใจทำมาก อ่านง่าย แปปๆ จบ
5 June 2020
โฆษณา