ไมเคิล เฟลป์ส (Michael Phelps) นักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักว่ายน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยการคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติรวมทั้งหมด 28 เหรียญ
.
เเละยังเป็นเจ้าของสถิติโลกในการว่ายน้ำประเภทต่างๆ มากถึง 39 รายการ ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์
.
ในการแข่งโอลิมปิกทั้งสามครั้งที่ผ่านมาถ้าหากเปรียบ เฟลป์ส คนเดียวเป็นประเทศหนึ่ง ประเทศเฟลป์ส จะได้อันดับเหรียญอยู่ในอันดับที่ 12 จากทั้งหมด 206 ประเทศ
.
เฟลป์สถือเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ดีที่สุดที่โลกนี้เคยเห็นมา โดยเขามีความสูง 193 เชนติเมตร หนัก 90 กิโลกรัม
.
ส่วนนักกีฬาอีกคน คือ ฮีแชม เกอร์รูจ (Hicham El Guerrouj) นักวิ่งทีมชาติโมร็อกโก เจ้าของสถิติโลก ระยะ 1,500 เมตร และ 2,000 เมตร ซึ่งเขาเป็นเจ้าของ เหรียญทองโอลิมปิก 2 เหรียญ และยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักวิ่งระยะกลางที่ดีที่สุดในโลกด้วย
.
ชื่อของ ฮีแชม เกอร์รูจ ได้รับการบรรจุเข้าอยู่ในหอเกียรติยศ ของ IAAF (International Association of Athletics Federation) ซึ่งเขามีความสูง 176 เชนติเมตร หนัก 58 กิโลกรัม
.
ทั้ง ไมเคิล เฟลป์ส และ ฮีแชม เกอร์รูจ ขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาที่ซ้อมหนักมาก โดยเฉพาะ ไมเคิล เฟลป์ส ที่ซ้อมว่ายถึงสัปดาห์ละ 7 วัน วันละ 8-10 ชั่วโมง หมายความว่าใน 1 ปี เขาไม่มีวันหยุดเลยแม้แต่วันเดียว
.
แต่ความจริงเเล้ว แค่การซ้อมหนักอย่างเดียวพอหรือเปล่า
.
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เขาทั้งสองคนใส่กางเกงที่มีความยาวจากเป้าด้านล่างลงไปถึงปลายขากางเกงด้านในเท่ากัน
.
คำถามคือ มันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อทั้งสองความสูงต่างกันตั้ง 17 เชนติเมตร ?
.
คำตอบคือ เฟลป์ส มีขาที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับความสูง เเต่เขามีช่วงตัวที่ยาวมากและน้ำหนักเยอะกว่าเกอร์รูจ
.
ในขณะที่เกอร์รูจมีช่วงตัวที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับความสูง นั่นจึงทำให้เขามีช่วงขาที่ยาวมากเมื่อเทียบกับความสูงของเขา และเขาก็เป็นคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป
.
กล่าวคือ นักกีฬาที่ช่วงตัวยาวจะได้เปรียบมากตอนว่ายน้ำ และน้ำหนักตัวไม่ได้มีผลอะไรมากนักเพราะอยู่ในน้ำ
.
ส่วนนักกีฬาที่ช่วงขายาวได้เปรียบมากตอนวิ่ง และน้ำหนักตัวที่น้อยก็ทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น
.
เเต่ถ้าเราสลับกัน โดยเปลี่ยนให้ ไมเคิล เฟลป์ส มาเล่นกีฬาวิ่ง เเละให้ ฮีแชม เกอร์รูจ มาว่ายน้ำเเทน
.
คุณคิดว่าทั้งสองคนจะเป็นสุดยอดนักกีฬาได้ไหมครับ ?
.
ดังนั้น “ความสำเร็จ” จึงไม่ได้อยู่ที่ความรักในสิ่งที่ทำ หรือ การทำงานหนักเพียง เท่านั้น
.
แต่ต้องดูด้วยว่า เราทำอะไรอยู่ เเละ เราอยู่ถูกที่หรือเปล่า
.
เพราะถ้าหากเราอยู่ผิดที่ผิดทาง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะสำเร็จได้เหมือนกัน...