5 ส.ค. 2020 เวลา 08:00 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น คั่นเวลา ลำดับที่ 7
"La Gioconda - มายาโมนาลิซ่า"
La Gioconda - มายาโมนาลิซ่า, Cr : https://www.monalisamissing.com/home/page/1
📆 ปี ค.ศ.1908
"ไม่ทราบว่า คุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ"
เสียงผู้หญิงทักเป็นภาษาฝรั่งเศสจากทางด้านหลังผม
ขณะที่ผมกำลังยืนตะลึงในความสวยงาม
ของบรรดาอาคารอันอลังการของสถานที่แห่งนี้…
ผมจึงหันกลับไปตอบเป็นภาษาฝรั่งเศสแบบตะกุกตะกักว่า
"เออ.. คือ… ผมรอคุณลุงอยู่ครับ และผมเพิ่งมาทำงานที่นี่เป็นครั้งแรก...ครับ"
"งั้น ฉันไม่รบกวนคุณแล้วกันนะคะ ขอตัวก่อนนะคะ"
“ครับ ขอบคุณครับ มาดาม...”
ไม่ทันสิ้นประโยค สาวฝรั่งเศสคนนั้นก็เดินผละจากไป
ปล่อยให้ผมยืนชื่นชมสถานที่แห่งนี้ระหว่างรอลุงของผมต่อไป…
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ค.ศ.1908, Cr: https://historydaily.org/when-the-mona-lisa-was-stolen-1911
"เฮ้… เปรูเจีย เดี๋ยวนายไปช่วยงานปรับปรุงที่ห้องคาเร่นะ"
“วินเซ็นต์ นายช่วยพาเปรูเจียไปหน่อยนะ
มิเชลกำลังเลื่อยไม้รออยู่ที่นั่นแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวก็คุ้นทางไปเองแหล่ะ ปารูเจีย"
วินเซ็นต์พูดกับผม ขณะเดินนำผมไปยังห้องคาเร่
“ห้องนี้ภาพวาดเยอะจัง”
ผมพูดขึ้นมาเมื่อมาหยุดอยู่ที่ห้อง ๆ หนึ่ง
ห้องคาเร่ที่จัดแสดงภาพวาดของประเทศอิตาลี ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในปี ค.ศ.1908, Cr : https://www.unjourdeplusaparis.com/en/paris-culture/histoire-de-la-joconde
“ถึงแล้วล่ะ นี่แหล่ะ ห้องคาเร่
จากทางเข้าจากด้านหลังอาคาร
นายคงเดินมาถูกนะ”
วินเซ็นต์หันมาพูดกับผม
“ก็น่าจะนะ”
ผมก็ตอบไปแบบไม่ค่อยแน่ใจนัก
“นี่วินเซ็นต์ ในห้องนี้
เป็นผลงานจากศิลปินของประเทศเราหมดเลยหรือ”
ผมถามวินเซ็นต์ พลางสายตาก็กวาดไปรอบ ๆ ห้อง
“ใช่… แต่ละภาพมีค่าและเก่าแก่ทั้งนั้น
แต่ก็… ทุกภาพในห้องนี้ล้วนแต่ฉกมาจากชาติเราทั้งนั้น”
วินเซ็นต์ตอบอย่างหงุดหงิด
“จริงดิ… แล้วประเทศเราไม่ทำอะไรเลยหรือ”
ผมพูดเชิงถามออกไป
และก็มองหน้าวินเซ็นต์
เผื่อเขาจะตอบกลับมา
“เฮ้ย! สองคนนั่น อย่ามัวแต่ยืนคุยกันสิ
เด็กใหม่ นายมาทำงานต่อจากฉันเลย"
เสียงตะโกนจากมิเชลจากกลางห้องก็ดังขึ้น
ระหว่างผมรอคำตอบจากวินเซ็นต์
“เดี๋ยวฉันขอพักเหนื่อยหน่อย
นี่วินเซ็นต์ นายพกอะมาเร็ตโต้มาเปล่า”
มิเชลถามวินเซ็นต์
ขณะใช้แขนปาดเหงื่อที่อาบเต็มใบหน้า
“เอามาสิ ไม่ลืมหรอก
เก็บอยู่ที่ตู้ลับหลังผนัง
ที่แขวนรูปสาวน้อยยืนอมยิ้มนี่แหล่ะ"
หลังจากวินเซ็นต์ตอบมิเชล
เขาก็เดินนำหน้ามิเชลออกไปจากห้องก่อนเลย
“เด็กใหม่ นายชื่ออะไรนะ”
มิเชลก็หันมาถามผม
ก่อนที่เขาจะเดินพ้นออกจากห้องนี้ไป
"ผมชื่อ วินเซนโซ เปรูเจีย"
📆 ปี ค.ศ.1909
ช่วงนี้ลุงของผมแกต้องไปทำงานที่ช่วยปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ที่เลอมองส์
ก็เลยปล่อยให้ผมกับพวกอีกสองคนอยู่เก็บงานที่ลูฟร์ให้เสร็จ
ส่วนงานที่เหลือก็มีแต่การติดตั้งกระจกและกรอบภาพของ
ภาพวาดใต้ภาพวาดอันใหญ่โตของ ปาโอโล เวโรเนเซ
ที่เพิ่งเก็บงานเสร็จเมื่อวาน
ทั้งสองคนนั่นก็เลยหาเรื่องดื่มฉลอง
จนเมาแอ๋ตั้งแต่เมื่อคืน
เช้านี้ผมเลยต้องมาเก็บงานต่อคนเดียว
ภาพวาดชื่อ The Feast in the House of Simon the Pharisee วาดโดย Paolo Veronese แขวนอยู่เหนือภาพโมนา ลิซ่า ในปี ค.ศ.1908,Cr : https://la.m.wikipedia.org/wiki/Cena_apud_Simonem_Pharisaeum_celebrata_(Paulus_Veronensis)
ที่ผ่าน ๆ มาหลายเดือน ผมก็ไม่ได้ค่อยสังเกตภาพวาดทั้งหลายในห้องนี้มากนัก
มีวันนี้อยู่ตัวคนเดียว ก็เลยขออู้งานพักดูภาพวาดไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งสายตามาสะดุดหยุดตรงภาพสาวน้อยยืนอมยิ้ม
ที่คนในประเทศผมเรียก ‘เธอ’ ว่า 'ลาโจกอนดา’
หรือ ภาษาฝรั่งเศสเรียก ‘เธอ’ ว่า 'ลาโชกงด์'
ที่จริงผมก็รู้สึกแปลก ๆ ตลอดเวลาที่มาทำงานในห้องนี้แล้ว
มันเหมือนรู้สึกว่า มีใครจ้องผมตลอดเวลา
แต่เมื่อผมมองไปรอบ ๆ มันก็ไม่มีใครอยู่ ยกเว้นเจ้าสองคนนั่น
ซึ่งก็ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน
หรือไม่ก็… นั่งซดอะมาเร็ตโต้อยู่
คงไม่มีเวลามองมาที่ผมอย่างแน่นอน
ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่า 'เธอ'
สาวน้อยที่ยืนอมยิ้ม นี่แหล่ะที่จ้องมองผมอยู่
พอผมตั้งใจมอง 'เธอ' เข้าจริง ๆ
ผมก็รู้สึกว่า 'เธอ' ในภาพเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา
สายตาทั้งคู่ของผมก็ไปจับจ้องที่ริมฝีปากของ 'เธอ'
ที่ก่อนหน้านี้เคยอมยิ้มอยู่
พอผมตั้งใจมอง 'เธอ' เข้าจริง ๆ
ผมก็รู้สึกว่า 'เธอ' ในภาพเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา
สายตาทั้งคู่ของผมก็ไปจับจ้องที่ริมฝีปากของ 'เธอ'
ที่ก่อนหน้านี้เคยอมยิ้มอยู่
กำลัง...ขยับ...
“สวัสดีค่ะ”
จู่ ๆ ก็มีเสียงทักขึ้นมา มันทำให้ผมสะดุ้งโหยง ขนลุกไปทั้งตัว
“ไม่ทราบว่าฉันทำให้คุณตกใจหรือคะ"
ผมเริ่มมีสติกลับมา
เพราะคำพูดที่ดังขึ้นนั้น
เป็นเสียงผู้หญิงพูดภาษาฝรั่งเศส
ผมจึงค่อยคลายความตะหนกลง
และก็เริ่มจับทิศทางที่มาเสียงได้แล้ว
มันมาจากด้านหลังซ้ายมือผมนั่นเอง
ผมจึงหันหน้าไปยังที่มาของเสียง
สาวฝรั่งเศสหน้าตาดี ที่ยืนมองผมจากทางเข้าห้องคาเร่
"ฉันเคยเจอคุณไหมคะ รู้สึกคุ้น ๆ หน้าจัง”
เธอยืนนึกอยู่สักพัก ก็พูดขึ้นมาว่า
“อ๋อ… คุณที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าพิพิธภัณฑ์
เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วใช่หรือเปล่าคะ”
“อืมม น่าจะใช่ครับ มาดาม…
ผ่านมาตั้งหลายเดือน
มาดามยังจำผมได้ด้วย
ผมต้องขออภัยและขอสารภาพเลยว่า
ผมจำคุณไม่ได้จริง ๆ”
ผมตอบไปด้วยความเขินอาย
เพราะตั้งแต่อพยพเข้ามาอยู่ที่ปารีส
ผมไม่ได้คุยสาว ๆ คนไหนเลย
“ผมชื่อ วินเซนโซ เปรูเจีย,
ขออภัยนะครับ ถ้ามาดามไม่รังเกียจที่…”
“ซินเซีย บลองค์ ค่ะ”
“ประทานโทษนะครับ
ชื่อของมาดามนี่ออกไปทางบ้านเกิดผมเลยนะครับ”
“อ๋อค่ะ ฉันเป็นลูกครึ่งอิตาลี ฝรั่งเศสค่ะ”
“นอกจากภาษาฝรั่งเศส มาดาม พูดภาษาอิตาลีได้ด้วยใช่ไหมครับ”
“เรียกซินเซียก็ได้นะคะ,
ใช่ค่ะ ฉันเกิดและโตที่วาเรซีค่ะ”
เธอตอบผมด้วยภาษาบ้านเกิดของผม
“อะไรจะช่างบังเอิญเช่นนี้,
ผมก็เกิดและโตมาที่นั่นเหมือนกันครับ,
เรียกผมว่า เปรูเจีย นะครับ,
มาดาม… เออ คุณซินเซีย”
📆 ปี ค.ศ.1910
“เปรูเจีย พักนี้ คุณดูแปลก ๆ นะคะ”
ซินเซียทักผมขึ้นมา ขณะที่ผมเองก็นั่งเหม่อลอย
ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองแปลก ๆ มาหลายเดือนแล้ว
ผมกับซินเซียได้คบหาดูใจกันมาหลายเดือน
โดยครั้งแรก ผมเองก็รู้ตัวเองว่า
ผมรู้สึกว่าหลงรักเธอ
และผมเองก็รู้ว่า เธอก็รักผม
แต่...
ใช่ ผมรู้สึกว่าผมแปลกไปจริง ๆ
จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในวันนั้น…
“สวัสดีค่ะ คุณเปรูเจีย”
เสียงผู้หญิงพูดทักผมด้วยภาษาบ้านเกิดผม
ออกสำเนียงโบราณ ขณะสายตาทั้งคู่ของผม
กำลังจับจ้องอยู่กับปากที่กำลังขยับ
บนใบหน้าอันอวบอิ่มของ ‘เธอ'
สาวที่เคยยืนอมยิ้มแบบครึ่งตัว
บนแผ่นไม้ป๊อปลาร์
ซึ่งตอนนี้ริมฝีปากสวย ๆ นั้น
ขยับตามเสียงที่เปล่งออกมา
ตาผมคงไม่ฝาดแน่ ๆ
เพราะเห็นปากขยับพร้อมเสียงแบบนี้
แน่นอน ผมขนลุกไปทั้งตัว
และแทบไม่เชื่อในสายตาและโสตประสาทตัวเองเลย
“พระเจ้า… มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย”
ผมอุทานแต่ก็แปลกที่รู้สึกตัวเองไม่มีความตะหนกเลย
“ผู้ที่ได้ยินเสียงฉัน
จะมีแต่ผู้ที่มีหัวใจและความรักให้แก่ฉันเท่านั้น”
หญิงสาวในภาพวาดนั้นเอ่ยขึ้นมา
“ลาโจกอนดา,ที่รัก"
ผมเอ่ยคำนี้ออกไปแบบไม่รู้ตัว
ผมกำลังหลงรัก 'เธอ' อยู่หรือเนี่ย?
จนกระทั่ง…ตอนนี้
คำพูดของ 'เธอ' - ลาโจกอนดา
มันวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลา
เสียงของ ‘เธอ’ ดูเศร้า
และพร่ำบอกเพียงแต่ว่า
อยากกลับฟลอเร้นซ์ บ้านเกิดของเธอ
และการบอกเล่าของ 'เธอ’
ทำให้ผมต้องตัดสินใจ
ทำอะไรสักอย่าง
เพื่อ 'เธอ’
ผู้เป็นที่รักและ
เป็นผู้ครอบครองหัวใจของผมจนหมดสิ้น
📆 ปี ค.ศ.1911
-วันอังคารที่ 22 สิงหาคม
🕘ประมาณ 9 โมงเช้า
หลุยส์ เบรูด ขณะทำการวาดคัดลอกภาพโมนาลิซ่า
หลุยส์ เบรูด กำลังยืนอึ้ง ด้วยความงุนงง
และสายตาที่จับจ้องไปที่ผนังอันว่างเปล่า
ไร้ภาพวาดลาโชกงด์
ที่วันก่อนยังแขวนอยู่ระหว่างผลงานของ
อันโตนีโอ ดา กอร์เรจโจ กับ ทิเชียน อันโด่งดัง
ผนังอันว่างเปล่าที่ภาพวาดโมนาลิซ่าเคยแขวนอยู่
ภาพวาด Mystic Marriage of Saint Catherine วาดโดย Antonio da Correggio ที่แขวนอยู่ทางด้านขวาของภาพวาดโมนาลิซ่า
ภาพวาด The allegory of Alfonso D'Avalos วาดโดย Titian ที่แขวนอยู่ทางด้านซ้ายของภาพวาดโมนาลิซ่า
"นี่คุณ ภาพวาดลาโชกงด์ หายไปไหนครับ"
หลุยส์ เบรูด์ เดินมาถามยามเฒ่าที่เฝ้าอยู่ปากทางเข้าห้องคาเร่
“น่าจะอยู่ในสตูดิโอมั้งครับ เดี๋ยวก็คงมีคนเอามาแขวนคืนน่ะครับ”
ยามเฒ่าตอบหลุยส์ เบรูด์แบบขอไปที
หลุยส์ เบรูด์ ก็แสดงท่าทีหงุดหงิด
เพราะภาพที่กำลังคัดลอกยังวาดค้างอยู่อีกเยอะ
เวลาผ่านไป ประมาณ 2 ชั่วโมง
ก็เป็นเวลาเปิดพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
และเริ่มมีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ห้องคาเร่
“นี่คุณ ผมว่าคุณรีบไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ในสตูดิโอ
ให้เอาภาพวาดมาติดตั้งซะทีเถอะ
ดูสิ นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะขนาดนี้
งานผมไม่ต้องเป็นอันทำอะไรต่อแล้ว"
หลุยส์ เบรูด์ เริ่มเซ้าซี้ยามเฒ่า
“เฮ้อ...ก็ได้ครับ งั้นผมขอตัวไปตามภาพวาดที่สตูดิโอให้ก่อนนะครับ”
ยามเฒ่าก็ผละจากหลุยส์ เบรูด์ออกไปยังห้องสตูดิโอ
“คุณปิเก้ครับ แย่แล้วครับ”
เสียงแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ที่วิ่งกระหืดกระหอบมายืนอยู่ที่หน้าห้อง ผอ.พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
“ภาพวาดลาโชกงค์ ของดาวินซี หายไปครับ"
“ไปหาที่ห้องสตูดิโอยัง คุณลีโอ”
ผอ. จอร์จ ปิเก้ ถาม
“ลุงจาคอบ ไปหาแล้วครับ ทางที่สตูดิโอบอกว่าไม่ได้เอาไปเก็บครับ”
“จะหายไปได้ยังไงนะ…”
“นี่คุณลีโอ รีบแจ้งสารวัตรเลอพีนด่วนเลย”
ผอ. ปิเก้ รีบตัดสินใจสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
แล้วตัวเองก็รีบเดินออกจากห้องทำงาน
แต่ก็หยุดกะทันหัน แล้วหันมาบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาปลอดภัยว่า
“อ่อ คุณลีโอ แล้วคุณรีบไปให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์
ประกาศให้นักท่องเที่ยวออกจากที่นี่ทันทีด้วย”
“แล้วจะให้แจ้งว่าอย่างไรครับ คุณปิเก้”
“บอกไปว่า ท่อน้ำใหญ่ของพิพิธภัณฑ์แตกก็แล้วกัน
ทางพิพิธภัณฑ์จึงจำเป็นต้องปิดทำการซ่อมแซ่มโดยด่วน
เอาตามนี้นะ”
“งานเข้าซะแล้วสิ…”
ผอ. ปิเก้บ่นงึมงำ ระหว่างเดินสวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกไป
🕠ตกเย็นราว ๆ 5 โมงครึ่งของวันเดียวกัน
สภาพรอบ ๆ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ที่เต็มไปด้วย
ยามรักษาการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จากกรมศิลปากรแห่งฝรั่งเศส
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงมหาดไทย
ทางเข้าออกของพิพิธภัณฑ์ทุกจุดถูกปิดตาย
และทำการเคลียร์พื้นที่โดยรอบ ซึ่งดูอลหม่านไปหมด
“สวัสดีครับ สื่อมวลชนทุกท่าน
ผม จอร์จ ปิเก้ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้
จะขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า...”
เสียงของ ผอ.ปิเก้ ที่ยืนอยู่บนโพเดียม
เพื่อที่จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
แก่บรรดาสื่อมวลชนที่ยืนรอรับฟังเหตการณ์ที่เกิดขึ้น
“ภาพวาดโมนา ลิซ่า ได้หายไปจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
และทางเราก็หวังไว้ในเบื้องต้นว่า
ภาพวาดโมนา ลิซ่า คงไม่ได้รับความเสียหาย
และผมขอจบการแถลงข่าวแต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
ถ้าทางพิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีความคืบหน้าของการสืบหา
ภาพวาดโมนา ลิซ่า แล้ว ก็จะแจ้งให้ทุกท่านทราบโดยด่วน
ขออภัยและขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านด้วยครับ”
-วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม
🕟เป็นช่วงเวลาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ปิดแล้ว
“อึดอัดเป็นบ้าเลย…”
มิเชลบ่นพลางเอามือคลายปมเน็กไท
“ชู่!...ใจเย็น ๆ สิ และอย่าทำเสียงดัง
ที่นี่เพิ่งปิด เดี๋ยวจะมีคนเดินเข้าตรวจน่ะ”
ผมเอ็ดมิเชล
“ว่าแต่ งานนี้มันจะเสี่ยงไปหรือเปล่า เปรูเจีย”
วินเซ็นต์มองหน้าผมและพูดกระซิบอย่างตื่นเต้น
“แต่ซินยอเร่ เขาจ่ายให้คุ้มค่าแน่นอน
คุ้มค่าพอที่พวกนายจะไม่ต้องทำงานหนักไปตลอดชีวิตเลยนะ”
ผมพูดกล่อมพวกเขาให้คลายความตื่นเต้นลงบ้าง
อันที่จริง ซินยอเร่ ที่ว่า
ตัวผมเองก็ไม่รู้จักหรอก
ผมเพียงแค่วานให้นายหน้าค้าภาพวาดชาวฝรั่งเศส
ให้ช่วยหาทางติดต่อคนที่จะช่วยเรื่องเงิน
เพื่อเอามาจ่ายค่าจ้างให้สองคนนี้
และค่าเดินทางพา 'เธอ’ กลับบ้านเกิด
โดยตกลงกันว่าให้ผมจะหานายหน้าค้าภาพวาด
ที่ฟลอเร้นซ์มาซื้อภาพต่อจากคนคนนี้อีกที
แผนนี้ผมวางไว้เมื่อปีที่แล้ว หลังจากลาออกจากลูฟร์
ผมรู้สึกว่า ผมต้องหาทางพา 'เธอ’ ออกไปจากที่นี่ให้ได้
เพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของ 'เธอ'
นี่คงเป็นความรักสินะ
ผมคอยแต่เฝ้าถามตัวเองตลอดเวลา
ตั้งแต่ตัวผมเองรู้สึกเปลี่ยนไป
ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้น
ในหัวใจผมก็มีซินเซียอยู่แล้ว...
-วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม
🕕เวลาประมาณ 6 โมงเช้า
“เฮ้ย ตื่นได้แล้ว วินเซ็นต์”
ผมปลุกวินเซนต์ ที่เผลอหลับหลังจากซดอะมาเร็ตโต้ไป
เพื่อลดความตื่นเต้น
“อีกสักพัก บรรดาพวกช่างก็เข้ามากันแล้ว
พวกเรา เตรียมตัวให้พร้อม”
ผม มิเชล และวินเซ็นต์ ก็เอาชุดช่างไม้ที่เตรียมไว้มาสวม
พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดครบมือ
“มิเชล นายไปทำความสะอาดพวกราวเหล็ก และกรอบรูป
ส่วนวินเซ็นต์ นายก็เอาไม้กวาดไปกวาดพื้นนะ”
ผมย้ำหน้าที่ตามแผนที่คุยกันไว้เมื่อวานอีกที
“รู้แล้วหน่า...” มิเชลบ่นเบา ๆ
เสียงจอแจของบรรดาช่างซ่อมบำรุงเริ่มดังขึ้น
เราทั้งสามคนพยักหน้าให้กัน
และพากันเดินออกจากตู้เก็บสัมภาระที่อยู่อีกด้านของผนัง
ที่แขวนรูปโมนา ลิซ่า ที่อยู่ในห้องคาเร่
“นี่ เปรูเจีย นายปลดกลไกของกรอบแก้ว
ที่ปิดภาพอยู่เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
มิเชลถามผม
“เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ช่วงที่พวกนายสองคนหลับกันนั่นแหล่ะ”
ผมตอบมิเชล
“แสดงว่า นายยังไม่ได้นอนเลยนะสิ”
วินเซ็นต์ถามผม
“ใครจะไปหลับลง”
ผมตอบ
มิเชล และวินเซ็นต์ต่างไปทำหน้าที่ตามที่ตกลงกันไว้
พร้อมกับดูต้นทางให้ผม
ตอนนี้ภายในห้องคาเร่ ก็เหลือแค่พวกเราสามคนแล้ว
ผมสาวเท้าตรงเข้าไปหา 'เธอ'
และทำการปลด 'เธอ’ ลงจากผนังด้วยความรวดเร็ว
เปรูเจียกำลังแยกกรอบรูปออกจากแผ่นภาพวาดโมนา ลิซ่า
“เรียบร้อยแล้ว พวกเราพร้อมจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
พวกนายสองคนออกไปดูต้นทางให้หน่อย”
ผมพูดพร้อมเดินกอด 'เธอ’
ที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผวยผืนใหญ่
ออกไปจากห้องคาเร่แห่งนี้
พวกเรารีบเดินแกมวิ่งลงมาจากห้องคาเร่ ถึงบันไดชั้นล่างสุด
และตรงไปยังประตูออกสู่สวนทางด้านข้างของอาคาร
“พระเจ้า! ประตูล็อค บ้าชิบ”
มิเชลสบถ
ผมรีบเดินเข้าไปบิดลูกบิดไปมาอย่างแรง
จนลูกบิดหลุดติดมือออกมา
“บ้าเอ้ยยย…”
ผมสบถด้วยใบหน้าที่เริ่มถอดสี
“เฮ้ย… มีคนเดินมา”
วินเซ็นต์เตือน พร้อมปาดเหงื่อที่แตกโชก
“เฮ้...พวกคุณมายืนทำอะไรกันตรงนี้”
ชายที่สวมชุดเหมือนช่างประปาที่ถาม พร้อมเดินเข้ามาหาพวกผม
“เอ่อ...ใครไม่รู้ มาลักลูกบิดประตูไปนะสิครับ
พวกเราจะออกไปพักเหนื่อยที่สวนกันหน่อยนะ”
ผมบอกกับชายที่เหมือนช่างประปาคนนั้น
“ทำไมพวกคุณไม่เดินอ้อมไปที่ประตูด้านหน้าที่เปืดอยู่ล่ะ
แต่ก็ไม่เป็นไร บังเอิญผมถือกุญแจสำรองอยู่
เดี๋ยวจะเปิดให้ก็แล้วกัน”
ชายคนนั้นพูดพลางล้วงมือไปในกระเป๋า
เพื่อหยิบกุญแจสำรองมาไขประตูให้
“เออ พวกคุณ ออกไปแล้วช่วยปิดประตูให้ด้วยนะ”
“ได้ครับ ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ คุณเป็นคนดีจริง ๆ”
พวกเราขอบคุณเขา พร้อมรีบสาวเท้าเดินผ่านประตูที่เปิดสู่ความโล่งอก
และเหลือแต่เพียงรอเงินก้อนสุดท้ายจากซินยอเร่เพื่อพา 'เธอ’ กลับสู่มาตุภูมิ
โดยทิ้งข่าวร้ายที่ช็อคคนทั้งโลก ไว้ให้แก่สถานที่แห่งนี้
ภาพจำลองเหตุการณ์ลำดับการลักภาพวาดโมนา ลิซ่าออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
📆ปี ค.ศ.1913
🕐ช่วงบ่ายของวันที่ 11 ธันวาคม
“ลาโจกอนดา ที่รัก"
ผมพูดกับภาพวาดโมนา ลิซ่า
ในขณะที่ผมนอนกอดอยู่บนเตียงในห้องเล็ก ๆ
ของโรงแรมทริโปลิ
เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ในฟลอเร้นซ์
ระหว่างรอคุณเจรี และ
คุณป๊อกกี้ ผอ.พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี่
ที่จะกลับมาพร้อมเงิน 5 แสนลีร์
“ผมไม่อยากเสียคุณไปเลย
แต่ด้วยสภาพผมตอนน้ี
อาจจะดูแลคุณไม่ได้นานนัก
แต่ผมก็ทำให้คุณสมหวังได้แล้ว
คุณได้กลับมาถึงบ้านเกิดแล้วนะ”
ลาโจกอนดา ไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย
ตั้งแต่ผมตัดสินใจบอกกับ 'เธอ' ว่า
ผมจะพา 'เธอ’ กลับไปยังฟลอเร้นซ์
แต่ 'เธอ' ต้องแยกจากผมไปสู่
ผู้ที่สามารถดูแล 'เธอ' ได้ดีกว่าผม
ผมมันก็เป็นแค่ช่างไม้และอาชญากร
สักวัน ผมอาจจะต้องถูกจับ
และ 'เธอ' ก็จะถูกส่งกลับไปสู่ลูฟร์ตามเดิม
ตลอดระยะเวลา 2 ปี เงินส่วนหนึ่งที่ได้รับ
จากซินยอเร่ ก็แบ่งเป็นค่าจ้างให้กับมิเชลและวินเซ็นต์ไป
เหลืออยู่ที่ผมก็ไม่มากเท่าไหร่
ผมได้แต่หวังว่าซินยอเร่ จะจ่ายส่วนที่เหลือมาให้
ซึ่งสุดท้าย 'เธอ' ก็ต้องจากผมไปอยู่ดี
ในสัญญาที่ตกลงกันไว้กับซินยอเร่ คือ
เขาจะเป็นผู้พา 'เธอ' กลับไปยังฟลอเร้นซ์ให้
แต่อยู่ ๆ ซินยอเร่ก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย
ผมจึงต้องตัดสินใจหาทางพา 'เธอ' กลับ
ด้วยตนเองกับเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
ผมจึงจำเป็นต้องเขียนจดหมายติดต่อไปหา
คุณเจรี เจ้าของแกลอรี่ค้าภาพวาด
เพื่อที่จะส่งต่อ 'เธอ' ไปยัง
พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี่ ในฟลอเร้นซ์
ขณะผมกำลังนอนคิดเรื่องราวที่ผ่านมา
ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
น้ำตาผมก็ไหลโดยไม่รู้ตัว
ผมใช้มือปาดน้ำตาก่อนลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง…
เมื่อผมแง้มประตูห้องออก
ผมก็ผงะกับภาพที่เห็น
กำลังตำรวจนับสิบนาย
และตามมาด้วยตำรวจที่ดูแล้วเหมือนอธิบดีกรมตำรวจ
ก็กรูเข้ามาในห้องพัก
พร้อมกับเข้ามารวบตัวผม
สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ก็แค่เพียง
หันหน้ามองไปที่ 'เธอ’
ที่ถูกวางบนผ้าห่มที่รองไว้บนเตียงเล็ก ๆ
กับเสียงที่ดังก้องอยู่ในแค่เพียงลำคอ
พร้อมน้ำตาที่เอ่อเต็มดวงตาทั้งคู่ของผม
“ลาก่อน, ลาโจกอนดา ที่รัก”
'เธอ’...แสยะยิ้ม
และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็นบนใบหน้าของ 'เธอ'
ก่อนที่ผมจะถูกลากตัวออกไป
จากห้องพักเล็ก ๆ แห่งนี้...
จบ...
ตบท้ายเรื่องสั้น คั่นเวลาด้วย
เพลง Mona Lisa
ขับร้องโดย Nat King Cole
ในปี ค.ศ.1950
และภาพยนตร์ที่นำเอาบทเพลง Mona Lisa ของ Nat King Cole
ไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน
📌หมายเหตุ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ถูกแต่งขึ้นโดยอิงจากเหตุการณ์จริง ในปี ค.ศ.1911
และชื่อตัวละครบางตัวก็มีอยู่จริง
แต่บางตัวก็ถูกแต่งขึ้น เพื่อความกลมกลืนของเรื่องนะครับ
เรื่องมันอาจจะดูรวบรัดตัดตอนไปบ้าง เพราะเรื่องที่ร่างไว้มันยาวมาก
ผมไม่อยากทำแยกเป็นหลาย ๆ ตอน
เลยขออนุญาตตัดรายละเอียดทั้งหลายออกไปนะครับ
ขอขอบคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านนะครับ
...นายเฉื่อย...
ร่างไว้ตั้งแต่ 6 ต.ค. 62
เขียนเสร็จเมื่อ 5 ส.ค. 63
ภาพฝาก...ย้อนอดีต

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา