22 กรกฎาคม สยามและสงครามโลกครั้งที่ ๑
สงครามโลกครั้งที่๑ มีต้นกำเนิดและศูนย์กลางสงครามในยุโรปเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยฝรั่งเศส อังกฤษและรัสเศีย กับฝ่ายมหาอำนาจกลางนำโดยเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี ออสโตมัน บัลแกเลีย สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่๒๘กรกฎาคมค.ศ.๑๙๑๔ สิ้นสุด เมื่อวันที่๑๑พฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๑๘ นับเวลา๔ปีกว่า มีคร่าชีวิตทหารไปกว่า๙ล้านนาย
สำหรับสยามซึ่งมีการติดต่อกับชาติยุโรปมานาน ทั้งยังเป็นชาติเอกราชซึ่งในช่วงเวลานั้นชาติในเอกราชในเอเชียและเพียงไม่กี่ประเทศ สยามได้แสดงตัวเป็นกลางในตอนแรก จนในที่สุดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตัดสินพระทัยนำสยามเข้าร่วมสงครามในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐(ค.ศ.๑๙๑๗) โดยส่งกองทหารอาสาร่วมกับนักศึกษาไทยในประเทศต่างๆเข้าสู่สมรภูมิในยุโรปจำนวน ๑,๖๐๐ นาย โดยประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร
การตัดสินพระทัยในครั้งนี้ เป็นที่วิพากวิจารณ์และต่อต้านจากคนไทยโดยเฉพาะเหล่านักหนังสือพิมพ์ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลสื่อมากในช่วงนั้น โดยเหตุผลหลักๆเช่น สยามไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมฝ่ายใดเลยเพราะอยู่ห่างจากศูนย์กลางสงคราม หรือหากต้องการเข้าร่วมสงครามนี้ก็ควรเลือกฝ่ายมหาอำนาจกลางที่มีเยอรมันนีเป็นผู้นำเนื่องด้วยเป็นชาติที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีก้วหน้าที่สุดและอาวุธนำหน้าชาติอื่นทั้งยังเคยชนะฝรั่งเศสในสงคราม ฝรั่งเศส-ปรัสเซียมาแล้ว หากดูยังไงเยอรมันนีก็เป็นขาใหญ่ที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือในความคิดของชาวสยามทั้งมวล ฝรั่งเศสและอังกฤษถือเป็นชาติที่ชาวสยามเกลียดชังเป็นที่สุดเพราะเป็นชาติที่รุกรานสยามจนต้องเสียดินแดนหลายครั้ง (วิกฤต ร.ศ.๑๑๒ ที่เกิดในสมัยร.๕ กับความทรงจำของคนในสมัย ร.๖ คนเหมือนภาพที่พึ่งจะเกิดขึ้น) ทั้งยังมีสนธิสัญญาที่เอาเปรียบสยามอยู่หลายฉบับ คนในบังคับฝรั่งเศสและอังกฤษก็ดูจะเป็นผู้ที่ทำตัวน่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย ชาวสยามคงต่างภาวนาให้ทั้งสองชาติแพ้สงคราม และถ้าได้ร่วมสงครามก็คงอยากอยู่ฝ่ายที่จะมีโอกาสจะเอาคืนฝรั่งเศส อังกฤษมากกว่า
แต่ด้วยการมองการไกลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องแรกในเรื่องการเข้าร่วมสงคราม สิ่งที่ต้องมองคือชาติในเอเชียมีเพียง๔ชาติ ที่เข้าร่วมสงคราม ชาติแรกคือ ออสโตมัน(ตุรกี)ซึ่งเป็นได้ทั่งยุโรปและเอเชียและเป็นชาติหลักในฝ่ายมหาอำนาจกลาง อินเดียในนามจักรวรรดิอังกฤษ และชาติเอกราช คือ จีนและญี่ปุ่น การที่สยามประกาศร่วมสงครามย่อมเป็นการประกาศว่า ในเอเชีย ในโลก ยังมีชาตินามสยามอยู่ และเป็นชาติเอกราช มีศักดิ์เทียบดท่ากับทั้งจีนและญี่ปุ่นหรือแม้แต่ชาติในยุโรป เรื่องที่ สองคือ เป็นการประกาศว่าสยามไม่ใช่ขาติป่าเถื่อนที่ยังถือดาบวิ่งใส่กัน สยามสามารถจัดกองทหารที่ทันสมัยได้และสามารถร่วมรบในสมรภูมิยุโรปได้
การเลือกฝ่ายสัมพันธมิตรที่ดูเหมือนไปช่วยศัตรูรบนั้น จริงๆแล้วสยามเข้าร่วมเมื่อสงครามผ่านมาเกือบสามปี ย่อมเล็งเห็นผลในสมรภูมิได้ ชาติต่างๆเริ่มเลือกฝ่ายใด ฝ่ายใดเริ่มแสดงอาการ อีกทั้งการเลือกอยู่ฝ่ายฝรั่งเศส อังกฤษนั้น หนึ่งก็นับเป็นการสร้างบุญคุณไว้อย่างหนึ่ง การกระชับความสัมพันธ์ในนามสหายร่วมรบแทนชาติที่แย่งผลประโยชน์กันอย่างหนึ่ง หากเข้าร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางก็ไม่แน่ว่าจะได้ดินแดนคืนหรือไม่ แต่ถ้าเลือกช่วยสัมพันธมิตรอย่างยังไง ฝรั่งเศสและอังกฤษคงไม่กล้าข่มเหงสยามเพิ่ม
ท้ายที่สุดสยามในนามสัมพันธมิตรก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะ สิ่งที่สยามได้กลับมาคือ ชื่อสยามเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสนธิสัญญาแวร์ซาย อังกฤษ ฝรั่งเศส รวมถึงชาติยอื่นๆ ได้แก้สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสยามที่มีมาตั้งแต่สมัย ร.๔ และลงนามสนธิสัญญาที่เป็นประโยชน์อื่นๆ
ในสงครามครั้งนี้ทหารสยามเสียชีวิตทั้งสิ้น ๑๙ นาย เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าทหารในสงครามนี้ ที่สร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติได้สร้างสถูปบรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตพร้อมจารึกยศและชื่อไว้ในอนุสาวรีย์ทหารอาสา และระลึกเหตุการณ์นี้ได้ตั้งชื่อสถานที่เป็นอที่ระลึกคือ"วงเวียน 22 กรกฎาคม" ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายนั่นเอง