26 ก.ค. 2020 เวลา 08:43 • ปรัชญา
EP102 : วิ วั ฒ น า ก า ร ทำไมสัตว์จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ?
3
เราเวียนว่ายตายเกิดมานานมากแค่ไหน วิวัฒนาการของเราเริ่มมาอย่างไรเกินที่จะจินตนาการ
3
ถ้าเป็นตำราวิทยาศาสตร์ก็คงเอารูปลิงมาให้ดูแล้วบอกว่าบรรพบุรุษเราคือลิงเหล่านี้
1
แต่ในความลึกล้ำของคำสอนของพระตถาคตผู้ตรัสรู้ทางพ้นทุกข์ได้บอกสอนลำดับการกำเนิดของสัตว์
1
ทำไมสัตว์จึงเจริญขึ้น
ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดระบบสุริยะจักรวาลจนถึงปัจจุบัน
1
เป็นความรู้ที่ยากจะจินตนาการในเชิงเวลา แต่สามารถจินตนาการเห็นได้ด้วยการพิจารณาเข้าไปในใจของเราเองได้อย่างน่าประหลาดใจมาก ลองตามตถาคตย้อนดูตำนานตัวเรากันดูครับผม
สั ต ว์ เ กิ ด ใ น ชั้ น พ ร ห ม
…ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้กล่าวกับวาเสฏฐะ และภารทวาชะเกี่ยวกับความเป็นมาแห่ง”สัตว์”ย้อนอดีตไปไกลโพ้นถึงอดีตแห่งพัฒนาการในห้วงแห่งความเป็นไปที่มีเพียงพระองค์หยั่งรู้ว่า
นานมาแล้วแรกเลย”สัตว์”จะเกิดขึ้นใน”อาภัสสระ”ชั้นพรหม ได้สำเร็จทางใจ และมีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย เดินทางไปในอากาศ อาศัยในวิมานอันงาม มีอายุยาวนานแสนนาน…
4
…ผ่านเวลานานแสนนานมาอีกยุคหนึ่ง ”สัตว์”จะเกิดขึ้นในรอบด้านเป็นน้ำมืดมิด ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีฤดูกาล ไม่มีเพศชายหญิง …
4
จุ ด เ ริ่ ม คื อ ร ส อ ร่ อ ย
1
…ผ่านเวลานานแสนนานมาอีกยุคหนึ่ง มี “ง้วนดิน”เกิดขึ้นด้านบน เป็นลักษณะเหมือนนมที่เคี่ยวจนงวดเป็นฟองดินเหนือผิวน้ำ มีสีคล้ายเนยใสอย่างดี รสชาดดุจรวงผึ้งเล็ก หาโทษไม่ได้ เหล่า “สัตว์” พากันมาลองเอานิ้วจิ้มมาลองกินดู เกิดรสซาบซ่านไปแล้ว จึงเกิดความอยาก ใช้มือปั้นเป็นก้อนนั่งกิน แสงรัศมีจึงหายไป พระอาทิตย์พระจันทร์ดวงดาวต่างๆเกิดแสงขึ้นมา เกิดกลางวันกลางคืน เกิดข้างขึ้นข้างแรม เกิดฤดูกาล เกิดปีขึ้นมา โลกนี้จึงกลับขึ้นมาเจริญขึ้น…
…เวลาผ่านมาอีกเหล่า”สัตว์”เพลินกินง้วนดิน จึงมีร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ผิวพรรณก็แตกต่างกันไป มีทั้งผิวพรรณดี และผิวพรรณไม่ดี เกิดการทะนงตนแบ่งแยกดูถูกกัน ง้วนดินก็หายไป…
ค ว า ม ท ะ น ง ต น ใ น ค ว า ม ต่ า ง
2
…ผ่านไปง้วนดินหายไปเกิดเป็น “กระบิดิน” สัตว์เหล่านั้นก็กินกระบินดินมานานแสนนาน ปรากฏผิวพรรณก็แตกต่างกัน สัตว์ต่างทะนงตนแบกแยกผิวกันต่อไป อีกงานแสนนาน กระบิดินก็หายไป เกิดเป็น “เครือดิน”ขึ้นมาอีก สัตว์เหล่านั้นก็กินเครือดินมานานแสนนาน ปรากฏผิวพรรณก็แตกต่างกัน สัตว์ต่างทะนงตนแบกแยกผิวกันต่อไป…
2
ข า ด พ ร ห ม จ ร ร ย์ ด้ ว ย เ ม ถุ น ธ ร ร ม
1
…อีกนานแสนนาน เครือดินก็หายไป ครั้งนั้นเกิดข้าวสาลีขึ้นมา ในที่ที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร พอเหล่าสัตว์เก็บเมล็ดไปกินในตอนเย็น ต้นนั้นตอนเช้าก็งอกขึ้นมาใหม่ พอเหล่าสัตว์เก็บเมล็ดไปกินในตอนเช้า ต้นนั้นตอนเย็นก็งอกขึ้นมาใหม่ ไม่มีการพร่องเลย เวลาผ่านไปนานแสนนาน เหล่าสัตว์ร่างกายแข็งแรงขึ้นทุกที ผิวพรรณก็แตกต่างกันไป และเกิดเป็นเพศหญิง เพศชาย ทั้งสองเพศต่างเพ่งดูกันอยู่เสมอก็เกิดความกำหนัด เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนกัน…
1
ส ร้ า ง บ้ า น อ ยู่
3
…ในสมัยนั้น เมื่อสัตว์กลุ่มหนึ่งเห็นสัตว์พวกอื่นเสพเมถุนกัน พากันโปรยฝุ่น โปรยขี้เถ้า โปรยขี้วัวใส่พร้อมทั้งพูดว่า “คนชาติชั่วจงฉิบหาย ๆ ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์ จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า” จึงกลายเป็นที่มาของการที่เมื่อมีการนำคนชั่วร้ายเดินไปประหารจึงมีการโปรยฝุ่น,ขี้เถ้า,ขี้วัว ในสมัยหลังๆถัดมา โดยพราหมณ์ไปค้นพบจากอักขระโบราณ
สมัยนั้นเป็นเรื่องที่คิดว่าผิดธรรม แต่ก็มีสัตว์หมู่มากยังคงทำอยู่มานานมาก จนสมัยต่อมา สัตว์ใดเสพเมถุนกันจะเข้ากลุ่มเข้าบ้านไม่ได้สองสามเดือน สัตว์ใดเสพเมถุนประจำจึงสร้างบ้านเรือนขึ้นเพื่อบังอสัทธรรมนั้น…
1
เ ริ่ ม จ า ก ขี้ เ กี ย จ
5
…ครั้งนั้นมีสัตว์ผู้หนึ่งมีความเกียจคร้าน จึงมีการเก็บข้าวสาลีจากเช้าเย็นเป็นรอบเดียว พอสัตว์อื่นเห็นก็เลียนแบบและเพิ่มเป็นทีละสองวันบ้าง แปดวันบ้าง เมื่อนั้นข้าวสาลีจึงกลายเป็นมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีเปลือกหุ้มเมล็ดบ้าง ต้นที่เกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นมาแทนที่ ข้าวเริ่มขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ต่อมาสัตว์จึงจับกลุ่มปรับทุกข์กัน ถึงเรื่องที่ผ่านมา มีการปรากฏของอกุศลธรรมอันเป็นบาป ส่งผลให้สัตว์เหล่านี้ที่เคยเป็นผู้ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตน เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากเรื่อยๆจนถึงยุคนี้…
โ ล ภ แ ล ะ ขโ ม ย
…ครั้งนั้นมีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลภ แอบของไว้ใช้เอง แอบนำของที่ไม่ได้เป็นเจ้าของมาเก็บไว้บ้าง สัตว์จึงรวมกันจับเขาไว้ และตักเตือนว่า “สัตว์ผู้เจริญท่านได้ทำกรรมอันชั่วช้านัก ท่านอย่าทำให้เห็นอีกเลย” แต่ก็มีครั้งที่สองแต่ก็ทำอีก และรับปากจะไม่ทำแต่และที่สามเกิดขึ้นซ้ำอีก จึงถูกจับอีกและถูกเตือนอีก สัตว์บางพวกทุบตีบ้าง ขว้างหินใส่บ้าง ตีด้วยท่อนไม้บ้าง เพราะมีเหตุแบบนี้เกิด จึงมีการถือเอาของคนอื่น มีการกล่าวเท็จ มีการถือท่อนไม้ …
4
กํ า เ นิ ด ช น ชั้ น ป ก ค ร อ ง
…ครั้งนั้นสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน ต่างปรับทุกข์กันเรื่องการเกิดมีการขโมยของคนอื่น มีการติเตียน มีการพูดโกหก มีการถือท่อนไม้ เพราะได้มีอกุศลธรรมเกิดขึ้นในสัตว์ต่างๆแล้ว พวกเราจะแต่งตั้งผู้หนึ่งมาเพื่อเป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรถูกติเตียน เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรถูกขับไล่โดยชอบ อย่ากระนั้นเลยพวกเขาจึงพากันหาสัตว์ที่สวยงาม น่าดูน่าชม น่าเลื่อมใส และน่าเกรงขามกว่าเพื่อแต่งตั้งเขา และแบ่งส่วนข้าวสาลีให้เขา สัตว์ผู้นั้นรับคำ จึงเกิดหัวหน้าที่มีอักขระนามเป็น”ผู้แต่งตั้งจากมหาชน”และด้วยความยิ่งใหญ่ในเขตทั้งหลายจึงมีอักขระนามว่า “กษัตริย์” และเพราะเป็นหัวหน้าที่ทำให้ชนเหล่าอื่นสุขใจโดยธรรมจึงได้อักขระว่า “ราชา ราชา” …
3
…ด้วยเหตุนี้จึงมีกษัตริย์ขึ้น เพราะการอักขระเป็นของดี ของโบราณ จะต่างหรือไม่ก็ด้วยความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในหมู่มหาชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ช น ชั้ น ค รู พ ร า ห ม ณ์
…ครั้งนั้นสัตว์บางจำพวกมีความคิดพิจารณาควรลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปทิ้งไปเสีย จึงมีอักขระว่า “พราหมณ์ พราหมณ์ “
พราหมณ์เหล่านั้นพากันสร้างกระท่อมอยู่ในป่า และไม่หุงหาอาหาร เข้ามาหาอาหารตามหมู่บ้าน และเมืองเล็กเมืองใหญ่ เมื่อได้อาหารก็กลับเข้าไปอยู่ในกระท่อมที่ทำด้วยใบไม้ในป่า จึงมีอักขระว่า “พวกเจริญฌาน พวกเจริญฌาน “ เมื่อบางพวกไม่สามารถเจริญฌานได้ด้วยวิถีการอยู่กระท่อมในป่า จึงเที่ยวไปตามหมู่บ้าน และจัดทำคัมภีร์ขึ้น หลายคนเห็นการกระทำนี้จึงกล่าวขานและอักขระว่า “อัชฌายิกา อัชฌายิกา” ในอดีตก่อนหน้านี้ การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ ถือว่าเป็นสิ่งเลว แต่ตอนนี้ถือว่าประเสริฐ เหตุนี้จึงเกิดพวกพราหมณ์ขึ้นมา
ช น ชั้ น ก ล า ง
…บรรดาสัตว์เหล่านั้น ยึดมั่นเมถุนธรรมและประกอบการงานเป็นแผนกๆ อักขระว่า “เวสสา เวสสา” เหตุนี้จึงเกิดพวกเวสส์ขึ้นมา
ช น ชั้ น ตํ่ า
1
…บรรดาสัตว์เหล่านั้น ประพฤติตนโหดร้าย และทำงานต่ำต้อย อักขระว่า “สุททา สุททา” เหตุนี้จึงเกิดพวกสูทท์ขึ้นมา
2
…มีสมัยที่กษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง เวสส์บ้าง สูทท์บ้าง ตำหนิธรรมของตนเอง จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อเป็นสมณะ นี่คือที่มาที่สมณะมาจากสี่วรรณะนี้
ทํ า ก ร ร ม ดํ า
กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี เวสส์ก็ดี สุทท์ก็ดี สมณะก็ดี ถ้าประพฤติกายทุจริต วาจาทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมยึดถือการกระทำตามมิจฉาทิฐิ และเพราะยึดถือการกระทำตามอำนาจของมิจฉาทิฐิ เบื้องหน้าการตายจากกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคคติวินิบาต นรก ทั้งสิ้น
ทํ า ก ร ร ม ข า ว
1
กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี เวสส์ก็ดี สุทท์ก็ดี สมณะก็ดี ถ้าประพฤติกายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมยึดถือการกระทำตามสัมมาทิฐิ และเพราะยึดถือการกระทำตามอำนาจของสัมมาทิฐิ เบื้องหน้าการตายจากกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ทํ า ก ร ร ม ดํ า ก ร ร ม ข า ว
กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี เวสส์ก็ดี สุทท์ก็ดี สมณะก็ดี ถ้าปกติจะประพฤติกรรมทั้งสองคือ ทุจริตบ้าง สุจริตบ้าง เป็นแนวความคิดปนกัน ย่อมยึดถือการกระทำตามความคิดปนกัน และเพราะยึดถือการกระทำตามอำนาจความคิดปนกันนั้น เบื้องหน้าการตายจากกายแตกสลาย ย่อมเสวยสุขบ้าง เสวยทุกข์บ้าง
1
ทํ า ก ร ร ม ไ ม่ ดํ า ไ ม่ ข า ว
2
กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี เวสส์ก็ดี สุทท์ก็ดี สมณะก็ดี สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งเจ็ด แล้ว ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ทีเดียว
บรรดาวรรณะทั้งสี่นี้ เป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว วางภาระเสียได้แล้ว บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว หมดเครื่องเที่ยวเกี่ยวในภพแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ วรรณะนั้นปรากฏว่า เป็นเลิศกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้จริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่มหาชน ทั้งปัจจุบัน และภายภาคหน้า
3
โฆษณา