25 ก.ค. 2020 เวลา 05:33 • ครอบครัว & เด็ก
ψ...ฟังผมบ้าง...ในวันที่โลกของผมเป็นสีดำ...ψ
18 กรกฎาคม 2020 วันนี้เป็นวันที่ผมได้รับรู้ข่าวการฆ่าตัวตายของนักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง HARUMA MIURA ซึ่งมีผลงานในวงการบันเทิงญี่ปุ่นมามากมาย และตัวผมเองก็เคยดูผลงานของเขาอยู่หลายเรื่องเช่นกัน และเมื่อย้อนกลับไปหนึ่งปีก่อนหน้านี้ หลายคนน่าจะยังคงจำข่าวการฆ่าตัวตายของคุณ เหม ภูมิภาฑิต นักแสดงชาวไทยอีกคนได้ สาเหตุของการฆ่าตัวตายทั้งหมดล้วนถูกสันนิษฐานว่ามาจาก “โรคหรือภาวะซึมเศร้า”
แท้ที่จริงแล้ว “โรคหรือภาวะซึมเศร้า” อาจไม่ได้อยู่ไกลตัวพวกเราทุกคนเลย มันอาจจะกำลังแอบอยู่ที่ไหนสักแห่ง และพร้อมจะโจมตีเราหรือคนที่เรารักเสมอ ในวันใดก็ตามที่จิตใจเราอ่อนแอ เหนื่อยล้า ผมเองก็เคยเจอภาวะนั้นมาแล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าผมหายดีร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วหรือยัง แต่ผมก็อยากจะแชร์ประสบการณ์นี้ให้กับทุกคน เผื่อว่ามัน...อาจจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง...ไม่มาก...ก็น้อย
คุณเคยคิดจะฆ่าตัวตายไหมคะ?
...ก็อาจจะเคยครับ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าในร่างกายผมมีปุ่มปิดสวิตช์แล้วตายได้เลย ผมจะปิดมัน แต่น่าเสียดายที่มันไม่มี ผมเลยเทยาแก้ปวดจากกล่องยาลงบนโต๊ะประมาณ 30 เม็ด นั่งจ้องอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้ากินครับ...
นี่คือส่วนหนึ่งของบทสนทนาระหว่างผมกับจิตแพทย์ ตอนเจอกันครั้งแรกที่ห้องตรวจ...ใช่แล้วครับ ผมเคยไปพบจิตแพทย์เพราะคิดว่าตัวเองมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า
ช่วงที่ผมทำงานออฟฟิศใหม่ๆ ผมมีความเครียดเรื่องงานค่อนข้างมาก อีกทั้งผลกระทบจากการตกงานกระทันหันก็ยังไม่ได้หายไปร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผมนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายเดือน ส่งผลต่อการทำงานในตอนกลางวันอย่างมาก ช่วงนั้นผมจะตำหนิตัวเองเสมอว่าผมเป็นคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ไม่มีความสามารถ ไร้ค่า ผมมักจะภาวนาก่อนนอนว่า “ขอให้ผมนอนหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นมาอีกเลย” อยู่บ่อยๆ หลังจากที่สังเกตตัวเองมาสักระยะผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมมีอาการคล้ายผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแล้ว จึงตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ที่ รพ.รามา ซึ่งกว่าจะถึงวันนัดเจอหมอครั้งแรกนั้น ผมต้องรอนานเป็นเดือนเพราะคนไข้แผนกจิตเวชของรพ.นั้นมีเยอะมาก แต่พยาบาลก็บอกผมไว้ว่า หากผมมีอาการหนักขึ้นหรือรู้ตัวว่าไม่ไหวแล้วให้โทรมาได้ตลอด ทาง รพ. จะให้การช่วยเหลือก่อนทันที
ในวันที่ผมไปพบแพทย์นั้น ผมรู้สึกสบายๆ เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าคนอื่นจะมองว่าผมเป็นคนไม่ปกติหรือคนบ้าเลย ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าผมเรียนจบด้านจิตวิทยามาด้วยก็ได้ จึงรู้สึกว่าการพบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมจำได้แม่นเลยว่า วันที่ผมเจอกับหมอวันแรก ผมระบายความอึดอัดในใจไปด้วยร้องไห้ไปด้วย จบการตรวจวันนั้นผมได้ยามาทานส่วนหนึ่งซึ่งช่วยในเรื่องของการปรับอารมณ์และช่วยให้นอนหลับ
อาการของผมทั้งเรื่องการนอนและสภาพจิตใจดีขึ้นตามลำดับ คุณหมอลดจำนวนและปริมาณของยาลงเรื่อยๆ การรักษาควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงวิธีใช้ชีวิตของผม ผมเลิกเล่นโซเชี่ยวทุกประเภท หันมาสนใจการอ่านหนังสือหลากหลายประเภทแทน พักผ่อน เจอเพื่อนบ้างในวันหยุด ผ่านไปเกือบ 1 ปีจนในที่สุดคุณหมอก็หยุดจ่ายยาและไม่ได้นัดตรวจผมอีก ผมยังจำบทสนทนาสุดท้ายที่ผมคุยกับคุณหมอได้ คุณหมอบอกว่าเท่าที่หมอเห็น ตอนนี้คุณดูมีความสุขมากขึ้นเยอะเลยนะคะ ผมตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ละวันผมก็แค่ไปทำงาน ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ กลับห้องพัก(ผมอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว)ก็อ่านหนังสือ พักผ่อน นอน คิดแค่ว่าวันนี้จะทำอะไร พรุ่งนี้ทำอะไร ไม่คิดถึงอนาคตไกลๆ ถ้าคิดแล้วพบว่าตัวเองเครียดก็จะหยุดคิดไปเลยครับ” คุณหมอยิ้มแล้วตอบผมว่า “หมอดีใจมากนะคะที่คนไข้ของหมอคิดได้แบบนี้ มันเป็นความคิดที่ถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ หมอภูมิใจในตัวคุณนะคะ”
หากพิจารณาอย่างละเอียดตลอดระยะเวลาในการพบจิตแพทย์ของผม สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ คุณหมอจะ “ฟัง” เรื่องของผมอย่างตั้งใจเสมอ เขาจะปล่อยให้ผมเล่าเรื่องต่างๆ โดยไม่เคยพูดแทรก ไม่พยายามยัดเหยียด แนะนำวิธีต่างๆ หรือตัดสินปัญหาของผม การที่ผมเลิกเล่นโซเชี่ยว หรือหันมาอ่านหนังสือ เปลี่ยนการใช้ชีวิต ส่วนใหญ่แล้ว ผมที่เป็นคนไข้เองต่างหากที่คิดและลงมือทำด้วยตนเอง สิ่งที่คุณหมอทำนั้นผมคิดว่ามันคือ “การฟังด้วยหัวใจ” และ “การเชื่อมั่นในศักยภาพของความเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่สุดของจิตวิทยาการให้คำปรึกษาครับ มันคือการฟังเพื่อที่จะเข้าใจผู้พูดมากที่สุด ฟังอย่างตั้งใจและใส่ใจด้วยความรักและเมตตา ไม่ตัดสินและยัดเยียดวิธีแก้ปัญหาให้ใคร เพราะเชื่อมั่นในหลักที่ว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง
สำหรับผม “ฟิโด้” เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการฟังด้วยหัวใจครับ ฟิโด้ไม่สามารถพูดได้ ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านที่เชียงราย เขาจะแสดงท่าทีดีใจอย่างที่สุดให้ผมเห็น บ่อยครั้งที่มีปัญหา ผมมักจะพูดว่าผมเหนื่อย ผมร้องไห้ เขาก็จะยิ่งอยู่ใกล้ผมมากขึ้น ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาพยายามฟังผมถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจ เขาจะไม่กดโทรศัพท์ขณะที่ฟังผม อาจเป็นเพราะว่าเขาเล่นโทรศัพท์ไม่เป็น และเขาก็รักผมมาก รักแบบไม่มีเงื่อนไข แล้วฟิโด้คือใครหรือครับ? ฟิโด้คือ “สุนัข” ที่ครอบครัวผมเลี้ยงไว้นั่นเองครับ ผมคิดว่าเพราะสุนัขหรือสัตว์เป็นผู้ฟังที่ดีนี่แหละครับ เราจึงมักจะพบว่าพวกเขาสามารถช่วยรักษาโรคซึมเศร้าและผู้ป่วยด้านจิตใจได้ แล้วคุณหละครับเคยเป็นผู้ฟังที่ดีแล้วหรือยัง
ผมเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าเราฟังกันมากขึ้น อะไรๆก็จะดีขึ้น การฟังนี่แหละครับที่จะสามารถช่วยคนที่มีปัญหาด้านจิตใจหรือแม้แต่โรคซึมเศร้าได้ หากมีคนมาปรึกษาปัญหาต่างๆ กับคุณ ถ้าคุณฟังเขาด้วยหัวใจ คุณอาจช่วยชีวิตเขาได้ วางโทรศัพท์มือถือลง ตั้งใจฟังเขาสักนิดเถอะครับ มันคงจะดีกว่าการไปคอมเม้นต์ใต้ภาพของเขาในวันที่สายว่า “ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว หลับให้สบายนะ” แน่นอนครับ
บทความโดย: รณภพ รากะรินทร์
โฆษณา