27 ก.ค. 2020 เวลา 14:29 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ออกอาวุธ ออกอาวุธ.... เอ้ย! ไม่ใช่ นั่นมันภาค 2!!!
ปีกกาง เหินไปไม่มีวันแผ่วปลาย ด้วยแรงรัก ทะยานโลดไป
แม้จะสาหัสจะหนักหนา ก็จะไม่ท้อไม่ท้อ แต่จะขอเดินหน้าไป!
สำหรับคนอายุ 20+ ถึงประมาณ 30 กว่าๆ
เมื่อพูดถึงเพลงท่อนนี้ สิ่งที่ทุกคนนึกถึงก็มักจะเป็นภาพของ 2 บุคคลในตำนานอย่าง พี่นัท และ น้องนพ ในชุดของตัวละครยามาโตะและไทจิ เต้นเพลง Butterfly เวอร์ชั่นภาษาไทยของการ์ตูนในตำนานอย่าง
ดิจิมอน แอดเวนเจอร์
การ์ตูนต่อสู้ผจญภัยกับคู่หูสัตว์เสมือนจริงในโลกดิจิตอล ที่แน่นอนว่าทุกคนที่มีอายุในช่วงดังกล่าวต้องรู้กันแน่นอน ว่ามันเคยดังเป็นพลุแตกในไทยขนาดไหน (ส่วนสำหรับน้องๆ ที่ผ่านเข้ามาอ่าน ถ้าไม่เคยโดนเพจ Facebook ช่อง YouTube หรือกระทู้ Pantip ต่างๆ ไซโค ถึงความดัง ก็...อืม ให้บูมประมาณ Avengers ละกันครับ ใครๆก็รู้จัก ใครๆก็พูดถึง จากประสบการณ์ของผมที่เคยฝึกสอนเด็กในโรงเรียนอะนะ 555 แต่ที่ดิจิม่อนมีมากกว่าคือ มันมาพร้อมกับของเล่นอย่าง Digivice ที่เด็กแอบครูเอามาเล่นที่โรงเรียนกันทุกวัน และใช้ดิจิม่อนในนั้นสู้กันอย่างสนุกสนาน)
จากวันนั้น มาจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 20 ปี แล้วนะครับที่ "ดิจิม่อน แอดเวนเจอร์" ได้ออกอากาศทางช่อง 9 การ์ตูน (โมเดิร์นไนน์ทีวี ในปัจจุบัน) จนจบไป
และเนื่องจากความดังของเรื่อง (ที่จริงๆตอนแรกแค่ทำมาขายของเล่น Digivice) ทำให้ ดิจิม่อน ได้ออกมาอีกหลายต่อหลายภาค (เช่นกันกับออก Digivice รุ่นใหม่มาขายของเรื่อยๆ 55) ไม่ว่าจะเป็นภาคต่ออย่าง Digimon Adventure 02, Digimon Tamers, Digimon Frontier, Digimon Savers, Digimon X-ros War, AppMon (รวมถึง Digimon Adventure Reboot ที่พึ่งออกฉายที่ญี่ปุ่นไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วย)
แต่....
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ภาคที่ดัง และ อยู่ในความทรงจำของเด็ก (โข่ง) หลายๆคนมากที่สุด ก็ยังเป็นภาค Adventure อยู่ดีครับ
ด้วยเนื้อหาที่สนุก เข้าใจง่าย, การเกลี่ยบทที่ทำได้อย่างเหมาะสม, ตัวละครอันเป็นเอกลักษณ์ มีมิติ และเหล่าดิจิม่อน ที่มีสเน่ห์ทั้งความน่ารัก งดงาม และความเท่ห์
ด้วยความดังและตราตรึงใจแฟนๆ รวมไปถึงความนิยมของดิจิม่อน ที่ตกลงพอสมควรในช่วงหลัง
ในที่สุดเมื่อ Digimon Adventure มีอายุครบรอบ 15 ปี เมื่อปี 2014 (นับจากวันแรกที่ซีรี่ส์ฉายในญี่ปุ่น)
ทางสตูดิโอผู้สร้างอย่าง Toei Animation (โตเอะ อนิเมชั่น) จึงได้ออก Digimon Adventure ภาคใหม่มา (เพื่อกินบุญเก่า? 😂) ในปี 2015 ในชื่อ
Digimon Adventure tri.
ครับ
ออกมาในรูปแบบของมูฟวี่ แบ่งเป็น 6 พาร์ทย่อย
มีเนื้อเรื่องต่อจาก Digimon Adventure 02 (หลังปราบ Last Boss ในตอนจบ 3 ปี แต่ก่อน Time Skip ที่บอกเล่าถึงอนาคตของทุกคน)
ในตอนแรกนั้น ภาคนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีพอสมควร
เพราะเป็นการย้อนรำลึกความหลังของเด็กที่เคยดูดิจิม่อนในยุคนั้น ที่แก่ขึ้นร่วมๆ 15 ปี
เรียกได้ว่า ฉาก อากูม่อน กลับมาเจอไทจิอีกครั้งนี่ ประทับใจไปตามๆกัน 555 ยังไม่รวมถึงเพลงเเปิดอย่าง Butterfly (ที่คนร้อง ร้องให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเสียชีวิตในปัจจบัน) และ Braveheart เพลงช่วงพัฒนาร่างสุดคลาสสิค ที่ทำให้หลายคนอดคิดถึงไม่ได้
อย่างไรก็ดี ภาค Tri นั้น ได้นั้น ได้รับเสียงก่นด่าจากแฟนๆในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่อง Character Design ที่เปลี่ยนคนดีไซน์ จนดูโดดจากสองภาคแรกไปมาก, พล็อตเรื่อง ที่มีจังหวะยืดจนน่ารำคาญไปบ้าง, การเพิ่มคู่หูดิจิมอนคู่ใหม่มาในแบบที่ไม่ลงตัว จนทำให้จากที่คนจะชอบ กลายเป็นรำคาญแทน, ฉาก Evolution ที่เปลี่ยนสไตล์จากสองภาคแรก จากหมุนๆ แปลงร่าง กลายเป็น Pixel ของไข่ดิจิตอลค่อยๆทับร่างแล้วฟักออกมาเป็นร่างใหม่แทน, เด็กที่ถูกเลือกรุ่นสอง ที่ตอนแรกเกริ่นว่าแพ้ในการต่อสู้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีบทอะไรอีกเลย (ปรากฎตัวแบบไม่เป็นเงาก็ไม่เคย) ฯลฯ
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุนี้ด้วยรึเปล่า ทางโตเอะจึงได้แก้ตัวด้วยการทำ ภาคต่อ ในชื่อว่า Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna ในโอกาสครบรอบ 20 ปี Digimon Adventure :)
และนี่คือสิ่งที่เราจะพูดถึงกันวันนี้ครับ
Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna
ดำเนินเรื่อง 5 ปีให้หลังจากเหตุการณ์ของดิจิมอนแอดเวนเจอร์ tri. กลุ่มเด็กที่ถูกเลือก (เหล่าคู่หูของดิจิมอน) ได้เติบโตขึ้นมาจนในที่สุด หลายๆคนทำตามฝันในวัยเด็กได้สำเร็จ ในส่วนของไทจิและยามาโตะนั้น มีชีวิตที่ลุ่มๆดอนๆ ทำงานพิเศษหาเลี้ยงชีพ ควบคู่ไปกับการเป็นนักศึกษา
อย่างไรก็ดี จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ผู้คนทั่วโลกหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทุกคนที่เกิดอาการนั้นก็คือเด็กที่ถูกเลือกในอดีตที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่นั่นเอง
หลังตามหาเบาะแสซักระยะ ไทจิ ยามาโตะ ทาเครุ และ โคจิโร่ จึงได้มาพบกับ เมโนอา เบลุชชี่ หญิงสาวที่วิจัยเกี่ยวกับดิจิมอนที่กำลังสืบหาคดีนี้อยู่เช่นกัน พวกไทจิได้พบกับดิจิมอนปริศนา อีออสมอน ซึ่งเป็นผู้ที่โจมตีเหล่าเด็กที่ถูกเลือกจนล้มป่วยหมดสติ
หากแต่การต่อสู้ของไทจิและยามาโตะในครั้งนี้ เป็นการนำไปสู่บทสรุปเรื่องราวที่แท้จริงของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด...
มาที่ความรู้สึกหลังดูแบบไม่สปอยกันก่อน
ต้องบอกเลยว่าใครที่เป็นแฟนดิจิม่อนต้องถูกใจกันแน่นอน
ภาคนี้เปิดเรื่องมาด้วยการย้อนรำลึกความหลังหลายอย่างทั้งดิจิม่อนที่ชวนคิดถึงทั้งฝ่ายตัวเอกและศัตรู, ฉากการพัฒนาร่างที่กลับมาทำแบบออริจิน่อลผสมร่วมสมัย ไม่ใช่แบบภาคไตร ขณะดำเนินเรื่องเองก็มี Easter Egg ซ่อนไว้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฉาก ตัวประกอบ ดิจิม่อนประกอบฉาก รวมไปถึงแอ็คชั่นของดิจิม่อน แฟนพันธุ์แท้น่าจะหายคิดถึงกันแน่นอนครับ
ด้าน Character Design ภาคนี้ได้คุณ Katsuyoshi NAKATSURU ผู้ดีไซน์ตัวละครในดิจิม่อน 4 ภาคแรกกลับมาด้วย ตัวละครจึงมีเค้าโครงเดิมมากขึ้น ไม่ดูโดดจนโดนเสียงสาปส่งอยู่พักนึง อย่างภาค Tri. ถือว่าคราวนี้โตเอะ ทำการบ้านได้ดีครับ กับการทำภาคต่อ โดยที่ทำต่อไปในแนวทางใหม่ได้ และไม่โดนเสียงก่นด่า จากแฟนกลุ่มเดิมๆเท่าไหร่ด้วย
ในส่วนของเสียงพากย์นั้น น่าเสียดายเหมือนกันที่ ในประเทศไทย ไม่มีพากย์ญี่ปุ่นมาให้ชมกัน (สำหรับใครที่ดูภาค Tri. พากย์ญี่ปุ่นของเรื่องนี้ยกทีมพากย์เดิมมาทั้งดุ้นเลยครับ)
แต่ในส่วนของพากย์ไทยก็ทำเอาไว้ดีมากๆเลยครับ
โอเค ว่า เสียงอาจจะไม่ได้ทีมพากย์เดิมจากช่อง 9 การ์ตูนมาเป๊ะๆ แต่ทีมพากย์ชุดนี้ก็เต็มไปด้วยนักพากย์อาชีพคับคั่ง อาทิ พี่หนึ่ง ภัทรวุฒิ สมุทรนาวี ที่พากย์ไทจิ (ผลงานเด่น เช่น พากย์ โกคู จากดราก้อนบอล, ซันจิ จาก วันพีซ), พี่จูน อิทธิพล มามีเกตุ ที่พากย์ ยามาโตะ (คนพากย์ ลูฟี่ จาก วันพีซ), น้าไกร ไกวัล วัฒนไกร ที่พากย์ การูรูมอน (คนพากย์ เบจิต้า จากดราก้อนบอล), คุณหุย นลินี ชีวะสาคร ที่พากย์ เมโนอา, ปิโยม่อน (พากย์หนังและการ์ตูน เช่น กัปตันมาร์เวล, หรือ ไซเรนจิ ฮารุนะ จาก To-Love-Ru), พี่ริวิวแมน ที่พากย์ ทาเครุ (เคยพากย์ ซาซึเกะ จาก นารูโตะ) ส่วนนักพากย์สมัครเล่น ก็คัดคนมาได้ดี ไม่มีติดขัด อาทิ MindaRyn นักร้อง Cover Anisong ที่พากย์ครั้งแรกในบทฮิคาริ โดยรวมคือไม่มีเสียงพากย์ที่ขัดใจเลยครับ (แม้คนที่แม่นภาษาญี่ปุ่น จะมีท้วงติงเรื่องบทพากย์ที่แปลไม่ดีเท่าที่ควรบ้าง แต่โดยทั่วไปก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ)
ในส่วนของเนื้อเรื่อง และ การดำเนินเรื่อง ส่วนนึงน่าจะเพราะได้คนเขียนบทภาค 1-2 อย่างคุณ Akatsuki YAMATOYA กลับมาด้วยครับ เลยทำให้บทและการดำเนินเรื่องกลมกล่อม ลงตัว ได้กลิ่นอายเก่าๆ ซึ่งโดยรวมต้องบอกว่า ทำได้ สนุก กระชับ ประทับใจ ใน 100 นาที เรื่องมีการดำเนินในแบบ สนุก เศร้า และ ฮา ในแบบฉบับสูตรสำเร็จทั่วไป แทรกด้วยประเด็นยิบย่อยที่ชวนให้ฉุกคิด, การตัดสินใจของตัวละคร ที่ไม่มีถูกผิด แต่ก็แอบดาร์คพอสมควร และชวนให้ถามกลับมาถึงตัวเราเหมือนกัน ว่า ถ้าเป็นเราจะทำแบบไหน
ที่ทำได้ดีคือเรื่องประเด็นของตัวร้าย ที่มีที่มาของความร้าย ในแบบที่ พอคิดจริงๆ ก็เข้าใจนะว่า ทำไมถึงทำแบบนั้น และบางทีก็แอบคิดนะ ว่าถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ถ้าเศร้าขนาดนั้น เป็นเรา เราจะทำแบบเค้ามั้ย?
อีกจุดที่ทำได้ดี คือความเรียลของบทครับ ต้องชมว่ากล้ามาก ที่ทำมูฟวี่มาในแบบที่ ไม่มีแม้แต่ฉากเดียวที่เด็กที่ถูกเลือกจะรวมตัวกันครบทีม ซึ่งตรงนี้ ก็ถือว่าสอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่นะ เมื่อเราโตขึ้น ก็มีภาระหน้าที่มากขึ้น เช่นเดียวกับเพื่อนๆของเรา ฉะนั้น การมารวมตัวกันไม่เคยครบทีม จึงเป็นเรื่องธรรมดามากครับ
แต่ที่ทำได้ดีกว่าคือ ฉาก ซึ้งๆ ครับ ประทับใจมาก
กล้าบอกตรงนี้เลยว่า ถ้าคุณ โตมากับ Digimon Adventure
ไม่มีทางที่น้ำตาคุณจะไม่คลอ
ส่วนตัวผมนั้น แม้จะเป็นคนกลุ่มน้อย ที่ชอบภาค Tamer กับ Frontier มากกว่า
แต่บอกเลยว่า
เจอฉากพวกนี้เข้าไป...
ทำเอาผมร้องไห้เป็นครั้งแรกที่ดูหนังโรงอนิเมะ นับตั้งแต่เคยร้องไห้กับ Your Name (2016) และน้ำตาคลอกับ A Silent Voice (ฉายบ้านเรา 2017) เลยทีเดียว
แต่ก็ไม่แน่ว่า บางทีผมอาจจะเข้าไปดู เอามันส์ เอาคิดถึง และเผื่อใจไว้ซึ้งนิดหน่อย แบบไม่คาดหวังมากก็ได้ครับ เลยประทับใจขนาดนี้ (คือในช่วงหลัง ผมมักจะคาดหวังกับหนัง Animation สูงเกินไป จนกลายเป็นผิดหวังและไม่ประทับใจไปซะหลายเรื่องน่ะครับ)
สำหรับผม เรื่องนี้ คือเกินความคาดหมาย มากครับ
ยิ่งถ้า คุณเป็นแฟนดิจิม่อน หรือ อย่างน้อย เคยดู Adventure มามากพอถึงตอนจบทั้ง 3 ภาค
บอกเลยว่า นี่เป็นหนังที่ชาตินี้คุณต้องดูให้ได้ครับ
และควรไปดูในโรงด้วย เพื่อเสพบรรยากาศอิ่มเอม ไปพร้อมกับ เพื่อน คนรู้ใจ หรือ ถึงจะไปคนเดียว ก็ยังสามารถอินไปกับรีแอคชั่นของเพื่อนร่วมโรงได้เช่นกันครับ (อนุมานว่าคุณโตมากับ Digimon เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมโรงส่วนใหญ่นะ)
อีกเรื่องที่อดชมไม่ได้ คือ เพลงประกอบ อย่าง Sono Saki e ( https://www.youtube.com/watch?v=haa7jV2eqRE ) ที่เปิดมาอย่างลงตัวในฉากการ "แปลงร่างครั้งสุดท้าย" และเพลงจบอย่าง Hanareteite mo ( https://www.youtube.com/watch?v=FWzIUYiOdcc ) ที่เพราะและเข้ากับ End Credit ในแบบที่ทำให้คุณอยากดู End Credit จนจบครับ เป็นเพลงใหม่ที่ทำมาสำหรับมูฟวี่นี้นะ แต่ก็ติดหูดีจริงๆ
มาถึงข้อเสียของหนังกันบ้าง
หลักๆเลยคือ ตามที่เห็นในเทรลเลอร์ (และภาพของโพสต์นี้) ครับ ตัวละครหลักๆ จะโฟกัส กันที่คู่ของ ไทจิ - อากูม่อน และ ยามาโตะ - กาบูม่อน เพียวๆเลย
คู่อื่นๆ จะมาในรูปแบบ สมทบ/ตัวประกอบกันซะมาก ไม่มีดิจิม่อน อื่นๆที่แปลงร่างเกินร่าง โตเต็มวัย (ร่าง 2) เลยแม้แต่ตัวเดียว ยกเว้นเทลมอนที่แปลงเป็น แองเจิลวูมอน (เพราะปกติเทลม่อนอยู่ร่าง 2 ตลอดอยู่แล้ว เลยมีแปลงเป็นร่าง 3 ขั้นนึงตามปกติ)
โดยรวม หนังดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวละครอื่นซักเท่าไหร่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีตัวละครคู่หู คู่นึง ที่บทโผล่มาแค่สองฉาก ริมหน้าต่างแค่นั้น...
ใช้ชื่อว่า Digimon Adventure Yuki-Yujo (ความกล้าหาญ - มิตรภาพ, สัญลักษณ์ของ ไทจิ-อากูมอน & ยามาโตะ-กาบูมอน) The Movie ยังได้เลย
แต่ตรงนี้ก็พอเข้าใจนะครับว่าหนังมันแค่ 100 นาที การเลือกโฟกัสแค่ 2 คู่นั้น ถือว่าเหมาะสมแล้ว ในการเดินเรื่องให้กระชับและสร้าง Impact กับคนดูได้สูงสุด
ส่วนข้อเสียอีกเรื่องคือ ด้วยการที่หนังเน้นขาย ความคิดถึง, Easter Egg และสายสัมพันธ์ของเรากับ Digimon Adventure เป็นหลัก ทำให้ผมคิดว่า คนที่ไม่เคยดูภาคก่อนๆ ไม่น่าจะอินเท่าไหร่ครับ
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าคุณ โตมากับดิจิม่อนแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดูเลยครับ (ไม่จำเป็นต้องดูภาค Tri. มาก่อนก็ดูรู้เรื่อง)
ให้เป็นคะแนน ถ้าเป็นแฟน ผมให้ 9.5/10 แต่ถ้าไม่ใช่ ผมว่า ประมาณ 7.5/10 ล่ะมั้ง
SPOILER ALERT
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ส่วนนี้ใส่สปอยนะจ๊ะ
คีย์หลักของภาคนี้คือ วงแหวนนับถอยหลังการเป็นคู่หู ระหว่างพาร์ทเนอร์กับ ดิจิม่อน ครับ จะปรากฎขึ้นเมื่อความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดในวัยเด็กของพาร์ทเนอร์หมดลง
ผมชอบปมของ ตัวร้ายในเรื่อง อย่าง เมโนอา นะ รักดิจิม่อนมาก แต่พอทำตามฝันสำเร็จ และโตขึ้น วงแหวนนับถอยหลัง ก็นับถอยหลังจนจากกับดิจิม่อนคู่หูที่รักไปตั้งแต่ 14
14 ที่มันช่วงอายุเดียวกับพวกไทจิตอนภาค 02 เลยนะ!
เทียบปัจจุบันที่ไทจิ ยามาโตะ และ เมโนอา อายุ 22
เมโนอาจากคู่หูก่อนถึง 8 ปีเลย
ซึ่งจากตรงนี้ ทำให้ผมไม่ค่อยแปลกใจนะ ที่ความเจ็บปวดของเด็ก 14 ในตอนนั้นจะทำให้ เจ้าตัวมีอาการซึมเศร้า+โรคจิตนิดๆตามมา จนอยากขัง "ตัวเอง" ไว้ในความทรงจำวัยเด็กที่ได้อยู่กับดิจิม่อน "ตลอดไป" รวมถึงอยาก "ช่วยคนอื่นให้ไม่ต้องเจ็บปวดจากการที่ต้องจากจากคู่หู" ด้วย
มองในมุมนาง คือสามารถมองได้จริงๆนะ ว่า เออ ในมุมนั้น นางไม่ได้ร้ายเลย แค่เป็นฮีโร่ที่อยากช่วยทุกคนก็แค่นั้น เพราะตาม Common Sense มันก็จริงของนางที่ไม่มีใครอยากจากดิจิม่อนคู่หูหรอก
แต่ก็นะ...ตามสไตล์การ์ตูนแนวโชเน็นนั่นแหละ เราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา และเติบโต ตามที่ควรจะเป็น สุดท้ายเจ้าตัวก็โดนตบ และจับเข้าคุกตามสูตรสำเร็จนั่นแหละ
ปล. ตรงนี้มีกิมมิคเล็กๆด้วย ว่า บางที Eosmon อาจจะมีส่วนนึงที่เป็น Morphomon คู่หูของเมโนอา ก็เป็นได้!? แม้ทาง Official จะเขียนชัดเจนว่าเป็นคนละตัว แต่จากการที่ Eosmon ยิ้มให้ Menoa ในตอนท้าย ก่อนที่นางจะพูดว่า ขอโทษนะ ทำให้ตีความได้ว่าแบบนั้น
ปล2. ถ้ามี Back Story เรื่องครอบครัวของ เมโนอา ว่าเลี้ยงดูมาแบบไหน ทำไมดิจิม่อนคู่หู หายไปอย่างเดียว ถึงจมดิ่งได้ขนาดนั้น จริงๆ ถ้ามีใส่มา น่าจะบิวท์อารมณ์ได้ดีขึ้นนะ
ในส่วนของไทจิ ยามาโตะ ที่เจอวงแหวนเองก็น่าสงสารมาก แต่ที่ชอบคือความไร้เดียงสาของ อากูม่อน กับ กาบุม่อน อะ มีความน้องงงง มาก ไม่เศร้าเลย เตรียมใจมาตลอด
รู้ว่าพัฒนาร่างแล้วจะหายไปเร็วขึ้น ก็ยังกระตุ้นให้คู่หูพัฒนาร่าง เพื่อจะได้ช่วยทุกคน คู่หู ลังเลแล้ว ลังเล อีก ถ้าพัฒนาแล้วจะจากกันเร็วขึ้นนะ แต่ก็อยากช่วยทุกคน จะทำไงดี?
สองหน่อนั้นก็รู้ความในใจว่าลึกๆ ไทจิ ยามาโตะ อยากช่วยทุกคน แม้จะต้องจากกันเร็วขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังกระตุ้นให้พัฒนาร่างเพื่อช่วยทุกคน
ตรงจุดนี้ตีความได้แบบนี้จริงๆนะ ว่าความไร้เดียงสาของดิจิม่อนคือ ทำตามความต้องการที่แท้จริงของคู่หู อย่างของโซระ ที่หลายคนบอกว่า เห็นแก่ตัว ไม่ยอมไปช่วยสู้ ทั้งเรื่องออกมาแค่สองฉาก มาบอกว่าไม่สู้แล้ว และบอกว่าไทจิพยายามเข้า ชั้นเชื่อในตัวทุกคนนะ... ปิโยม่อน เอาจริงก็แค่ทำตามความต้องการที่แท้จริงของโซระที่ ไม่อยากสู้ อยากเป็นคนธรรมดา ไม่อยากใช้ชีวิตในฐานะเด็กที่ถูกเลือก ซึ่งถ้าใครได้ดูอนิเมชั่นตอนพิเศษ To Sora ซึ่งเป็นเรื่องราวก่อนมูฟวี่ ( https://www.youtube.com/watch?v=rtnwIuJy5BY&t=221s ) ก็จะเข้าใจได้มากขึ้น
เอาจริง การตัดสินใจของโซระที่ทิ้งเพื่อนให้สู้กับศัตรูไป ฉันจะไม่สู้ ไม่อยากสู้แล้ว สำหรับการ์ตูนสายหลักที่เน้นมิตรภาพระหว่างเพื่อนพ้อง
ถือว่าดาร์กพอสมควรนะ
แต่... ถ้ามองในมุมของนาง ที่เจอวงแหวนนับถอยหลังก่อนพวกไทจิ ยามาโตะ (มีให้เห็นตอนต้นเรื่อง) และการที่ ณ ขณะที่พวกไทจิสู้กับ Eosmon... ดิจิไวซ์ของนางกลายเป็นหิน และปิโยม่อนหายไปแล้ว...
ก็... ตอบไม่ได้เต็มปากนะว่านางนิสัยแย่ เห็นแก่ตัว
ในมุมของนาง นางก็อาจจะแค่ รักตัวเอง รักดิจิม่อนตัวเอง อยากอยู่กับดิจิม่อนที่ตน "รัก" จนวินาทีสุดท้าย โดยไม่โดนการพัฒนาร่างเร่งเวลา แค่นั้นก็ได้
สุดท้ายแล้วตราสัญลักษณ์ของนางก็คือ "ความรัก" นี่นะ และตรงนี้ นางก็ได้แสดง "ความรัก" ที่นางมีต่อตัวเอง ต่อดิจิม่อน และ ต่อสายสัมพันธ์ดิจิม่อน ออกมาเต็มที่แล้ว แถมยังเผื่อแผ่จิตที่รักเพื่อน ไปเอาใจช่วยทุกคนด้วย
สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจของนาง อาจจะเหมาะกับตัวนางที่สุดแล้วก็ได้ (แต่ด้วยกระแสสังคมที่ค่อนข้างด่าโซระว่าเห็นแก่ตัว เชื่อนะ ว่า อนาคตนางจะได้เจอกับปิโยม่อนอีกครั้ง ตามตอนจบของภาค 02 ที่เฉลยว่าในอนาคตอีก 25 ปี ทุกคนจะได้อยู่กับดิจิม่อนคู่หูตามเดิม ตรงนี้นับจากภาคนี้ก็จะเหลือเวลา 17 ปี มีสตอรี่ให้เล่นอีกเยอะ และบางทีอาจจะร่วมสู้เพื่อลบคำครหาด้วยก็ได้... หรือถ้าเอาฮา อาจจะมีร่างใหม่แบบอากุม่อน กาบุม่อนก็ได้ 555)
เอาล่ะ กลับมาที่อากูม่อนกับกาบุม่อน คือผม ประทับใจในความกล้าหาญ และ มิตรภาพที่ดิจิม่อนทั้งสองมีต่อคู่หูมาก
สุดท้ายด้วยสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ทั้งคู่ก็ได้ร่างสุดยอดร่างใหม่ เป็น Agumon - Yuki's Kizuna - (สายสัมพันธ์ แห่งความกล้า) และ Gabumon - Yujo's Kizuna - (สายสัมพันธ์ แห่งมิตรภาพ)
ที่ดีไซน์ ถึงจะดูคล้ายๆตัวหลักภาคฟรอนเทียร์ ไปซะหน่อย (ของกาบุมอนนี่ยังกะวูลฟ์มอน) แต่ก็เท่ใช่ย่อย
ตรงนี้น่าเสียดายไปนิดที่แอร์ไทม์ของร่างพัฒนาพวกนี้มีน้อยมาก แค่โผล่มากำจัด Eosmon ร่างสุดยอดแค่นั้น
แต่แท้จริงแล้วทั้งสองร่าง มีกิมมิคที่ค่อนข้างลึกซึ้งมาก
อย่างแรกคือร่างกาย ที่ไม่ได้จงใจทำให้เหมือนคนคล้ายภาคฟรอนเทียร์ แต่เกิดจากการที่ทั้งอากุมอน และ กาบุม่อน อยู่กับมนุษย์มานาน จนเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้งตะหากล่ะ!
ชื่อของทั้งสองตัวเองก็เช่นกัน ที่ใช้ชื่อนำหน้าว่า Agumon, Gabumon ไปเลย เพราะต้องการให้ผู้ชมทุกเพศทุกวัย เข้าได้ว่านี่คือการพัฒนาร่าง ขั้นสุดยอดของทั้งสอง หลังมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับมนุษย์
ให้ตายเหอะ ของกาบุมอน มีกิมมิคสามารถแปลงร่างเป็นมอเตอร์ไซค์ เพราะยามาโตะชอบขี่ได้ด้วยซ้ำ!
เลยคิดว่า มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่สองร่างนี้อาจจะได้กลับมาในมูฟวี่ต่อๆไป ไม่งั้นเสียดายของแย่
แล้วก็ เรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากจากลาของทั้งสองคู่...
เชื่อว่าทุกคนที่ผูกพันกับดิจิม่อนต้องมีน้ำตาซึมแหละ
ทั้งไทจิ ยามาโตะพาคู่หู มาคุยกันเงียบๆ ใช้เวลาร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย...
ไทจิจะซื้อน้ำแข็งใสรสเลม่อนให้อากูม่อนกินตามคำขอ
ยามาโตะเป่าฮาโมนิก้า เพลงที่มักจะเป่าเวลาเจอเรื่องยากๆให้กาบุม่อนฟังตามที่อยาก
จากนั้นทั้งสองดิจิม่อน หันมาถามว่า
พรุ่งนี้จะทำอะไรดี
แล้วก่อนที่จะตอบเสร็จ...
ดิจิม่อนทั้งคู่ก็หายไป พร้อมกับดิจิไวซ์ที่กลายเป็นหิน...
😧😥😭😭😭😭😭
เชื่อเลยว่าอย่างน้อยๆต้องคลอเบ้ากันล่ะกับฉากนี้.... ส่วนผมนี้ร้องเลย.....
โคตรเศร้า แต่ก็โคตรประทับใจ
งดงามในคราบน้ำตาจริงๆ (ดีนะมีคอนเฟิร์มในตอนจบ 02 ว่า อีก 25 ปีหลัง 02 หรืออีก 17 ปีหลังภาคนี้ ยังไง ทุกคนก็จะยังได้อยู่กับดิจิม่อน ไม่งั้นเศร้าตาย 555)
เอาจริงเรื่องวงแหวนการนับถอยหลังเนี่ย หลายคนอาจจะงงว่า ไทจิ ยามาโตะยังดูโลเล ไม่มั่นใจในอนาคตอยู่เลย ทำไมดิจิม่อนหายก่อนพวก โจ มีมี่ โคจิโร่ ที่ดูมีเป้าหมายชัดเจนล่ะ?
อย่างเมโนอา ที่หายไปก่อนน่ะพอเข้าใจว่า เออ สอบติดมหาลัย เลือกเส้นทางเป็นนักวิจัยเต็มตัวแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ความเป็นไปได้ไม่ได้ไร้ขีดจำกัดแล้ว เพราะเลือกเส้นทางไปแล้ว ดิจิม่อนเลยหายไปเพราะสิ้นสุดความสัมพันธ์ แบบนี้อะเข้าใจได้
แต่เคสไทจิคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไร ฝึกงานอย่างเป็นทางการก็ไม่เคย หัวข้อวิทยานิพนธ์ก็คิดไม่ออก
ยามาโตะเองไม่รู้เช่นกันว่าอยากทำอะไร ไม่รู้ว่าทำไมไม่กระตือรือร้นจะหางานทำ จะต่อโทดีมั้ย บางทีอาจจะต้องการเวลามากกว่านี้
เฮ้ย นี่มันดูไม่มีอนาคตสุดๆเลยไม่ใช่เรอะ เลือกเส้นทางตัวเองไม่ได้่ แบบนี้เส้นทางก็ไม่ชัดเจนอะดิ ความเป็นไปได้ยังไร้ขีดจำกัดอยู่เลยนา
แต่สิ่งที่ผมตีความได้ก็คือ
Trigger แรกที่จะนำไปสู่วงแหวนการนับถอยหลังคือ การที่ "สามารถอยู่คนเดียวได้ และไม่ได้ต้องการที่จะตัวติดกับคู่หูอีกต่อไป"
เมโนอา - บอกกับมอร์โฟมอนว่า "จากนี้ชั้นจะใช้ชีวิตโดยพึ่งพาแต่ตัวเอง ต่อให้ตัวคนเดียวก็ไม่เป็นไรแล้ว"
โซระ - พูดใน To Sora ว่า "ปิโยม่อน อย่ามายุ่งกับชั้น"
ส่วน ไทจิ กับ ยามาโตะ แม้ภายนอกจะเห็นว่า รักดิจิม่อนมาก ยังสู้ร่วมกับดิจิม่อนอยู่ แต่ที่จริง เอาใจใส่น้อยลงไปเยอะแล้วครับ แค่มาสู้ตามหน้าที่ เด็กที่ถูกเลือกเฉยๆ ดังจะเห็นได้ว่าในตอนต้น หลัง ไทจิ ยามาโตะ ทาเครุ ฮิคาริ สู้กับ Parrotmon จนส่งกลับโลกดิจิตอลได้สำเร็จ ทั้งคู่ รีบบึ่งไปมหาลัยทันที ทิ้งดิจิม่อนของตนให้อยู่กับน้องหน้าตาเฉย... ในขณะที่
โจ ยังเอาโกมาม่อนมาอยู่โรงบาลด้วย
โคชิโร่ ยังเอาเทนโตม่อนมาอยู่ด้วยในขณะอธิบายเรื่องต่างๆให้ลูกน้องฟัง (ใน To Sora)
มีมี่ ก็เช่นกัน
ทาเครุยังนั่งเขียนนิยายไป ให้ปาตาม่อนดื่มกาแฟไป (Starbucks ด้วยนะ 555)
ฮิคาริ ยังเอา เทลม่อนไปนั่งฟัง Lecture ได้ด้วยซ้ำ! (ใน To Sora)
จึงอนุมานได้ง่ายๆว่า แท้จริงแล้ว ไทจิ ยามาโตะ ไม่ได้เอาใจใส่ดิจิม่อนเท่าไหร่แล้ว แล้วก็ยังอยู่ด้วยตัวเองได้สบายๆแล้วด้วย
อีกตัวอย่างที่ยิ่งคอนเฟิร์มเรื่องนี้ได้ก็คือ การที่ไทจิ ไม่เคยพาอากูม่อน มาที่อพาร์ทเมนท์ใหม่ตัวเองเลยซักครั้ง จากการที่พาอากูม่อนมาในมูฟวี่ แล้วอากูม่อนบอกว่า "พึ่งเคยมานี่แหละ"
อย่างไรก็ดี...ถึงจะเอาใจใส่น้อยลง แต่ก็ยังน่าจะสงสัยกันใช่มั้ยครับ ว่า แล้ว "ความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดล่ะ" ถ้าไม่มีเป้าหมายในชีวิต ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สุดอยู่นี่
ตรงนี้ ให้เป็นเคส พิเศษ ของ ไทจิ และ ยามาโตะครับ
ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว
สองคนนี้สามารถทำให้ดิจิม่อน แปลงร่างใหม่ได้ก่อนใครๆเสมอ
แล้วทุกครั้งที่สองคนนี้พัฒนาร่างใหม่ให้ดิจิม่อนได้ เจ้าตัวก็จะโตขึ้นระดับนึงจริงๆ เหมือนที่เมโนอา บอกว่า "การ Evolution ของดิจิม่อนคู่หูมีตัวจุดชนวนเป็นการเติบโตของพวกเธอเอง"
ยกตัวอย่างเช่ยไทจิที่ตอนแรกฝืนให้อากูม่อนกินเยอะจนพัฒนาผิดพลาดเป็น สกัลเกรย์ม่อน ก่อนจะเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของความกล้าว่าต้องกล้าที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า แม้จะกลัว จนพัฒนาเป็นเมทัลเกรย์ม่อนได้ในที่สุด
เช่นกันกับยามาโตะที่หลังเห็นโจ ยอมสละชีวิต ช่วยทาเครุ ก็เข้าใจความหมายของมิตรภาพ จนทำให้พัฒนาร่างการูรูมอนเป็น วอร์การูรูมอนได้ในที่สุด
กล่าวคือ ไทจิ และ ยามาโตะ ณ จุดนี้ พร้อมจะโตเป็นผู้ใหญ่ และอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องมีคู่หูแล้ว
และ การต่อสู้กับ Eosmon ทั้ง 2 คน ที่มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาร่างใหม่ได้ก่อนใครๆ จะมีโอกาสได้ร่างใหม่ ซึ่งหมายถึงการเติบโตไปสู้ขั้นที่สูงที่สุด สูงมาก (ได้ขั้นที่สูงที่สุด = ดิจิม่อนโตสุดแล้ว = คนเองก็เติบโตถึงขั้นสุดแล้ว = ความเป็นไปได้ในการเติบโตของดิจิม่อนมาถึงทางตันแล้ว = ไม่เหลือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดอีกต่อไป) ยิ่งถ้าหากมีวงแหวนมาบีบบังคับ และ ต้องโค่นดิจิม่อนเก่งๆอย่าง Eosmos ให้ได้ก่อนวงแหวนหมดไป ยิ่งมีโอกาสสูงขึ้นอีก
ดังนั้น วงแหวนแห่งการนับถอยหลังของทั้ง 2 คน จึงปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในการสู้กับ Eosmon ครั้งแรก เพราะ 1) ทั้งสองคนสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง และ 2) เพื่อบีบบังคับให้ทั้งไทจิและยามาโตะ ตกตะกอนทางความคิด -> พัฒนาร่างใหม่ -> โตเต็มวัย -> ไ่ด้ร่างสุดท้าย เพื่อช่วยทุกคน -> ทำให้หมดความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดนั่นเอง ทั้งในด้านของร่างสุดยอดของดิจิมอน และในด้านของตะกอนทางความคิดที่เหมือนโดนบังคับไปในตัว ว่าต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องเลือกทางของตัวเองได้แล้ว (เผื่องงนะครับ ของสองคนนี้เป็นเคสพิเศษ คือ Condition 1 [อยู่คนเดียวได้] นี่ได้แล้ว แต่ Condition 2 [โตเต็มที่ เลือกทางเดินได้ และไม่เหลือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดอีกต่อไป] สามารถลงล็อคได้ผ่านการต่อสู้ พอโอกาสต่อสู้เอาเป็นเอาตายมาถึง วงแหวนจึงปรากฎขึ้นมาเป็นเชิงบังคับให้ทั้งสองคนโตขึ้น+พัฒนาร่างใหม่ให้ดิจิมอนได้ จน Condition 2 ลงล็อคครับ)
พอทั้ง 2 Condition ครบแล้วทั้ง 2 คนจะได้จากดิจิม่อนอย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง (ซึ่งก็ตามนั้นเลย อากุม่อน กาบุม่อน ได้ร่างสายสัมพันธ์ ไทจิได้เป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนคือ ต้องการสนับสนุนการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และดิจิม่อน ยามาโตะชัดเจนขึ้นในการเรียน วิศวกรรมการบิน เพื่อเป็นนักบินอวกาศ ตรงนี้คือ Condition 2 ของทั้งสองคนลงล็อคพอดี พอรวมกับ Condition 1 ก็โป๊ะเช๊ะ เข้าเงื่อนไขการจากลา)
ในส่วนของ โจ มีมี่ และ โคจิโร่เอง ใน End Credit เองพบว่า ไม่มีดิจิม่อนคู่หูแล้วครับ
ตรงนี้สอดคล้องกับ 2 Condition ที่กล่าวมาคือ 1) สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ แบบไม่ต้องมีดิจิม่อนตามติดทุกที 2) มีเป้าหมายชัดเจน หมดสิ้นความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด
โจ - จะมีหลายฉากเลยที่ทำงานโดยไม่มีโกมาม่อน และเอาจริง มีซีนที่แสดงให้เห็นว่าแคร์โกมามอนน้อยลงตั้งแต่ภาค ไตร ละครับ แต่ตอนนั้นปรับความเข้าใจกันได้ ส่วนตอนนี้อาจจะแค่แคร์น้อยลงตามหน้าที่นักศึกษาแพทย์ที่เพิ่มขึ้นท ส่วนเป้าหมายนี่ชัดเจนมานานแล้วว่าจะเป็นหมอครับ แค่รอเรียนจบเท่านั้น
มีมี่ - ในตอนต้นเรื่องมีฉากขึ้นเครื่องบินคนเดียวโดยไม่มีพาลม่อนอยู่ แสดงว่า ถึงมีมี่จะดูเป็นคู่หูที่ตัวติดกับดิจิม่อนที่สุดในแกงค์ แต่เอาเข้าจริงก็สามารถอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้แล้วครับ ส่วนอาชีพก็ชัดเจนแล้วคือขายของออนไลน์ แถมประสบความสำเร็จแล้วด้วย
โคจิโร่ - มีฉากสั่งงานลูกน้อง โดยไม่มีเทนโตม่อนข้างกายอยู่ สามารถอยู่คนเดียวได้สบาย ส่วนหน้าที่การงานก็ยอดเยี่ยมที่สุดในรุ่น เพราะเป็นถึงประธานบริษัท ฐานะมั่นคง
ทั้ง 3 คนมี 2 condition ตรงนี้หมด ซึ่งอนุมานได้ว่า ไม่นานหลังจากไทจิ กับ ยามาโตะ แยกจากคู่หู ทั้ง โจ มีมี่ โคจิโร่ ก็อาจจะตามมาติดๆครับ
หากเป็นตามนี้จริง แสดงว่าเด็กที่ถูกเลือกจาก 2 ภาคแรกที่ยังมีดิจิม่อนอยู่ จะเหลือแค่
ไดสุเกะ, เคน, มิยาโกะ, อิโอริ, ทาเครุ, ฮิคาริ
หรือก็คือ เด็กที่ถูกเลือก หลักๆ 6 คนจากภาค 02 พอดีเป๊ะ
สร้างความเป็นไปได้ในการสร้างโปรเจ็คท์ครบรอบ 25 ปีของ Digimon Adventure ได้อีกภาค 555 คราวนี้โฟกัสเด็กรุ่น 2 ได้เต็มที่เลย มโนไปนั่น
ทั้งนี้ เรื่อง 2 Condition ที่ว่ามา เป็นการตีความของผมเองนะครับ อาจจะถูก หรือไม่ถูกก็ได้
แต่จะว่าไปทั้ง 6 คนก็ไม่มีทั้ง 2 Condition อยู่นะ ทั้ง 6 คน ยังอยู่กับดิจิม่อนตลอดเวลา หาซีนที่อยู่เดี่ยวๆ แทบไม่เจอเลย
แถมแต่ละคนยังความฝันไม่ชัดเจน
ชัดเจนสุดแค่ ไดสุเกะ กับ ทาเครุ คนแรกอยากเปิดร้านราเม็ง แต่ก็ยังไม่ได้ทำจริงจัง ส่วนคนสอง นิยายก็ยังเขียนไม่เสร็จ
ในส่วนของอีก 4 คนที่เหลือ ภาคนี้ก็ยังดูเป็นนักศึกษาทั่วไป ที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจนเลย
พออนาคตยังไม่ชัดเจน และยังอยู่กับดิจิม่อนตลอดเวลาเหมือนตอนเด็ก ก็แสดงว่า ทั้ง 6 คน ไม่มีเลยทั้ง 2 Condition ฉะนั้น ดิจิม่อนเลยยังอยู่
ถึงตรงนี้ ผมว่าผมตีความถูกอยู่นา 5555
สุดท้ายนี้ เอาจริงๆ นี่ยังไม่ใช่จุดจบของ Digimon Adventure นะครับ
เรื่องสั้น To Sora ของโซระนี่ ไม่ใช่เรื่องสั้นเรื่องเดียวนะครับ
ยังมีอีก 4 เรื่องที่เรายังไม่ได้ดูเลย
Hole in the Heart
Medical Student Joe Kido (เรื่องเกี่ยวกับโจโดยเฉพาะ)
The Desired Jogress Evolution (เรื่องเกี่ยวกับการแปลงร่างจ็อกเรส!? ดูทรงแล้วจะ Build มาทางรุ่นสองเต็มที่!?)
The Shibuya-ish Heroic Saga of Pump and Gotsu
สองเรื่องแรก ฉายทาง Pop-up Theatre ในญี่ปุ่นไปแล้ว แต่คนทั่วโลกยังไม่ได้ดู
ส่วนสองเรื่องหลัง ยังไม่มีกำหนดฉายด้วยซ้ำครับ
เรื่องสั้นทั้ง 5 เรื่องจะถูกปล่อยออกมาเป็นแบบบลูเรย์ ปลายปีนี้
โดยส่วนตัว เชื่อว่า ถึงแม้ปีนี้ Digimon Adventure จะถูกรีบูทมาฉายใหม่ทางทีวีในญี่ปุ่นแล้ว แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ไม่น้อยอยู่นะที่จะมีโปรเจ็คท์ใหม่ที่ตัวดำเนินเรื่องหลักเป็นเด็กกลุ่ม 02
ยังไงก็มี Story ให้เล่น อีกตั้ง 17 ปีก่อนตอนจบใน 02 นี่นา
ไม่ใช่ไรหรอก อยากดู 5555
เอ้อ อีกเรื่อง จริงๆหนัง Last Evolution เนี่ย มีนิยายด้วยนะ Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna (Mirai) สำหรับเด็กเล็ก และ Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna (Dash X) ที่เป็นนิยายของหนังทั้งเรื่อง บวกกับฉากที่ถูกตัดออก!!!
ไม่รู้จะมีค่ายไหนในไทยนำเข้ามาแปลมั่งมั้ยนะ....
เอาล่ะ เวิ่นเว้อมาซะนาน ขอสรุปจบเลยแล้วกันครับ
ที่ทำเอาผมคลั่งจนต้องไปหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของหนัง อ่านรีวิวหลายๆสำนัก นั่งฟังเพลงจากหนังซ้ำไปซ้ำมา
ก็เพราะความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้นี่แหละ
แนะนำให้แฟนๆดิจิม่อนทุกคนไปดูจริงๆครับกับ
Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna
ที่สุดแหน่งอนิเมชั่นรำลึกความหลัง
ไปอุดหนุนกันเยอะๆนะครับ ของเค้าดีจริงๆ :)
#ลุยไปทั่วทิศเครื่องติดแล้ว
#รวมพลคนรักดิจิมอน
#DigimonAdventureLastEvolution
#CARTOONCLUB
โฆษณา