21 ก.ค. 2020 เวลา 01:41 • ไลฟ์สไตล์
เด็กหญิงเธอจะทำยังไง?
เย็นวันเสาร์ ขณะนี้ใกล้เวลามื้อเย็น นึ่งปลาหางแข็งที่ซื้อมาจากตลาดเช้า ในขณะรอปลานึ่งสุกก้อคิดถึงสมัยเด็ก ...
หลังจากหายตื่นเต้นจากการเข้าโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกไม่อยากเรียน ไม่อยากไปโรงเรียนก้อเข้ามาแทนที ทำไมน่ะหรือ ?
จะบอกความลับให้ทุกคนได้รู้ ....
ด้วยความที่เป็นเด็กไม่มีทั้งพ่อและแม่อยู่เป็นครอบครัวไม่มีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนในเรื่องการเรียนรู้เบื้องต้นของการที่จะเข้าโรงเรียน ก่อนที่จะเข้าโรงเรียนเราคิดว่าเด็กทุกๆคนควรมี ความรู้เบื้องต้น เช่นสามารถที่จะอ่าน กไก่ ถึงฮ นกฮูกได้ นับเลข 1-100 ได้ อ่านภาษาอังกฤษ ABC ถึง Z ได้ และควรมีความรู้รอบตัวนิดหน่อยที่สำคัญควรที่จะเขียนชื่อและนามสกุลและที่อยู่ที่บ้านของตนเองได้
ซึ่งบอกอย่างไม่อายเลยว่าเราไม่มีใครสอนเลย
เพราะพ่อไปทำงานที่แสนไกล ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าที่ไหนและแม่ก็ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯเพื่อหาเงินมาส่งเสียเราที่อยู่กับปู่ย่าเหมือนกัน
เราก็เป็นเพียงเด็กบ้านนอก ที่วิ่งเล่นปีนต้นไม้ไปวันๆ ไม่รู้ว่าต้องอ่านหนังสือเรียนหนังสือฝึกก่อนเข้าเรียน ยังไง ไม่เคยคิดเลย ไม่เคยรู้เลย สนุกไปวันๆตามประสาเด็ก ก็ไม่ได้จะ น้อยอกน้อยใจอะไร หรือ กล่าวโทษใคร เพียงแต่ จะชี้ให้เห็นว่า นี่คือสาเหตุ ของเด็กที่ไม่อยากไปโรงเรียนคนนึง
จำได้ว่าเคยโดน ครู ตำหนิว่า ทำไมโง่จัง? แค่นี้เขียนไม่เป็นโง่จริงๆ แค่นี้ทำไม่ได้โง่จริงๆ และนั่นก็ทำให้เกิดความอายต่อเพื่อนๆในชั้นเรียน สูญเสียความมั่นใจ ทำให้ไม่กล้าที่จะตอบคำถามไม่กล้าที่จะเขียนไม่กล้าที่จะอ่านออกเสียง ไม่กล้าที่จะทำอะไรหรือคิดอะไรสักอย่าง เพราะกลัวผิด และกลัวคำตำหนิจากครู และกลัวเพื่อนล้อเลียน กลั่นแกล้ง รังแก ซึ่งสมัยนี้เรียกว่า บลูลี่ Bully
เรื่องนี้มันใหญ่มาก! สำหรับเด็กผู้หญิงคนนึง แต่โชคดีที่มีย่าที่แสนดุ ก็ลองกล้าไม่ไปโรงเรียนสิ หยิบไม้ได้โดนไม้ตี หยิบสายยางได้โดนสายยางหวด หยิบอะไรได้ก็โดนแพ่งกบาลแน่😁 และนี่แหละคือจุดเปลี่ยนของชีวิต ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ขอบคุณภาพประกอบ Cr.static.boredpanda.com
เฮ้อกลุ้มใจเว้ย! ไม่อยากไปโรงเรียน เพราะกลัวครู และเพื่อนก็จ้องจะล้อเลียน หัวเราะเยาะ แต่สุดท้าย ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องไปโรงเรียน เพราะกลัวโดนย่าตี เราจึงสร้างโลกอีกใบขึ้นมาเพื่อจะปกป้องตัวเอง แกล้งมโนว่าเราเป็นเด็กที่รักเรียน ชอบเรียน ชอบไปโรงเรียน ชอบคุณครู คุณครูสอนดี๊ดีเข้าใจทุกอย่าง และเพื่อนๆก็ดีน่ารักทุกๆคน แต่แค่นี้ไม่พอสิ่งที่ต้องทำที่ต้องทำจริงๆ คือเรียนอย่างไร?ให้เข้าใจจริงๆให้มันมีผลกับโลกของความเป็นจริงทำอย่างไรล่ะ? เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่สุดก่อนคือเริ่มอ่านหนังสือเรียนทุกวิชา ทุกวัน ทุกเวลาที่มีโอกาสที่จะอ่านได้ เลิกเรียนกลับถึงบ้านอ่านทบทวนบทเรียนทบทวนแบบฝึกหัดทุกวิชาที่เรียนมาวันนั้น และหลังตื่นนอนตอนตีห้าอ่านทบทวนอีกครั้ง เมื่ออยู่ที่โรงเรียน ตอนเช้าทบทวนบทเรียนตอนกลางวันพักเที่ยงเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ และอ่านบทเรียนที่จะเรียนในบทต่อไปและวิชาต่อไป ทำแบบฝึกหัดซ้ำๆอ่านซ้ำๆๆทุกวัน
และแล้ว!
วันนึงเรา รู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้นและเรียนดีขึ้น จนจัดว่าเรียนเก่งเลยทีเดียว
เพราะความพยายามจริงๆ เราก้าวผ่านโลกอีกใบที่สร้างเพื่อปกป้องตัวเอง กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่างมีความสุขเพิ่มขึ้น
ขอบคุณภาพประกอบ Cr.วาดรูป.com
และยังมีอีกเหตุผลนึง คือ นาฏศิลป์รำร้องเต้นห่วยแตกไม่เหมาะกับเราเพราะเราไม่ชอบการแสดงออกเป็นเด็กที่ขี้กลัว ขี้อายเอามากๆ และวิชาพละก็ไม่ชอบ จำได้ที่ไม่ชอบคือช่วงเรียนกระบี่กระบองคือเราต้องออกไปรำกระบี่กระบองให้เพื่อนๆและครูหน้าชั้นเรียนดู คืออะไรที่ต้องเอาตัวเองพรีเซนต์ไม่กล้าเลยตื่นเต้น อาย กลัว ตลอด ท้ายที่สุดจึงคิดว่าสิ่งที่น่าจะทำได้และน่าจะทำได้ดีคือการเรียนหนังสือ เท่านั้นในตอนนั้น ตอบโจทย์ชีวิตเรามากสุดละ
ด้วยความเป็นเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง จึงมีอีกสิ่งที่ทำได้ดีคืองานศิลปะงานประดิษฐ์ชอบมากเพราะไม่ต้องเอาตัวเองออกไป Present เรา present ผลงานเท่านั้น
และเราก็ยังค้นพบว่าเราสามารถเลือกคบเพื่อนได้ด้วย อันนี้รู้สึกมีความสุขและภูมิใจในเพื่อนๆมาก เพราะมีเพื่อนที่ชอบเรียนเหมือนกันจึงอ่านหนังสือด้วยกัน เข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไรก็ปรึกษาเพื่อนซึ่งกลุ่มเราจะช่วยกัน ชีวต ม.ต้นสนุกมาก ถึงจะสนุกแบบเด็กเรียน ก็มีความสุขมากนะ😍
ขอบคุณภาพประกอบ Cr.ภาพการ์ตูน.com
มาถึงตรงนี้ ขอขอบคุณจริงๆคือ ย่า ที่คอยไล่ตีคอยด่า คอยว่า คอยดุ คอยสอนและคอยให้ความรักความอบอุ่นเท่าที่ย่าจะทำได้ รักย่าและปู่และน้องสาวทั้งสองที่อยู่ร่วมกันมามากๆเลย 😍
ขอบคุณภาพประกอบ Cr.Pinterest
แต่ชีวิตไม่ได้จบลงแค่เรียนมต้น หลังจากเรียนเทอมสุดท้าย มัธยมศึกษาปีที่ 3 เราเองอยากเรียนต่อ มัธยมปลาย แต่ พ่อ อยากให้เรียน สถาปัตยกรรม โดยเริ่มจากไปเข้าเรียนปวช.
ถ้าจะถาม ถึงความฝันของเรา เราอยากเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.4- 6 แล้วจบไปต่อมหาวิทยาลัย และคณะที่อยากเรียนคืออยากเรียนอะไรก็ได้ที่สามารถไปเป็นมัคคุเทศก์ได้ เพราะเป็นคนชอบท่องเที่ยวอยากไปเที่ยวให้ทั่วรอบโลกเหตุผลมาจากตั้งแต่เด็กจนถึงม. 3 หรือว่าจนโต ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนเลยเห็นแต่เพื่อนๆไปเที่ยวกันกับครอบครัว และบวกกับที่เราเป็นคนชอบเรียนภาษา ชอบมาก จำได้ว่าอยู่มัธยมต้นมีละครเรื่องนึงดังมากในยุคนั้นสมัยนั้น อ๋อ!นึกออกแล้วว่าเรื่องอะไร?คู่กรรม พี่เบิร์ดธงไชย แมคอินไตย์เล่นคู่กับพี่กวาง กมลชนก โกมลฐิติ ถ้ากล่าวชื่อหรือนามสกุลผิดก็ขออภัยด้วย ประทับใจพี่เบิร์ดที่แสดงเป็นโกโบริมากตอนนั้นเราพยายามหาทางเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างมาก จำได้ว่าเข้าห้องสมุดเปิดหนังสือคล้ายกับพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นแปลเป็นไทยเรียนเขียนภาษาญี่ปุ่นแปลเป็นภาษาไทย รู้สึกมีความสุขและสนุกมากตอนนั้น 🤣🤣
ขอบคุณภาพประกอบ Cr. static. boredpanda.com
อารัมภบทไปไกลเหลือเกิน ที่จะบอกคืออยากเป็นมัคคุเทศก์ คิดว่าถ้าทำอาชีพมัคคุเทศก์จะได้ท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศและรายได้ก็เป็นที่หน้าพึงพอใจ ในสมัยนั้นอย่างมาก สิ่งที่สำคัญจริงๆคือรักการเรียนภาษา เราชอบภาษาอังกฤษมากๆ
แต่ในโลกของความเป็นจริงคือพ่อต้องเป็นคนส่งเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เราได้เรียน เพราะฉะนั้น ต้องเรียนตามที่พ่อต้องการ พ่อบอกอย่างเด็ดขาดกับเราว่าถ้าไม่เรียนสถาปัตย์ก็ไม่ส่งให้เรียน No drama, ok? เราก็ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็คงมีภาษาอังกฤษที่เราชอบ และ สถาปัตยกรรมคงจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับศิลปะเข้ามาด้วย คงจะดีไม่แพ้มัคคุเทศก์ที่เราใฝ่ฝันอยากจะเรียน
การให้กำลังใจตัวเอง การปลอบใจตัวเองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้ อันที่จริงมันก็อาจจะไม่แย่สักเท่าไหร่ อย่างน้อยก้อได้เรียนต่อ ดีกว่าจบมัธยมต้น ม.3 แล้วไปทำงานโรงงานแถวบ้านเป็นไหนๆ
ชีวิตที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งใกล้เริ่มขึ้นแล้ว และนี่อาจเป็นชีวิตช่วงวัยรุ่น ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเราก้อเป็นได้ แล้วมาติดตามสาว ปวช.ในตอนต่อไปนะคะ 😅😅 ตอนนี้ปลาหางแข็งนึ่งสุกพอดี ไปกินปลาจะได้ฉลาดกันดีกว่าเนอะเรา 🐟🐟 Good bye for now. See you next chapters. 👋🤘✌
ขอบคุณภาพประกอบ Cr. Pittmomo
ปลาหางแข็งนึ่ง🐟🐟
โฆษณา