๒๓ ปัพพโตปมคาถา (มรณภัย)
๒๘ มีนาคม ๒๔๙๗
นโม ...
ยถาปิ เสลา วิปุลา .....
พระสูตรนี้แสดงถึงความแก่และความตายที่ครอบงำสัตว์ทั้งหลายให้สิ้นไป โดยอาศัยภูเขาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ
หญิงชายที่เกิดมา ย่อมแปรไปทุกอนุวินาที จนกระทั่งดับสูญ ถ้าไม่มีบุญวาสนาเต็มด้วยฤทธิ์แล้ว ไม่ถึงปลายชีวิตสักคน น่าสลดใจนัก
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาไว้ว่า :
ยถาปิ เสลา วิปุลาฯ ภูเขาทั้งหลายล้วนแล้วด้วยศิลาอันไพบูลย์สูงจรดฟ้า หมุนบดสัตว์เข้ามาโดยรอบทั้ง ๔ ทิศ แม้ฉันใด ความแก่และความตายย่อมท่วมท้นสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น ฯลฯ
pixabay
ขยายความ :-
พระพุทธองค์ทรงเปรียบว่า ภูเขาศิลาตันทึบไม่มีช่องน้ำหรือโพรง กลิ้งมาจาก ๔ ทิศ บดเข้ามาจรดกันตรงกลาง แม้แต่มดเล็น ต้นหญ้าย่อมไม่เหลือ กลิ้งเข้ากลิ้งออกอยู่อย่างนี้ เหมือนชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ตาย ความแก่และความตาย ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งสิ้นให้วินาศ ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ พลเรือน ฯลฯ
“อันใคร ๆ ไม่อาจจะชนะความแก่และความตายด้วยการรบด้วยเวทมนต์ หรือการรบด้วยทรัพย์ จะเอาชนะความแก่และความตายไม่ได้เลย”
บัณฑิตผู้เห็นประโยชน์ตน จึงควรศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บุคคลใดประพฤติธรรมด้วยกาย วาจา ใจ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ละโลกไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์
วันคืนล่วงไป ชีวิตจิตใจ ความเป็นอยู่ของเราล่วงตามไปด้วย ดังนั้นเกิดมาแล้วต้องไม่ถอยหลัง หรือห่วงหน้าพะวงหลัง รอใครไม่ได้ทั้งนั้น
“ชีวิตที่เป็นอยู่ ๑๐๐ ปี พอหมดไปเสียวันหนึ่ง ก็ขาด ๑๐๐ ปีไปวันหนึ่งแล้วลดคืนหนึ่ง ผ่านร้อยปีไปคืนหนึ่งแล้ว หมดเสียวันกับคืนหนึ่ง ขาดร้อยปีไปวันกับคืนหนึ่งแล้ว อย่างนี้เรื่อยไป เมื่อวันคืนเดือนปีล่วงไปเท่าไร ชีวิตก็หมดไปเท่านั้น”
ใครทำให้เป็นเช่นนั้น ?
สภาพความเป็นเองปรุงแต่ง หรือใครปรุงแต่ง ทั่วทั้งชมพูทวีป หมดทั้งแสนโกฏิจักรวาล หมดทั้งอนันตจักรวาล ตลอดนิพพาน ภพสาม โลกันต์ ไม่รู้กันทั้งนั้นว่าเพราะอะไร ?
แต่วัดปากน้ำมีคนรู้ขึ้นแล้ว
“พญามารนั้นเองเป็นคนทำให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย เกิดแก่เจ็บตายอย่างยับเยิน" เพราะธรรมดาของการเกิดไม่ได้เดือดร้อน คลอดลูกเหมือนการขับถ่ายธรรมดา “ที่เดือดร้อนยับเยินเช่นนี้ เพราะพญามารเขาส่งฤทธิ์ ส่งเดช ส่งอำนาจ ส่งวิชชา ที่ศักดิ์สิทธิ์มาบังคับบัญชาให้เป็นไป” เช่น แม่ตาย พ่อก็จะขอตายตามแม่ เลยไปกระโดดน้ำตาย เป็นต้น ที่ทำเช่นนี้สาหรับประหัตประหารฝ่ายพระ
“ถ้าว่ามนุษย์ผู้ใดเป็นฝ่ายพระละก็ มารข่มเหงอยู่อย่างนี้แหละไม่ขาดสาย“
"นี่ใครทำพญามารทั้งนั้นไม่ใช่ใคร ไม่มีใครรู้ แสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล นิพพานถอดกายมีเท่าไร ไม่มีใครรู้ ไม่รู้เรื่องทีเดียวในเรื่องนี้ว่า พญามารเขาคอยบีบคั้นอยู่ให้เกิดแก่เจ็บตาย”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงเทศนาไว้ว่า
น ตตฺถ หตฺถีนํ ภูมิฯ
ภูมิเป็นที่ไปของช้างทั้งหลาย ของรถทั้งหลาย หรือคนเดินเท้า ในความแก่และความตายนั้น ย่อมไม่มีใคร จะไปสู้รบกับความแก่ความตายได้
เพราะภูมิทางไปรบ หนทางที่จะเข้าไปรบ ที่จะยกพลรบไม่มี หนทางช้างก็ไม่มีเข้าไป หนทางรถทางเดินเท้าก็ไม่มี ใคร ๆ ไม่อาจชนะความแก่ความตายนั้นด้วยการสู้รบ ด้วยเวทมนต์ คาถา วิชาพราหมณ์ หรือจะเอาทรัพย์ไปไถ่ถอนตัว ก็แก้ไม่ได้
“แต่ว่ามีแก้อยู่ที่วัดปากน้ำ วิชชาธรรมกายไปเห็นวิชชาเหล่านี้หมด ไปเห็นความแก่ความตาย เวลานี้เขาว่าสมภารวัดปากน้ำ กำลังสู้กับความแก่ความตาย สู้จริง ๆ ผู้เทศน์นี่แหละ ๒๒ ปี ๘ เดือน ๙ วัน วันนี้แล้ว วินาทีนี้ไม่ได้หยุด เพียรสู้ความแก่ความตายไม่ได้ถอยกันเลย พญามัจจุราชมีเท่าไรจับกันหมด ตรึงกันหมด ลงโทษกันหมดทีเดียว มีเท่าไรไม่ให้ทำลายพระ ไม่ให้ข่มเหงพระได้ จะแก้ความแก่ ความเจ็บ ความตายใหม่ ไม่ให้มีแก่ ไม่ให้มีเจ็บ ไม่ให้มีตาย”
จะทำให้ไม่มีแก่ เจ็บ ตาย เพื่อเกิดเป็นมนุษย์จนโตมีแต่ร่างกายสวยงามขึ้น ไม่ถอยกลับจนครบบารมีของตน ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหัต ไม่ต้องไปทรมานให้เหนื่อยยากลำบาก ครบกำหนดก็เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหัต เวลาไปนิพพาน ไม่ต้องถอดกายทุกกาย ไปทั้งดุ้น ตั้งแต่กายมนุษย์ถึงกายธรรมอรหัตละเอียด
“สมภารวัดปากน้ำรบกับพญามัจจุราช รบความแก่ความตาย รบเท่านี้ แก้ให้เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ สมภารวัดปากน้ำไม่แรมราตรีที่อื่นละ ยอมตายไม่ถอยกันเลย”
การสู้รบเช่นนี้ไม่มีใครเคยได้ยิน
“หมดทั้งชมพูทวีป แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกาย ที่ไหน ๆ ไม่มีเลย แล้วไม่มีใครรู้จักเสียด้วยซ้ำ นี่มารู้จักแล้วที่วัดปากน้ำ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา อยู่วัดปากน้ำก็จริง แต่ไม่รู้ว่าสมภารวัดปากน้ำทำอะไร นี่อัศจรรย์นัก อยู่ด้วยกันตั้งหลายสิบปี อยู่วัดปากน้ำทำวิชชานี้ ๒๒ ปี ๘ เดือน ๙ วัน วันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไร รู้แต่นิด ๆ หน่อย ๆ รู้จริงจังลงไปไม่มี มีก็ผู้ที่ทำวิชชาด้วยกัน”
“เราต้องสนับสนุนด้วยทางใดทางหนึ่งให้สมควรทีเดียว พวกที่เป็นแล้ว ตั้งใจแน่วแน่ว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่ถอยละ เกิดมาเราพบวิชชานี้ เราจะต้องสู้ อย่างอื่นสู้ไม่ได้ทั้งนั้น เราจะหันสู้วิชชานี้กันสุดฤทธิ์สุดเดช เอาให้ถึง หมดเจ็บ หมดแก่ หมดตายของพญามารให้ได้ ให้พญามารแพ้ให้ได้ พญามารแพ้เด็ดขาดเมื่อเวลาไร เวลานั้นหมดทุกข์ในโลก เท่าปลายผมปลายขนก็ไม่มี มีความสุขเหมือนยังกับท้าวสวรรค์ หรือเหมือนท้าวพรหม หรือเหมือนกับพระนิพพาน สุขขนาดนั้น”
พระพุทธเจ้าในนิพพานไม่ได้หยุดเลย ผจญกับพญามารทุกอนุวินาที ต้องทำนิโรธให้ละเอียดอ่อนไว้ ถ้าละเอียดไม่ทัน เขาก็บังคับด้วยความแก่ บังคับไม่ให้รู้ บังคับในไส้ธาตุไส้ธรรม เห็นจำคิดรู้ ต้องใช้ญาณบังคับหมด
“รู้ตัวว่าเป็นทาสพญามารอยู่เช่นนี้ ก็ต้องช่วยรีบเปลื้องตัว ต้องรีบพยายามแก้ตัว ถ้ารีบพยายามแก้ตัวให้พ้นไปเสียได้ ก็จะไม่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย”
พญามารไม่ได้เว้นผู้หนึ่งผู้ใดให้เหลือ เพราะเหตุนั้นผู้มีปัญญาจะทำอย่างไร ?
ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต ฯ
เพราะเหตุนั้นบุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อมาเห็นประโยชน์ของตนแล้ว ผู้ทรงปัญญา ควรตั้งความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
โย ธมฺมจารี ฯ
บุคคลใดเป็นผู้ประพฤติธรรม ด้วยกาย วาจา ใจ นักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว
เปจฺจ ฯ บุคคลนั้นละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์ ด้วยประการดังนี้
ผู้ทรงปัญญาจึงตั้งความเชื่อไว้ที่พระรัตนตรัย และจะตั้งที่ไหน ?
หลวงพ่อวัดปากน้ำถามพระรูปหนึ่งที่บวชมาแล้ว ๓๓ พรรษาว่า หากระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระประธาน ที่เจ้าภาพสร้างมา จะเอาใจจรดที่ไหน เพราะถ้าจรดที่อุณาโลมก็ไปเจอแต่ทองรัก ทองเหลือง ทองแดง หรือทราย อย่างนั้นไม่ถูก ที่ถูกต้องจรดนิ่งที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ แล้วหยุดนิ่งต่อ จรดต่อไป ถึงกายมนุษย์ละเอียด จนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัตละเอียด
“ถ้าว่าเข้าถึงกายพระอรหัตละเอียดหยุดนิ่ง อยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตละเอียด ที่ตั้งของใจที่จรดของใจ เรียกว่า ถูกพุทธรัตนะ ถูกธรรมรัตนะ ถูกสังฆรัตนะ ตัวจริงทีเดียว”
อ้างอิงจาก หนังสือสาระสำคัญ พระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หน้า ๗๙ - ๘๑
โฆษณา