27 ก.ค. 2020 เวลา 10:14 • บ้าน & สวน
พื้นไม้มีราคาแพง ใช้อะไรแทนดี
พูดถึงวัสดุอย่างหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมาตกแต่งบ้านคงหนีไม่พ้นวัสดุประเภทไม้ เพราะเสน่ห์ของไม้อยู่ที่ความสวยงามแบบธรรมชาติและให้ความรู้สึกอบอุ่น
ในสมัยก่อนเรานิยมนำไม้มาทำที่อยู่อาศัยเนื่องจากเป็นวัสดุหาได้ทั่วไปและมีราคาไม่แพง
แต่ปัจจุบันเมื่อพื้นที่ป่าลดลง ประกอบกับกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทำให้ไม้เริ่มหายากและมีราคาที่สูง จึงมีการคิดค้นวัสดุใหม่ๆ มาทดแทนพื้นไม้กันมากขึ้น ซึ่งเจ้าวัสดุที่ว่านี้ก็มีหลากหลายประเภทและมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
ทีนี้เราจะมาพูดถึงวัสดุที่ปัจจุบันนิยมใช้แทนไม้จริงว่ามีอะไรบ้าง มาดูกันครับ
1.ไม้ลามิเนต (Laminate Floor)
เมื่อเอ่ยชื่อพื้นลามิเนตหลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วเพราะว่าเป็นวัสดุที่หมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมนิยมใช้กันมาก ก่อนอื่นขออธิบายเลยว่าพื้นไม้ลามิเนตไม่ใช่ไม้ทั้งหมดนะครับ แต่มันเป็นพื้นสำเร็จรูปที่ผลิตด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ให้มีลักษณะเหมือนไม้จริง
พื้นไม้ลามิเนต Credit : familyhandyman
ไม้ลามิเนตในแต่ละแผ่นจะประกอบด้วยชั้นต่างๆ จำนวน 4 ชั้น คือ
ชั้นที่ 1 ชั้นเคลือบ (Wear Layer)
เป็นส่วนที่อยู่ด้านบนสุด ป้องกันพื้นไม้ลามิเนตไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน ซึ่งจะมีมาตรฐาน European Standard รองรับ เรียกว่า Abrasion Resistance โดยมาตรฐานดังกล่าวนี้ได้แบ่งความคงทนของผิวหน้าพื้นไม้ลามิเนตเป็น 5 ระดับ ได้แก่ AC1 ถึง AC5 ยิ่งตัวเลขมากก็หมายถึงความทนทานต่อรอยขีดข่วนที่มากขึ้น ซึ่งค่าที่เหมาะสมสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยคือ AC1 ถึง AC2 ครับ ส่วนค่าตั้งแต่ AC3 ขึ้นไปเหมาะกับพื้นที่ใช้งานค่อนข้างหนัก เช่น พื้นของร้านค้าหรือสำนักงาน
ชั้นที่ 2 ชั้นลายไม้ (Pattern Layer)
เป็นชั้นที่แสดงลายไม้ที่เราเห็นกัน โดยลายไม้นี้จะถูกออกแบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้มีลวดลายเลียนแบบไม้จริง เช่น ลายไม้โอ้คหรือลายไม้สัก และมีการแต่งสีให้แตกต่างกันไป
ชั้นที่ 3 ชั้น แกนไม้ (Substrate Layer)
เป็นชั้นที่มีความหนามากที่สุดและเป็นตัวกำหนดความหนาของแผ่นไม้ลามิเนต ส่วนมากแล้วแกนไม้จะเป็น HDF (High Density Fiber Board) ผลิตโดยการนำเอาวัสดุ เช่น ชานอ้อย เศษไม้ หรือขี้เลื่อยมาย่อยให้เป็นผงละเอียดและนำไปผสมกับเรซิ่นหรือวัสดุยึดติดชนิดอื่นๆ แล้วอัดขึ้นรูปเป็นแผ่นด้วยแรงดันสูง หรือถ้าพูดในภาษาบ้านๆ มันก็มีลักษณะคล้ายไม้อัดนั่นเอง
ชั้นที่ 4 แผ่นรองชั้นล่าง (Backing Layer)
เป็นชั้นที่ผสมสารเมลามีนป้องกันความชื้นและป้องกันปลวกเพื่อทำให้พื้นไม้ลามิเนตมีความคงทนมากขึ้น
ชั้นของพื้นลามิเนต Credit : nocnoc
ข้อดีของพื้นไม้ลามิเนตคือให้ความรู้สึกคล้ายไม้จริง ทนการขีดข่วน มีลวดลายให้เลือกเยอะ สีไม่ซีดจาง ติดตั้งง่าย และสามารถติดตั้งทับพื้นเดิมได้เลย แต่ข้อเสียของมันก็คือทนความชื้นได้ไม่มากเพราะเนื้อไม้ส่วนใหญ่เป็น HDF เมื่อโดนความชื้นนานๆ จะเกิดอาการบวมและไม่สามารถซ่อมแซมได้ต้องเปลี่ยนแผ่นใหม่เท่านั้น นอกจากนี้พื้นไม้ลามิเนตต้องติดตั้งบนพื้นที่เรียบเท่านั้นเพราะถ้าไม่เรียบอาจจะเกิดเสียงเวลาเราเดินได้
ส่วนเรื่องของราคาก็จะมีหลายระดับตามเกรดและความหนาโดยมีราคาเริ่มต้นตารางเมตรละประมาณ 400 บาท ซึ่งพื้นชนิดนี้ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดบ้านเรามีความหนาที่นิยมใช้คือ 8 มิลลิเมตร และ 12 มิลลิเมตร ครับ
2.ไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineering Wood)
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีลักษณะโดยรวมเหมือนพื้นไม้ลามิเนตแต่ความแตกต่างอยู่ที่วัสดุที่นำมาใช้จะมีคุณภาพดีกว่า
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Credit : na.pergo
ไม้เอ็นจิเนียร์มีส่วนประกอบหลักด้วยกัน 3 ชั้น คือ
ชั้นแรกเป็นผิวหน้าไม้จริงหนาประมาณ 3 - 5 มิลลิเมตร เคลือบด้วยสารป้องกันรังสี UV ซึ่งไม้ที่นิยมใช้ปิดผิว เช่น ไม้โอ้ค ไม้บีช ไม้มะค่า หรือไม้สัก
ชั้นที่สองเป็นไส้ไม้ทำจากไม้ยางพารา ไม้ยูคาลิปตัส หรืออาจจะเป็นไม้อัดกันน้ำ นำมาเรียงวางสลับกันไปมาเพื่อยึดไม้ไม่ให้มีการบิดตัว
และชั้นล่างสุดจะเป็นวัสดุไม้เต็มแผ่น ดังนั้นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จึงมีความแข็งแรงและสวยงามมากกว่าพื้นไม้ลามิเนต ซึ่งพื้นชนิดนี้จะมีความหนา 14 - 15 มิลลิเมตร
ไม้เอ็นจิเนียร์ Credit : czarfloors
ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์คือให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริง มีความหรูหรา และมีโอกาสบวมน้ำได้น้อยกว่าพื้นลามิเนต
แต่ข้อเสียของมันคือทนการขีดข่วนและแรงกดทับได้น้อยกว่าพื้นลามิเนตเพราะมีผิวหน้าทำมาจากไม้จริง ส่วนเรื่องของราคาก็จะสูงกว่าพื้นลามิเนตเพราะใช้วัสดุดีกว่า โดยมีราคาเริ่มต้นตารางเมตรละประมาณ 2,000 บาท แต่ถึงต้องจ่ายแพงกว่าก็แลกมาด้วยความสวยงามและผิวสัมผัสที่ดีกว่าครับ
3.พื้นไวนิล (Vinyl Floor)
พื้นกระเบื้องยางไวนิลทำมาจากยางพาราผสมกับพลาสติกชนิดพิเศษที่มีสารเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น สารเพิ่มความทนทานต่อแสงแดด สารเพิ่มความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทก ผลิตโดยการหลอมและขึ้นรูปเป็นแผ่นก่อนแล้วจึงนำลายไม้มาประกบอัดเข้าด้วยกัน มีทั้งแบบผิวเรียบและผิวนูนเลียนแบบผิวไม้ ซึ่งถือได้ว่าพื้นชนิดนี้เป็นวัสดุที่เลียนแบบไม้จริงเพียงแค่ลวดลายเท่านั้น
กระเบื้องยางไวนิล Credit : cctgroup
พื้นชนิดนี้จะมีความหนา 3 - 4 มิลลิเมตร โดยมีอยู่ 2 แบบ คือ ติดตั้งด้วยกาวและแบบคลิก-ล็อค ส่วนตัวแนะนำให้ใช้แบบคลิก-ล็อค (click-lock) นะครับ เพราะเมื่อติดตั้งแล้วพื้นแต่ละแผ่นจะยึดกันแน่นกว่าและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบบติดตั้งด้วยกาว
ข้อดีของกระเบื้องยางไวนิลคือติดตั้งง่าย ทนทานต่อความชื้นเพราะไม่มีส่วนประกอบจากไม้จึงไม่มีการบวมน้ำ นอกจากนี้ผิวสัมผัสก็จะนุ่มกว่าพื้นชนิดอื่นครับ เหมาะสำหรับห้องของผู้สูงอายุ
แต่ข้อเสียของมันคือให้สัมผัสที่ไม่เหมือนไม้จริงและการที่แผ่นพื้นไวนิลมีความบางจึงต้องติดตั้งบนพื้นที่เรียบจริงๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องของราคาจะใกล้เคียงกับพื้นลามิเนตครับ
4.ไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ (Fiber Cement Wood)
ไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ทำมาจากเยื่อไม้ผสมกับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แล้วผ่านกรรมวิธีอัดขึ้นรูปด้วยความดันสูง หลังจากนั้นจึงอบความร้อนด้วยไอน้ำ ซึ่งไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์นี้มีคุณสมบัติทางกายภาพใกล้เคียงไม้จริง สามารถตัด เลื่อย หรือทาสีเป็นสีไม้ต่างๆ ได้ มีความทนทานมากกว่าไม้จริง แต่จะแตกต่างตรงผิวสัมผัสที่คล้ายพื้นผิวซีเมนต์ขัดมัน
ไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ Credit : wazzadu
ข้อดีของวัสดุประเภทนี้คือคุณสมบัติทนต่อแรงกระแทก ไม่โก่งตัวหรือเปื่อยยุ่ยเมื่อถูกความชื้น ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ส่วนมากนิยมใช้ทำพื้นระเบียงภายนอกหรือรั้วบ้านครับ
ข้อเสียคือมีโอกาสแตกหักได้เพราะตัวไฟเบอร์ซีเมนต์มีลักษณะแข็งแต่เปราะ อีกอย่างหนึ่งคือมีน้ำหนักมากกว่าไม้จริงเพราะมีส่วนผสมของซีเมนต์
ส่วนราคาของไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์โดยเฉลี่ยแล้วจะมีราคาเริ่มต้นตารางเมตรละประมาณ 600 บาท
5.ไม้เทียมจากพลาสติกผสมเส้นใยไม้ (Wood Plastic Composite)
หรือเรียกว่า “WPC” ผลิตโดยนำโพลิเมอร์มาผสมกับเส้นใยไม้หลังจากนั้นจึงนำมาอัดขึ้นรูปและทำสีเลียนแบบไม้จริง
Wood Plastic Composite Credit : alqairawan
วัสดุประเภทนี้มีความทนทานมากกว่าไม้จริง แต่จะรูปลักษณ์ดูคล้ายพลาสติกมากกว่าไม้ โดยมีทั้งแบบที่ภายในกลวงและตันทั้งชิ้น สามารถนำมาตัด เลื่อย หรือตอกตะปูได้เหมือนไม้ ทนทานต่อความชื้น อายุการใช้งานยาวนาน สามารถเอามาใช้งานได้อย่างหลากหลายทั้งภายในและภายนอกอาคาร
ข้อดีของวัสดุประเภทนี้คือคุณสมบัติทนต่อแรงกระแทกและความชื้น
แต่ข้อเสียคือตัวมันมีส่วนผสมของพลาสติค หากเราใช้ในพื้นที่ที่โดนความร้อนสูงเป็นระยะเวลานานพื้นอาจเสียรูปทรงหรือเหี่ยวย่นได้ครับ
ส่วนราคาของ WPC โดยเฉลี่ยแล้วจะมีราคาใกล้เคียงกับไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ครับ
สุดท้ายนี้ แม้ว่าวัสดุเหล่านี้จะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าไม้จริงเพียงใด แต่ก็ยังไม่ใช่ไม้จริงอยู่ดี หากเราต้องเลือกใช้วัสดุทดแทนไม้ก็ขอให้ใช้แล้วถูกใจผู้ใช้มากที่สุดก็พอครับ
โฆษณา