26 ก.ค. 2020 เวลา 11:28 • ความคิดเห็น
สมัยก่อนยังทำได้เลย ทำไมคนรุ่นใหม่ไม่มีความอดทน??
หลายๆครั้งที่จะมีประเด็นทางสังคมใหญ่โตที่เกี่ยวข้องกับการกระทำต่างๆที่เป็นที่ถกเถียงกันว่าการกระทำนี้สมควรทำหรือไม่ โดยเป็นการถกเถียงกันระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่
ดังตัวอย่างที่มีให้เห็นในกรณีของการตัดผมนักเรียน การแต่งหน้า การแต่งกายชุดนักเรียน หรือการรับน้องในการเรียน โดยในวันนี้ เราจะมาวิเคราะห์กันว่าสิ่งที่ถกเถียงกันนั้น แท้จริงแล้วควรไปในทิศทางใด ในสองหัวข้อครับ
ก่อนอื่นผู้เขียนขอออกตัวเองก่อนเลยว่าผู้เขียนจะมองในมุมของสิ่งที่ควรจะเป็นและสิ่งที่มีความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งหากไม่ถูกใจผู้อ่านท่านใดผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
1.การตัดผม การแต่งหน้า การแต่งกาย เป็นประเด็นทางสังคมทุกปีที่จะมีการพูดถึงเรื่องควรยกเลิกการตัดผมนักเรียนไหม หรือควรยกเลิกการแต่งกายชุดนักเรียนหรือไม่ โดยทุกครั้งที่เกิดประเด็นมักจะมีต้นตอของปัญหามากจากการที่คุณครูทำโทษเด็กนักเรียนด้วยการกล้อนผม หรือตัดผมให้เสียทรง และให้นักเรียนไปตัดแก้เอาเองโดยร้านตัดผมภายนอก ซึ่งเมื่อทำเช่นนี้แล้ว เด็กบางคนยอมที่จะไปตัดผมแต่โดยดี หรืออาจมีบางคนที่ลุกขึ้นสู้และมีปากมีเสียงกับคุณครูผู้ทำโทษ หรือในกรณีของเครื่องแต่งการชุดนักเรียน ที่จะมีประเด็นว่าเป็นภาระที่ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับชุดแต่งกายนักเรียน
ที่มารูปภาพ : https://www.wonderful.in.th/อาบน้ำร้อนมาก่อน-แปลว่า/
2.การรับน้อง อดทนแค่นี้ยังไม่ได้ แล้วโตขึ้นไปจะทำงานอะไรได้
โดยในสองหัวข้อนี้ คนรุ่นเก่ามักจะมองว่าตนเองยังผ่านมาแล้ว ทำไมรุ่นน้องอดทนไม่ได้
ผู้เขียนวิเคราะห์ดังนี้
ก่อนอื่นต้องมองก่อนว่าการตัดผมนั้น มีเพื่อสิ่งใด และมีประโยชน์ใดบ้าง หากจะกล่าวว่าเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ต้องถามอีกเช่นกันว่าระเบียบเรียบร้อยที่ว่าก่อให้เกิดผลประโยชน์ใด หรือเพียงเพื่อความสบายตาของครูผู้สอน ซึ่งหากจะบอกว่าเพียงเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น เหตุผลไม่หนักแน่นพอที่ควรจะก่อให้เกิดข้อพิพาทกัน อาจมีครูบางท่านพูดว่าเพื่อให้นักเรียนมุ่งสนใจในการเรียน ไม่สนใจในการแต่งกาย แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการแต่งกายหรือการทำให้ตัวเองดูดีนั้น เป็น 1 ในปัจจัย 4 ในปัจจุบันไปแล้ว ไม่ว่าใครก็อยากให้ตนเองดูดี และเส้นผมก็เป็น 1 ในสิ่งที่สามารถทำให้หลายๆคนดูดีขึ้นมาได้ และแน่นอน การตัดผมสั้นไม่ได้ช่วยให้นักเรียนฉลาดและตั้งใจเรียนได้ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงมีประสบการณ์ในวัยเด็ก และคงจินตนาการออกว่าคงมีเพื่อนบางคนตัดผมสั้นตามระเบียบแต่ก็ไม่ได้คะแนนสอบดี หรือคนที่ไว้ผมยาวแต่ดันได้คะแนนสอบดีก็มีปะปนกันไป และถ้าการตัดผมสั้นสามารถช่วยหใ้เด็กมีพัฒนาการที่ดีได้ ป่านนี้ผลการเรียนและคุณภาพของเด็กประเทศไทยคงเป็นอันดับต้นๆของโลกไปแล้ว
ที่มารูปภาพ : https://m.pantip.com/topic/36470052?
ในส่วนของการแต่งกาย ผู้เขียนมองว่าการแต่งกายนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคนๆนั้นสถานะเป็นอะไร และในตอนนั้นบทบาทของเขาคืออะไร ดังเช่นที่เรามองเห็นตำรวจใส่ชุดสีน้ำตาลดำๆ เรารู้ทันทีว่าคือตำรวจ นักเรียนก็เช่นกัน เราเห็นเสื้อขาวกางเกงดำหรือสีอื่นๆเราก็รุ้แล้วว่าคือนักเรียน กำลังอยู่ในระหว่างการเรียน(เลิกเรียนกลับบ้านก็ถอดหมดบทบาทของนักเรียน ณ ตอนนั้น) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะของผู้ปกครองในบ้านเรานั้นไม่ได้พอมีพอกินกันทุกคน นอกจากจะเหนื่อยจากการหาเงินค่าเทอมแล้วยังต้องหาเงินสำหรับเครื่องแต่งกายของลูกที่จะโตในทุกๆปี(เปลี่ยนปีละครั้งหรือสองครั้ง)อีก ดังนั้นหากเราจะยกเลิกการแต่งหายชุดนักเรียนนั้นผู้เขียนเองก็ไม่อยากปฏิเสธแนวความคิดนี้ ซึ่งหากจะให้ดี หากต้องการคงอยู่การใส่ชุดนักเรียนนี้ไว้ รัฐบาลควรมีมีมาตรการเกี่ยวกับชุดนักเรียนให้มีราคาถูกลง ไม่เป็นภาระของผู้ปกครอง
ที่มารูปภาพ : https://www.pinterest.com/pin/681099143623023266/
2.การรับน้อง แอดมินยังไม่เห็นคุณค่าของการรับน้องด้วยการ ว๊ากกกก การดุด่า สั่งก้มหน้า สั่งหมอบ เตะ ต่อย ซ่อม ล่ารายชื่อ แขวนป้ายเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้จะอ้างว่าการรับน้องเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะทำให้น้องสามารถเข้าสังคมได้ แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เพราะในสังคมการทำงานของจริงไม่มีการรับน้องไร้สาระแบบนั้นแน่นอน การกระทำที่กล่าวมาเป็นการกระทำที่ไร้สาระและเสียเวลาอย่างที่สุด เพราะการที่จะทำให้รุ่นน้องกลมเกลียวสามัคคี หรือการที่ทำให้รุ่นน้องและรุ่นพี่สนิทกันได้ มันสามารถทำได้ด้วยความ “สุภาพ” ไม่จำเป็นต้องมีการ “กดขี่” รุ่นพี่สามารถพาน้องไปปลูกป่า เข้าค่ายช่วยเหลือสังคม หรืออะไรก็ตามแต่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดการละลายพฤติกรรม ให้เกิดความรักกัน การให้แขวนป้ายชื่อเพื่อให้จำชื่อรุ่นน้องได้ รุ่นน้องเองก็จำชื่อรุ่นพี่ไม่ได้ ทำไมรุ่นพี่ไม่แขวนบ้าง ทำไมต้องพยายามแอดเฟซรุ่นพี่ให้ได้ ทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงการตอบสนอง “ความบ้าคลั่งอยากแสดงความเหนือกว่า” เท่านั้นเอง
ที่มารูปภาพ : เพจรับน้องสร้างสรรค์ระดับมหากาฬ
โดยทั้งสองเหตุการณ์มักจะมีคนที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้วกล่าวว่า ทำๆไปเถอะ พวกพี่ยังผ่านมาแล้วเลย ทำไมน้องทำไม่ได้ , ทำแค่นี้มันจะตายเหรอ คำถามของผู้เขียนคือ สิ่งที่ไม่ดีที่รุ่นพี่เจอ ทำไมต้องให้รุ่นน้องมาเจอแบบตนเองด้วย กล้าพูดเต็มปากไหมว่าตอนที่ตนเองเจอในอดีตตนเองไม่บ่น และมันจะดีกว่าไหมที่รุ่นน้องของเราจะไม่ต้องมาเจอความไร้สาระแบบเรา ให้มันจบแค่ที่รุ่นเราดีกว่าไหม หรือหากเกี่ยวกับการตัดผม การแต่งกาย หากจะบอกว่ามันคือสิ่งที่ทำมาตั้งแต่อดีต แต่ผู้เขียนอยากจะบอกว่าสิ่งที่ทำมาตั้งแต่อดีตไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำต่อไปในอนาคต ทุกสิ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์และความเหมาะสม ไม่ควรนำสิ่งที่เคยเป็นในอดีตมา สตาฟ และทำอยู่อย่างนั้นตลอดไป และสำหรับการอ้างว่าการตัดผมนั้นเป็นกฎโรงเรียนต้องทำตาม แต่กฎของกระทรวงฯเองก็บอกอีกเช่นกันว่าอนุญาติให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ หากโรงเรียนยังไม่ทำตามกฎกระทรวง แล้วจะบอกเด็กให้ทำตามกฎโรงเรียนได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ความดราม่านี้จะยังอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป หากเราไม่กล้าที่จะคิด ไม่กล้าที่จะเริ่มเป็นตัวของตัวเอง และไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
โฆษณา