28 ก.ค. 2020 เวลา 02:59 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เจ้ามือมีจริงมั้ย? ถ้าคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลแล้วตอบว่าไม่มี แต่ก็ยังเทรดทำกำไรไม่ได้ ลองมาเชื่อแบบผิดๆดูครับว่ามีเจ้ามือ แล้วจะช่วยให้ทำกำไรได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
การเทรด Forex หรือทองคำ XAUUSD มันไม่ง่ายครับ อยากจะให้มองเหมือนการแข่งกีฬา สมมุติว่าเป็นแบดมินตันระดับโอลิมปิค
องค์ประกอบหลักๆจะมีอยู่ 3 ตัว
-ตัวเรา
-อุปกรณ์ อุปกรณ์ก็จะหมายถึงพวก ไม้แบด ลูกแบด สนาม หรือว่ารองเท้าต่างๆ
-คู่ต่อสู้
ตัวแปรที่ 1 ตัวเราเองมี 2 สภาวะ คือ ทั้งความปกติและไม่ปกติ ความพร้อมกับไม่พร้อมในการแข่งขัน
ตัวแปรที่ 2 คืออุปกรณ์ แน่นอนอุปกรณ์ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยมีปัญหา พวกไม้แบด ลูกแบด สนามต่างๆ แต่ว่าเป็นไปได้ไหมที่วันหนึ่งจะมีปัญหาก็เป็นไปได้ ฉะนั้นก็เท่ากับมี 2 สภาวะเหมือนกัน ก็คือสภาวะที่เครื่องมือปกติกับไม่ปกติ
ผมต้องขึ้นโน้ตไว้ก่อนว่า ไม่ว่าสิ่งที่ผมคิดสิ่งที่ผมแชร์นี้จะถูกหรือผิด ซึ่งจริงๆผมเชื่อว่าไม่มีถูกผิดสำหรับตลาดนี้ คือไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่เอาเป็นว่าผมคิดแบบนี้ ผมสามารถทำกำไรได้อยู่ในตลาดนี้ได้
ตัวแปรที่ 3 สำคัญที่สุดคือ คู่แข่ง คำว่าคู่แข่งในตลาดเทรด Forex นี้ผมชอบใช้คำว่าเจ้ามือครับ เราอยู่ในวงการเทรดเดอร์เราน่าจะเคยได้ยินคำว่าเจ้ามือมาบ้าง เมื่อก่อนตอนที่ผมเข้ามาในวงการการลงทุน การเก็งกำไรใหม่ๆ เช่นตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว อาจารย์จะบอกว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ ความหมายคือเป็นตลาดที่ใครที่มีเงินระดับหนึ่ง สามารถควบคุมตลาดได้ Control ราคาได้ อันนี้หมายถึงหุ้นตัวที่ไม่ได้ใหญ่มาก
แต่ตอนผมมาเริ่มศึกษาการเทรด Forex แรกๆเคยอ่านข้อมูลว่าตลาดนี้ไม่มีเจ้ามือครับ เพราะตลาดใหญ่มากขนาดแบบว่า 4 Trillion ไม่มีใครมีตังค์เยอะขนาดนั้นหรอกที่จะสามารถมา Control ราคาได้ ณ ตอนนั้นผมเชื่อแบบนั้น
1
เมื่อเวลาผ่านมา แล้วมีประสบการณ์มากขึ้น ผมตกผลึกมากขึ้น ผมพบว่า ไม่ว่าตลาดนี้จะมีเจ้ามือหรือไม่มี แต่การที่ผมเชื่อว่ามีเจ้ามือ ทำให้การเทรดเปลี่ยนไป แล้วก็สามารถทำกำไรได้นะครับ เดี๋ยวเรามาดูกันว่ามันคืออะไร
ตอนนี้ผมพูดมา 3 ตัวแปรเรียบร้อยแล้ว ตัวแปรที่ 1 ตัวเราเอง มีความปกติไม่ปกติของจิตใจ อันที่ 2 เครื่องมือปกติไม่ปกติ อันที่ 3 เจ้ามือ (ผมเรียกง่ายๆว่า “เจ้ามือ” เลยละกัน ใครไม่เห็นด้วยไม่เป็นไรนะครับ) เจ้ามือก็มีความง่ายกับความยาก
ย้อนกลับมาเปรียบเทียบกับแบดมินตัน คือ ตลาดนี้เจ้ามือเปรียบเสมือนนักแบดมินตันระดับโลก ลองคิดดูว่าเราไปแข่งกีฬากับนักกีฬาระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอะไรก็แล้วแต่ เราจะรู้สึกยังไงแล้วผลมันจะเป็นยังไง มันเป็นอย่างนั้นเลย แน่นอนว่าเราก็จะแพ้อยู่บ่อยๆ แต่ถามว่าแพ้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไหม ก็ไม่ใช่
ดังนั้นไม่ใช่ว่าเราเตะร้อยครั้งพันครั้ง แล้วจะแพ้ร้อยเปอร์เซ็นต์พันครั้ง มันต้องมีจังหวะที่เราได้บ้าง เรากลับมาตรงประเด็นที่ว่า ตัวแปร 3 ตัวที่ผมพูดเนี่ยมี 2 สภาวะใน 1 ตัวแปร เขาเรียกว่า Possibility ที่เกิดขึ้น ความน่าจะเป็นที่เกิดขึ้นได้ มีทั้งหมด 8 เหตุการณ์
จับคู่กัน 3 ตัวแปร ตัวแปรละ 2 สภาวะมันคือ 2 ยกกำลัง 3 ก็ได้ 8 สถานการณ์
เครื่องมือ คำว่าเครื่องมือในการเทรดก็คือระบบเทรด Forex ระบบเทรดมันก็จะมีความน่าจะเป็น มีทั้งถูกและผิด เพียงแค่ตอนเราเซ็ตระบบ เราต้องเซ็ตให้ความน่าจะเป็นของการถูกมากกว่าผิด
เจ้ามือก็มีความง่ายกับความยาก คำว่าความง่ายกับความยากมัน related กับระบบของเราครับ ก็คือง่ายหรือยากต่อระบบเรา ต้องใช้คำนี้เพราะว่าบางช่วง ง่ายสำหรับเราแต่ยากกับคนอื่น ง่ายสำหรับคนอื่นแต่ยากสำหรับเรา
มันมีความเป็นไปได้ทั้งนั้นในตลาดนี้ เพราะดังนั้นหนึ่งในแปดที่เป็น Best Case ที่ดีที่สุดคือ สถานการณ์ที่ใจเราปกติแล้วไปเจอช่วงจังหวะที่ระบบเราให้ความน่าจะเป็นที่ถูกต้องพร้อมกับสภาวะตลาดเอื้ออำนวย
แต่ถามว่า Worst Case คืออะไร คือใจเราไม่ปกติอาจจะใจร้อน อารมณ์ไม่ดีอะไรก็แล้วแต่ บวกกับ อันที่ 2 มาเจอช่วงจังหวะนั้นที่เป็นความน่าจะเป็นที่ระบบจะต้องผิด และบวกกับ อันที่ 3 เจอช่วงที่เจ้ามือโหด ก็คือไม่เหมาะสมกับระบบเรา
แล้วถามว่ากลางๆคืออะไร กลางๆก็จะแบบว่าผสมกัน เช่น ใจเราปกตินิ่งๆ ไม่ได้โลภ ไม่ได้กลัวอะไร ระบบเราก็ถูก ก็คือแบบว่าไปเจอช่วงความน่าจะเป็นที่จะถูกต้องพอดี แต่ไปเจอช่วงที่ตลาดโหด เช่น เครื่องมือเราเหมาะกับการเล่น Sideway แล้วพอไปเจอช่วงตลาดที่เป็นเทรนด์แรงมากๆเนี่ย ยังไงก็ตาย
เพราะ Sideway เราเชื่อว่ามันจะขึ้นๆลงๆไม่ไปไหน ไม่ว่ากรอบจะใหญ่หรือกรอบเล็กแต่ถ้าไปเจอช่วงที่เจ้ามือโหดมากๆ เวฟ 3 ของ 3 ของ 3 เนี่ย มันก็จะพุ่งแบบพุ่งไม่หยุดเลย ดังนั้นระบบเราก็จะเอาไม่อยู่
เห็นไหมครับว่า ตัวเรานิ่ง ระบบดี แต่ว่าตลาดไม่เอื้อ เราก็ทำกำไรไม่ได้ นี่คือมุมมองที่ผมอยากจะแชร์ว่า เราต้องเข้าใจความน่าจะเป็นเหล่านี้ก่อน เวลาเราเทรดได้หรือเทรดเสีย ให้เราหยุดคิดนิดนึงว่า ผลลัพธ์ที่มันได้มันได้เพราะอะไร
ถ้ามันได้เพราะแบบว่าใจเราก็ปกติ เราก็ทำตามระบบทุกอย่าง แล้วตลาดมันก็แกว่งไปแกว่งมา ไม่เป็นเทรนด์แรงมากอย่างที่เราดีไซน์ไว้ แต่ถ้ามันเสียเราก็มาดูว่าเช่นอย่างที่บอกตลาดมันแรง แต่ระบบเราเหมาะกับ Side Way
เวลาผิดเราต้องคิดอะไรไหม ไม่ต้องคิดนะครับ ไม่ต้องโทษตัวเองไม่ต้องโทษระบบไม่ต้องโทษใครเลย เพราะมันเป็นความน่าจะเป็นที่ต้องผิด
สมมุติเราโยนเหรียญ หัวก้อย 100 ครั้ง ความน่าจะเป็นก็มีเพียงหัวๆก้อยๆ ก้อยๆหัวๆสับไปมา การที่จะเกิด Consecutive ก็เป็นความน่าจะเป็นที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แต่ก็จะมีจำนวนที่จำกัดว่ติดกันเท่าไหร่ เรียกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าโยนแล้วหัวออกมา 20 ครั้งติดกัน อันนี้ไม่ปกติ
กำลังบอกว่าถ้าเราเทรดไปตามระบบทุกอย่าง เราเชื่อว่าใจเรานิ่งเราทำตามระบบทุกอย่าง แล้วเกิดมันผิดติดกัน 4 ครั้ง หรือ 5 ครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราจะบอกว่าระบบเราใช้ไม่ได้ ต้องแก้ ต้อง คิดใหม่ ต้องปรับปรุง
แล้วทุกครั้งที่เจอแบบนี้ผิด 4-5 ครั้งติดกัน ก็จะมีการทิ้งระบบเก่าหาระบบใหม่ อินดิเคเตอร์ใหม่ วนไปเรื่อยๆถูกไหมครับ เพราะผมเป็นมาก่อนผมเชื่อว่าทุกคนก็เป็น
ที่ผมเล่าให้ฟังว่ามี 8 ความน่าจะเป็น ความหมายก็คือให้เราหยุดคิดนิดนึง อย่าไปโทษระบบอย่างเดียว การที่เราจะได้หรือจะเสียมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบอย่างเดียว มันมี 3 ตัวแปรถูกไหมครับเราอย่าไปโทษระบบอย่างเดียว
ดูใจเราด้วยว่าเราเทรดด้วยความโลภเกินไปไหม ความกลัวเกินไปไหม แล้วตลาดช่วงนั้นมันเป็นยังไง มันปกติหรือวิ่งแบบแรงๆ เราต้องหาตัวโทษให้ถูกนะครับ อย่าโทษระบบอย่างเดียว
1
ถ้าเราโทษระบบอย่างเดียว เราก็จะวนอยู่อย่างนี้พายอยู่ในอ่างวนอยู่ในอ่าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆก็จะไม่มีตัวไหนที่ทำกำไรได้สักที
อันนี้เป็นแนวคิดของผม อยากให้ทุกคนพยายามวิเคราะห์อย่าโทษระบบอย่างเดียว พยายามโทษตัวเองบ้างโทษตลาดบ้างก็ได้
ผมเข้าใจทุกคนนะครับ แม้กระทั่งผมเองเมื่อก่อนก็โทษระบบ ถ้าเราไม่ได้คิดที่เป็นหลักการตรงนี้ เราก็โทษระบบเพราะว่า การโทษระบบมันง่ายที่สุดครับ ตีแบดแล้วไม่แรง ไม่ลง อ่ะซื้อไม้แบดใหม่ มันง่ายถูกไหมครับซื้อไม้แบดใหม่ซื้อลูกแบดใหม่
แต่ถ้าบอกว่าตบไม่ลงเพราะฝีมือเราไม่ดีสิ่งที่เกิดขึ้นคือต้องฝึกฝนอีกมากมาย เห็นไหมเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่เมื่อกี้เป็นไงก็แค่ซื้อไม้แบดใหม่ง่ายดี
หรือปัจจัยเรื่องคู่แข่ง ตัวแปรนี้เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว พอเขาเก่งเราจะไปบอกว่ายูเก่งน้อยลงหน่อยได้ไหม อ่อยให้ไอหน่อยได้ไหม ไม่มีทาง
เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่โทษระบบอย่างเดียว โทษใจเราด้วยว่าใจเรานิ่งหรือเปล่า ส่วนเรื่องตลาดเราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ที่นี่ย้อนกลับไปตอนแรกเลยผมเปิดเรื่องว่า เจ้ามือ คือผมต้องบอกว่าตอนเริ่มต้นจนมาถึงจุดที่ก่อนจะเทรดได้ กำไร ก็เกิดอาการแบบโลกสวย คิดว่าการเทรดคือคณิตศาสตร์ มันคือวิทยาศาสตร์ 1 + 1 = 2 แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ครับ ผมมองว่ามันคือศิลปะ
มาถึงอันนี้ผมเชื่อว่ามีหลายๆคนไม่เห็นด้วย แต่ตลาดนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ 1 + 1 = 2 มันไม่มีคำตอบที่ตายตัวแน่นอน
ย้อนกลับไปที่การแข่งขันแบดมินตันครับ สมมุติเราดูเทปการแข่งขัน นายเอสู้กับนายบี นายเอนี่แบบได้แชมป์ เก่งมากเลย เราดูไปเลยร้อยเทปการแข่งขัน แล้วเรารู้ว่าวิชาเขาคืออะไร มาทรงนี้จะตีท่าไหน
ผมถามว่า แล้วพอเราลงไปแข่งจริงๆเนี่ย มันเป็นอย่างนั้นตลอดไหม ไม่ครับ เพราะว่านายเอเป็นคนครับ ไม่ใช่สิ่งของที่อยู่นิ่งๆ คือเมื่อนายเอรู้ว่ามีคนมาเรียนรู้เขา มีคนจะมาแข่งกับเขา สิ่งที่นายเอทำก็คือพัฒนาตัวเอง นายเอก็พยายามมาเรียนรู้ตัวเราว่า เราไปรู้ว่านายเอเป็นยังไง เพื่อที่จะมาแก้อีกทีนึง หลอกในหลอกอีกชั้นนึง ดังนั้นมันก็จะยากขึ้นไปเรื่อยๆ
ผมจึงบอกว่าการเทรด Forex เป็นศิลปะมันไม่ใช่ 1 + 1 = 2 แน่นอนครับ ผมค่อนข้างมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีต่อการเทรด Forex ผมมองว่าการเทรด Forex มันเหมือนกับเป็นโคโลเซียม ที่สมัยโบราณที่เขาเอานักรบมาแข่งกัน มันเหมือนเป็นโรงเชือด ความหมายก็คือเมื่อคุณลงไปในตลาดแล้วเขาก็จะมีอาวุธกองอยู่กองหนึ่งให้ไปเลือกอาวุธ อาวุธนี้ก็เปรียบเสมือนพวก Indicator ต่างๆเครื่องมือต่างๆในการเทรด เลือกมาฟาดฟันกันเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณไม่รู้ว่าดาบที่เขากองให้มันทู่หรือเปล่า คุณเอามาฟันตรงๆมันไม่เข้า ดังนั้นพวกเครื่องมือต่างๆที่เราเรียนรู้กันมาทั้งหมด เราคิดว่ามันคือ 1 + 1 = 2 ตัดขึ้นซื้อ ตัดลงขาย เราคิดว่ามันง่ายแบบนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะตลาดนี้มันโหดร้าย
การได้คือได้เงิน การเสียคือเสียเงิน ดังนั้นไม่มีใครมาแจกเงินเราง่ายๆอยู่แล้ว ผมกำลังจะสื่อว่าอินดิเคเตอร์ต่างๆที่เราเรียนมา เวลาใช้เราต้องใช้แบบประยุกต์ครับ
กลับไปเมื่อกี้นี้ถ้าเป็นดาบนะ เขาเอาดาบมากองให้แต่ไม่คม สิ่งที่คุณทำก็คือฟันไม่เข้าใช่ไหม งั้นเปลี่ยนเป็นแทงแล้วกัน ใช้ดาบเหมือนกันนะแต่ประยุกต์ ถ้าเราเปรียบเทียบกับการเทรด Forex เช่นการดู Indicator สัญญาณ Divergence ถ้าคนเข้ามาเทรดใหม่ๆก็จะมองว่ากลับตัวถูกไหมครับ
ลองไปดูกราฟเวลามัน Divergence เมื่อไดแล้ว มันก็ย่อมานิดนึงครับ ไม่ได้กลับตัว เสร็จก็ขึ้นไปทำไดอีก แต่ราคาก็ขึ้นไปอีกนะ แล้วก็ไดซ้ำอีก แล้วก็ย่อแล้วก็ขึ้นอีก ไดแล้วไดอีก แล้วราคาก็ขึ้นไปเรื่อยๆสุดท้ายก็พุ่งขึ้นไป ก็ล้างไดไปจบ กับอีกแบบก็คือมันไดทั้ง 3-4-5 ครั้ง แล้วเดี๋ยวมันจะกลับตัว
เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนจากอาการฟันมาเป็นแทงความหมายก็คือ ลองไปศึกษาดูว่า Divergence ให้เรามองว่าเป็นเครื่องมือแห่งการเตือนเฉยๆว่า มันเริ่มมีสัญญาณอยากจะกลับตัวแล้วนะ แต่มันยังไม่กลับทันทีหรอก
ที่นี้เราก็เอามาตั้งเป็นระบบในการเทรดแล้วกัน เห็นไหมเมื่อเราคิด Concept ปั้บ เราตีออกมาเป็นระบบ ความหมายก็คือเอา Concept นี้ไปจดออกมาเป็นสถิติว่า ถ้ามีการ Divergence ซ้ำๆ สักกี่ทีถึงจะมีโอกาสในการกลับตัวจริง
ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราดู Time Frame H1 ย้อนหลังไป ปรากฏว่ามันไดมาประมาณ 4 ครั้ง แล้วมันจะเริ่มกลับแรง แน่นอนว่าเราต้องตีออกมาว่ามันมีความน่าจะเป็นซักกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดแบบนี้ 4 ครั้งแล้วกลับมั้ย หรือต้องกี่ครั้งแล้วกลับแรง ถ้าเรามองว่าความน่าจะเป็น 60 กว่า ก็โอเคใช้ได้แล้ว เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นก็ซัดเลย
1
อันนี้ก็เป็นเพียง Concept นะครับแต่ในรายละเอียดต้องมาดูอีกทีว่า ถ้ามันไม่ถูกต้อง Stop Loss ควรจะอยู่ตรงไหน จากการ Back Test ต้องเซ็ตระบบลงไปให้ละเอียดกว่านี้
กลับมาตรงโคลอสเซียมว่า สิ่งที่เขาสอนให้คนทั่วโลกรู้ Indicator ตัวนี้เป็นยังไงใช้ยังไง มันใช้ตรงๆแบบนั้นไม่มีทางได้กำไร ตลาดนี้โหดร้ายมาก แต่มันเป็นไปได้ในการที่จะทำกำไร เพียงแต่ว่าเราต้องเปลี่ยนมุมมอง พอผมเริ่มมองว่ามีเจ้ามือจริง แล้วมองว่าเครื่องมือที่เขาสอนเผลอๆมาจากเจ้ามือด้วยซ้ำ เจ้ามืออาจจะเป็นคนปล่อยเครื่องมือเหล่านี้ออกมาในตลาดเนียนๆนะครับ
พอสอนแบบทั่วไปกับคนทั่วโลก เจ้ามือรู้เลยว่าคุณอะรู้อะไร เพราะเราเรียนมาเหมือนกัน ตำราทุกคนเหมือนกันเป๊ะ เจ้ามือรู้เลยว่าทุกคนคิดอะไรแต่เราไม่รู้เลยครับว่าเจ้ามือคิดอะไร ถูกไหมครับ
ยกตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งเรื่องเจ้ามือนะครับ สังเกตได้จากพฤติกรรมของกราฟลองดูช่วงที่มัน Sideway มันเหมือนกับบ่อน จะขึ้นหรือลงให้เลือกแทงถูกไหมครับ แน่นอนว่ามีทั้งคนที่ Buy และคนที่ Sell ในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวลาเจ้ามันจะไปทางไหนมันจะพยายามสะบัดทุกคนออกไป แล้วมันจะวิ่งอยู่คนเดียว
ตัวอย่างเช่น พอมันไซด์เวย์พอมีคนมาแทงเสร็จ สมมุติว่าเจ้าจะดึงขึ้น ตอน Sideway มีกรอบในการวิ่งขึ้นลงนิดหน่อย สิ่งที่ทำก็คือมันจะเบรคขึ้นมานิดนึง พอเบรคขึ้นมาสิ่งที่เกิดขึ้นคือ
กลุ่มที่ 1 ที่เมื่อกี้แทงว่าขึ้นไว้ ก็ดีใจ และทำการ buy เพิ่มขึ้นถูกไหมครับผมเชื่อว่าทุกคนเคยทำผมก็เคยทำ
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่แทงว่าลงเมื่อกี้นี้ ตายครับเพราะว่าคนที่ sell ส่วนใหญ่จะ Stop Loss ไว้เหนือกรอบ และแอคชั่นต่อมาของคนกลุ่มที่ sell คืออะไรรู้ไหมครับ คือเกิดการเปลี่ยนใจเปลี่ยนเป็น buy ครับ
กลายเป็นมี buy เก่า, มี buy เพิ่มของคน buy เก่า, มี buy ใหม่ของคนที่ sell เปลี่ยนใจมาเป็น buy และสิ่งที่เจ้าทำคืออะไรครับ มันก็เด้งขึ้นมานิด และดึงกลับลงมา
ทีนี้คนก็จะคิดว่า ตกลงจะขึ้นหรือไม่ขึ้นเนี่ย แล้วก็ Sideway ไปอีกนิดนึงไนกรอบ Sideway ไปมาเรียกลูกค้าเพิ่มได้อีก สักพักเป็นยังไงครับ กราฟทำการเบรคลงข้างล่าง
ก็เหมือนเดิม พอเบรคลงข้างล่าง กลุ่มที่ buy ก็ตายครับผมเพราะตั้ง stop loss ข้างล่าง
กลุ่มคนที่เซลก็ดีใจ ก็เซลเพิ่ม คนที่ buy โดน stop loss ไปก็เปลี่ยนมาเป็น sell แล้วเจ้ามือก็กวนอีกครับ คือไม่ยอมลงครับดึงขึ้นกลับมาอยู่ในกรอบ
ประสาทเสียไหมครับ ผมคิดว่าทุกคนเคยเจอแน่นอน แล้วอีกสักพักมันเบรคขึ้นข้างบนครับ
เชื่อว่าจังหวะนี้คนเริ่มสับสนประสาทเสีย และไม่กล้า Action ทำอะไรแล้ว และสิ่งที่เจ้าทำก็คือดึงขึ้นไปเรื่อยๆ จังหวะที่ดึงขึ้นไปเรื่อยๆคนยังงงอยู่ มันเหมือนกับ เรื่องเทรนไลน์ ต้องอาศัย จุด 2 จุด ถูกไหม เพื่อเชื่อมโยงแล้วโปรเจคชั่นไปข้างหน้า สมองคนก็เหมือนกันครับ การเรียนรู้ก็ต้องมีอย่างน้อยจุดเชื่อม 2 จุด เพื่อโปรเจคชั่น ความน่าจะเป็นไปข้างหน้าได้ ถูกไหมครับ
2
เหมือนกันครับแต่อันนี้เอามาใช้ในการหลอกคน พอหลอกครั้งที่ 1 ว่าขึ้น เราโดนหลอก หลอกครั้งที่ 2 ว่าลง เราก็โดนหลอก ครั้งที่ 3 เราจะกลัวว่าจะโดนหลอก เจ้ามันรู้ว่าเรากลัว ก็เลยจะไม่หลอก เลยเบรคขึ้นจริงๆเลย ถถถ
จนถึงจุดหนึ่งที่คนมองว่าขึ้นจริงแล้วก็จะ buy ตาม จุดนั้นจบพอดีครับ เหมือนจบ Wave 3 แล้วคุณก็จะเข้าไปติดใน Sideway พักนึง คือเวฟ 4 เสร็จปั๊บมันก็เบรคขึ้นไปอีกนิดนึงทำให้คุณดีใจแต่จริงๆแล้วมันคือเวฟ 5 แล้วเบรคขึ้นครั้งสุดท้าย เป็นไงครับ จบเวฟ 5 มันก็ทิ้งลงมาเป็น ABC สนุกไหมครับ
ผมอยากให้เราทุกคนลองคิดว่าถ้าเราเป็นเจ้ามือ แล้วเราต้องการหลอกเอาเงินจากคนในตลาด เราจะทำยังไง สนุกครับลองนั่งดู Back Test ลองดูคล้ายๆกับการดู Price Action แต่ว่าดูเป็นแผงดูเป็นเรื่องเป็นราว ดูพฤติกรรมเป็นกลุ่มของกราฟ มีหลายท่ามาก
อันนี้คือเป็นมุมมองใหม่ที่อยากจะนำเสนอให้ทุกคนพยายามลองศึกษาดูครับ ใครมีไอเดียความคิดเห็นอย่างไรมาลองพูดคุยกันดูครับ
การเทรดเป็นศิลปะ ไม่มีถูกผิด ผมพร้อมรับฟังความเห็นเสมอครับ
สามารถติดตามอ่านบทความแนวคิดใหม่ๆในการเทรด Forex และทองคำ XAUUSD จากเทรดเดอร์ตัวจริงที่สามารถทำกำไร หยิบเงินออกมาจากตลาดอันโหดร้ายนี้ได้ที่
คิดแบบเดิม เทรดแบบเดิม ขาดทุนเหมือนเดิม ลองมาคิดแบบใหม่ดู จะได้มีโอกาสในการทำกำไรบ้างนะครับ
โฆษณา