๒๒ อุทานคาถา (ธรรมที่ทำให้สิ้นสงสัย ๑)
๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗
นโม ...
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา ...
เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่งขึ้นด้วยพระองค์เอง ปรารภถึงธรรมว่า เป็นของอัศจรรย์นัก
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ฯ “เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป”
"ธรรมที่เกิดขึ้นแก่พราหมณ์ ถ้าว่าไม่รู้จักฟังสัก ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่ได้เรื่อง อุทานคาถานี้ลึกซึ้งอยู่ ไม่ใช่ของง่าย เผอิญจะต้องกล่าวไว้ย่อ เรียกว่า อุทานคาถา”
ธรรมนั้นมีอยู่ที่มนุษย์ทุกคนเรียก “ดวงธรรม” บางคนเห็น บางคนไม่เห็น เหมือนคนตาบอด
พระพุทธเจ้ารับสั่งในเรื่องธรรมว่า ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันทันตาเห็น “ทิฏฺฐ ธมฺมสุขวิหารี"
พวกได้ธรรมกาย มีธรรมปรากฏแก่ตัวเสมอ ติดอยู่กับใจคนนั้นสว่างไสว ถ้าปฏิบัติดีก็สว่างเหมือนดวงอาทิตย์เวลากลางวัน
ธรรมมีหลายดวง สว่างต่างกัน เหมือนประทีปเล็กก็สว่างน้อยกว่า มนุษย์มีธรรมทุกคน เรียกดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ตั้งแต่ดวงธรรม กายมนุษย์ ถึงกายธรรมพระอรหัต
“เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวง ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป" เพราะใจไปติดอยู่เสียกับธรรม เห็นธรรมแล้ว ก็หมดสงสัย
ธรรมน่ะอยู่ที่ไหน ?
มนุษย์อยู่ที่ไหน ธรรมอยู่ที่นั่น เรียกดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์ ใจติดกับดวงธรรมกายมนุษย์ ได้ชื่อว่าธรรมนั้นปรากฏแก่มนุษย์นั้นแล้ว
ถ้าใจกายมนุษย์ละเอียดติดที่ศูนย์กลางดวงธรรมกายมนุษย์ละเอียด ธรรมนั้นก็ปรากฏแก่กายมนุษย์ละเอียด เป็นเช่นนี้ผ่านกายต่าง ๆ จนถึงกายอรหัตละเอียด ติดอยู่เสมอไม่หลุด ได้ชื่อว่า ธรรมปรากฏ
“ธรรมอันนี้แหละเป็นตัวจริงละ ให้เอาใจติดอยู่ตรงนี้แหละ อย่าไปเที่ยวหาอื่นให้มันอื่นจากศูนย์กลางกายมนุษย์ กลางกายของตัวไปเลย ตรงนั้นแหละ เอาใจไปจรดอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้ายังไม่เห็น นาน ๆ ก็เห็นเอง พอถูกส่วนเข้าก็เห็นเอง ที่ไปหาที่อื่น ไปหาธรรมในป่าในดอนในดงกันยกใหญ่ทีเดียว เพราะไม่เห็น พอไปเห็นเข้าแล้ว โธ่...ผ้าโพกหัวหาแทบตายไม่เห็น อยู่บนหัวนี่เอง ไปหาธรรมแทบตาย ธรรมอยู่กลางของตัวนั่นเอง"
มนุษย์ยังสงสัยกันอยู่ว่า ธรรมอยู่ที่ไหนแน่ จึงควรเอาใจจรดตรงศูนย์กลางกาย นาน ๆ เข้าก็จะเห็นเอง ไม่ใช่ที่ไปหาธรรมกันตามป่า แต่อยู่ในตัวเอง
“เพราะพราหมณ์นั้นได้รู้จักธรรมว่าเกิดแต่เหตุ"
ธรรมเกิดแต่เหตุอย่างไร ?
เมื่อเพ่งพินิจดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ รู้ทีเดียวว่าธรรมเกิด แต่เหตุที่มนุษย์ทำ ถ้ามนุษย์บริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างถ่องแท้ ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ทำความบริสุทธิ์ จะเป็นอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เพราะธรรมนั้นดำขุ่นหมองเศร้ามัวไปหมด
ทั้งกายมนุษย์ และกายมนุษย์ละเอียด ทั้ง ๒ กายเป็นกายที่มารวมกัน ทำความบริสุทธิ์ของตัวไว้ ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่มีร่องเสียเลย
เมื่อบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ เช่นนี้แล้ว
พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จึงอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญต่อไปด้วย :-
ทาน ตามกำลัง ตามกาลสมัย
ศีล ให้ยิ่งขึ้นไปทั้งกาย วาจา ใจ
สุตะ ฟังธรรม
จาคะ ให้อภัย ยิ้มแย้มแจ่มใสแก่กันและกัน
ปัญญา รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ สูงต่ำ ดีชั่ว ผิดชอบ เป็นผู้ใหญ่มีใจโอบอ้อม เป็นผู้น้อย ก็เคารพยำเกรงผู้ใหญ่ เคารพกันตามหน้าที่ พรรษา อายุ และคุณธรรม
ทำได้อย่างนี้ได้ชื่อว่า “แตกกายทำลายขันธ์จากโลกมนุษย์นี้ ทำดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์บังเกิดขึ้น”
ยังเวียนว่ายในกามภพ ยังสุขไม่พอ รู้ทีเดียวว่า ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นจากเหตุ ทำขึ้น บำรุงขึ้นให้เป็น จึงทำรูปฌานต่อ บำเพ็ญความดีทั้ง ๕ ข้อข้างต้นต่อ ถูกส่วนเห็นดวงปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และด้วยอำนาจความดีทั้ง ๕ ข้อ เกิดธรรมเป็นกายรูปพรหม ทำยิ่งขึ้นเช่นนี้อีกถึงกายธรรมพระอรหัต
เหตุของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ นี่แหละให้เข้าถึงกายธรรมได้ กายธรรมโคตรภู โสดา สกทาคา อนาคา ถึงอรหัต ทั้งหยาบและละเอียด ก็ทำแบบนี้ พราหมณ์ก็รู้ว่าธรรมเกิดแต่เหตุ เหตุที่กระทำลงไปอย่างนี้ ไม่กระทำไม่เกิด
ยโต ขยํ ปจฺจยานํ เพราะพราหมณ์นั้นได้รู้จัก ความสิ้นไปของปัจจัยทั้งหลาย
เมื่อพราหมณ์เดินขึ้นไปเป็นลำดับจนถึงกายพระอรหัต ก็รู้ชัดถึงความสิ้นไป ไม่มีปัจจัยตรึงไว้ บังคับไว้ อันเกิดจาก:-
- ในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ที่ชะลอกายมนุษย์ไว้ได้นี้ เพราะอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ เป็นตัวบังคับธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ทั้งหยาบละเอียด
- กายทิพย์หยาบละเอียด มีโลภะ โทสะ โมหะ
- กายรูปพรหมหยาบละเอียด ถูกราคะ โทสะ โมหะ บังคับไม่ให้ขึ้นไปจากภพ
- กายอรูปพรหมหยาบละเอียด เพราะกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย บังคับให้พ้นจากภพไม่ได้
- กายธรรมโคตรภูหยาบละเอียด เพราะสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นสังโยชน์ เป็นปัจจัยป้องกันไม่ให้หลุดไปจากโคตรภูบุคคลได้
- พระโสดาหยาบละเอียด ยังมีกามราคะ พยาบาท
- พระสกทาคาหยาบละเอียด ยังมีกามราคะ พยาบาทอย่างละเอียด
- พระอนาคาหยาบละเอียด ยังมีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา (สังโยชน์เบื้องสูง) ทำให้เป็นพระอรหัตไม่ได้ เป็นลิ่มสลักอยู่อย่างนี้
จะให้หลุด ท่านจึงเดินทางศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ บรรลุพระอรหัต หลุดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เรียกขีณาสโว “ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว” คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ทิฏฐาสวะ ไม่มีในพระอรหัต
พราหมณ์จึงรู้ความสิ้นไปของปัจจัย เป็นพระอรหัตแล้วหลุดจากปัจจัยหมด เป็นสมุทเฉทปหาน
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ฯ เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดำรงอยู่เหมือนดวงอาทิตย์ผุดขึ้นมากำจัดมืด กระทำอากาศให้สว่างฉะนั้น
เมื่อเข้าถึงพระอรหัต ไม่มีค่ำ มีแต่สว่าง เพราะดวงธรรมเต็มที่แล้ว (เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๐ วากลมรอบตัว) เทียบเหมือนดวงอาทิตย์อุทัย กำจัดมืด แต่ดวงธรรมสว่างทะลุตลอด ใต้แผ่นดินก็สว่างหมด เหนือดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ในถ้ำ เหว ปล่อง ตับ ไต ไส้พุง
ท่านจึงยืนยันว่า นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี ดวงธรรมนั้นแหละให้เกิดปัญญาสว่าง ไม่มีที่กำบังได้
“ฟังพอดีพอร้ายไม่รู้เรื่อง เมื่อเป็นของลึกซึ้งขนาดนี้ละก็ จำเอาไว้ว่า เราจะต้องทำให้เป็นเหมือนอย่างนี้ นี่ที่เขาเป็นธรรมกาย เขารู้หนา”
“ผู้ที่ไม่เห็น ไม่เป็นปรากฏ ก็เท่ากับตาบอด ไปไหนไม่รอด ติดอยู่แค่กายมนุษย์นี่เอง ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ก็ไม่เห็น ไม่เป็นกับเขา เมื่อไม่เห็น ไม่เป็นกับเขา ก็ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ไม่มีสุข ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ก็เป็นสุข
”ธมฺมสุขวิหารี ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ก็เป็นสุขในปัจจุบัน ทันตาเห็น
อกาลิโก เข้าถึงดวงธรรม เป็นสุขเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องผลัดเวลา ไม่มีกาลเวลา
เอหิปสฺสิโก เป็นดวงสว่างกับใจ อาจเรียกผู้อื่นเข้ามาดู “เหมือนกับเทศน์ให้ฟังอย่างนี้แหละ เรียกบุคคลผู้อื่นให้เข้ามาดูได้ เป็นดวงขนาดนั้น โตเท่านั้น สว่างถึงนั่น”
โอปนยิโก ไม่ใช่เป็นของแข็ง น้อมเข้าไว้ในใจได้ จะไว้ที่ไหนก็ได้ ซ้ายขวาหน้าหลัง
ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตัว ใครเข้าถึง ใครก็รู้ ใครทำเป็น ใครก็เห็น ใครได้ ใครก็ถึง ใครไม่ได้ ใครก็ไม่ถึง ใครไม่เป็น ใครก็ไม่เห็นเท่านั้น
โฆษณา