1 ส.ค. 2020 เวลา 09:05 • สุขภาพ
เมื่อเปรียบจิตใจเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เราอาจไม่รู้จักบ้านของเราดีเท่าที่เราคิด
.
วันนี้ผมกลับมาเขียนอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “จิตใต้สำนึก” หรือ “Unconscious” โดยอิงจากบทพูดในซีรี่ย์ Freud ตามที่ได้บอกไว้ในโพสที่แล้ว (สามารถดูบทพูดที่ผมอ้างอิงถึงได้ที่ >> https://www.facebook.com/…/a.115443496539…/223078295775929/…)
.
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่มีการพูดถึงเรื่องจิตใต้สำนึกมักเลือกใช้ภาพประกอบแทนว่าจิตใจของคนเราเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำ ส่วนที่โผล่พ้นน้ำคือส่วนที่ของ จิตสำนึก (conscious) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าส่วนที่อยู่ใต้พื้นน้ำคือ จิตใต้สำนึก (unconscious) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามาก การอธิบายแบบนี้เพื่อให้เราเห็นว่าสิ่งที่เราสามารถรับรู้เกี่ยวกับจิตใจของตัวเองมีอยู่น้อยมาก ในขณะที่จิตใจส่วนใหญ่ของเราอยู่ข้างล่างลึกลงไปใต้ผิวน้ำนั้น
.
การอธิบายตามแบบข้างต้น ผมคิดว่ามันทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายดีสำหรับการที่เราจะนึกภาพว่าจิตใจของเรามีลักษณะเป็นก้อน แต่การพยายามอธิบายเกี่ยวกับจิตใจของเราอาจไม่ง่ายดายขนาดนั้น ผมจึงคิดว่าบทพูดในซีรี่ย์ Freud ที่เปรียบเทียบจิตใจของคนเราเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่มืดสนิทเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
.
การเปรียบเทียบว่าจิตใจของคนเรานั้นเปรียบเสมือน “บ้าน” ผมคิดว่านั่นทำให้เรานึกถึงว่าบ้านของเรามีลักษณะอย่างไรบ้าง บ้านของแต่ละคนคงมีความแตกต่างกันออกไปแน่ๆ เช่นเดียวกับจิตใจของคนเราที่มีความแตกต่างกัน
.
บ้านนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างในตัวมัน มีเสาเข็ม มีห้อง มีผนัง มีช่องในผนัง มีหลังคา มีช่องหรือห้องใต้หลังคา อาจจะมีบันได มีทางเดิน มีรูปภาพประดับประดา และอื่นๆ อีกมากมาย การเปรียบเทียบแบบนี้ทำให้เห็นได้ว่าจิตใจของคนเรามีความหลากหลายมาก และมีองค์ประกอบต่างๆ อยู่มากมายในจิตใจของเรา ยิ่งไปกว่านั้น จิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่คลุมเคลืออย่างมาก บ้านที่สอดคล้องกับจิตใจของคนเรามากที่สุดจึงเป็น “บ้านที่มืดสนิท”
.
คุณลองนึกภาพบ้านของตัวเองที่มืดสนิท บ้านนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านจริงๆ ของคุณ แต่อาจเป็นบ้านในจิตนาการของคุณก็ได้ ในเวลาที่คุณอยู่ในบ้านมืดๆ นั้นโดยมีแสงจากเทียนเล่มนึงที่ถืออยู่เท่านั้น คุณคิดว่าตัวคุณเองรู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านดีแค่ไหน?
.
ผมคิดว่า “แสงเทียน” เป็นภาพสะท้อนของ “จิตสำนึก” ที่ดีกว่าส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งมาก เพราะมันเป็นเพียงดวงไฟเล็กๆ ที่จะเคลื่อนที่ไปยังจุดไหนก็ได้ตามที่เราอยากให้มันไปส่องตามจุดต่างๆ ของบ้าน มันเป็นสิ่งที่กำลังบอกเราได้ว่าจิตใจส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตระหนักรู้ หรือการมีสติรู้ตัวของเรานั้นมีอยู่เล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับบ้านหลังใหญ่ในความมืดที่เป็นภาพสะท้อนของจิตใจทั้งหมดของเรา
.
แต่ก็ไม่ใช่ว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในความมืดนอกเหนือจากการรับรู้ของเราจะเป็นจิตใต้สำนึกทั้งหมด เพราะไม่งั้นคงเป็นการบอกว่าคนเราใช้ชีวิตอยู่โดยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะซะทั้งหมด และจิตใต้สำนึกเป็นเพียงอย่างเดียวที่นำพาชีิวิตของเราให้ขับเคลื่อนไป
.
จริงๆ แล้วมันยังมีส่วนที่แสงจากดวงไฟที่สามารถส่องถึง แต่มันยังคลุมเคลือหรืออาจอยู่ที่หางตาของเรา ซึ่งเราอาจไม่ได้สนใจเท่ากับสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเพราะอยู่ใกล้กับดวงไฟที่สุด เราสามารถเรียกส่วนนั้นได้ว่า จิตกึ่งสำนึก (preconscious) ซึ่งกิจวัตรประจำวันปกติของเราอิงอยู่กับระดับของจิตในส่วนนี้ นั่นคือเป็นการที่เราสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัตหลังจากที่เราเรียนรู้มาจนชำนาญแล้ว (ลองนึกภาพว่าเราสามารถตื่นนอนมาบีบยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันได้ในขณะที่เรายังงัวเงียอยู่ แต่บางครั้งคุณก็อาจพลาดไปบีบโฟมล้างหน้าลงบนแปรงเพราะว่าจิตสำนึกของคุณไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า)
.
องค์ประกอบต่างๆ ในจิตใจของเราจึงสามารถวนเวียนไปมาได้ระหว่างจิตใต้สำนึก จิตกึ่งสำนึก และจิตสำนึก แต่การเข้าถึงจิตใต้สำนึกเป็นสิ่งที่ยังคงเป็นปริศนามาก และมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเก็บกดความปรารถนาต้องห้ามหรือความทรงจำที่เราไม่อยากนึกถึง ซึ่งล้วนซ่อนอยู่ในส่วนต่่างๆ ของตัวบ้าน
.
ผมพูดถึงในตอนแรกว่าเราอาจไม่ได้รู้จักบ้านของเราดีเท่าที่เราคิด สิ่งที่ซ่อนอยู่ตามต่างส่วนต่างๆ ของบ้าน (จิตใจ) ยังคงซ่อนอยู่อย่างนั้นหากแสงจากเปลวเทียนไม่สามารถส่องถึง แต่การซ่อนอยู่ของมันก็ไม่ได้ซ่อนอยู่เฉยๆ ซะทีเดียว เพราะความปรารถนาหรือความทรงจำเหล่านี้ไม่เคยหายไป มียังคงมีชีวิตอยู่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันยังคงอยู่ในหัวของเราเสมอ มันคอยหลอกหลอนเราในความมืดเหมือนกับผี และมีอิทธิพลต่อบ้านของเราไม่มากก็น้อย
.
จิตใต้่สำนึกยังคงถือเป็นเรื่องที่ลึกลับอย่างมากว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ หลายคนพยายามพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของมัน เช่นในเรื่องของการสะกดจิตที่เป็นการทำให้จิตสำนึกของเรานั้นอ่อนกำลังลง และดึงสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกออกมา หรือแม้แต่ในวงการประสาทวิทยาที่ค้นพบว่าการทำงานของสมองโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมทางจิตใจของเรา หรือก็คือมันมีการทำงานอย่างอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ โดยที่เจ้าตัวอาจไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของตัวเองเลย
.
ในความคิดเห็นของผม การจะบอกว่าสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างชัดเจนคืออะไรเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ (ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราจะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์อย่างไรถ้าหากไม่สามารถเข้าถึงมันได้ทั้งหมดตั้งแต่แรก) ผมคิดว่าเราทำได้เพียงแค่พยายามเข้าใจจิตใจของตัวเองให้มากที่สุด พยายามเข้าใจกระบวนการของมันว่ามันส่งผลต่อการดำรงชีวิตของตัวเราเองอย่างไรได้บ้าง ก่อนที่จะนำไปสู่คำถามที่ว่า แล้วเราจะปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของเราได้อย่างไร? (ซึ่งนั่นจะเกิดขึ้นตอนที่คุณมีสติรู้ตัวดีพอ และไม่ปฏิเสธสิ่งที่อยู่ในจิตใจของตัวเอง)
.
ในกระบวนการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของจิตใต้สำนึกจึงเป็นการนำเอาส่วนที่อยู่ในจิตใต้สำนึกออกมาอยู่ในระดับจิตสำนึก (bring unconscious to concious) หรือถ้าพูดให้ถูก ผมคิดว่ามันเป็นการนำเอาจิตสำนึกของเราที่เหมือนดวงไฟไปไล่ส่องจิตใต้สำนึกหรือจิตกึ่งสำนึกอันคลุมเคลือของเรามากกว่า การไล่ส่องดวงไฟอาจดูคล้ายกับการฝึกสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา (แต่คงเป็นไปได้ยากที่จะรู้ตัวได้ตลอดเวลาจริงๆ) นั่นคือการที่เราเริ่มตั้งคำถามและสังเกตความคิด ทัศนคติ อารมณ์ ความรู้สึก แม้แต่พฤติกรรมของตัวเอง จนเราเกิดความคิดที่มีต่อความคิด (thinking about thinking) และมองเห็นความรู้สึกที่มีต่อความรู้สึก (feeling about feeling) เช่น ทำไมฉันถึงกำลังคิดแบบนี้อยู่กันนะ? การคิดแบบนี้แล้วส่งผลยังไงต่อ? ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้? การมีรู้สึกแบบนี้อยู่แล้วรู้สึกยังไง? ฯลฯ
.
ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่ผมพอจะเพิ่มเติมเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกได้คือ มันเป็นสิ่งที่ no time, no place and no reason หรือก็คือมันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเวลา สถานที่ และยังไร้เหตุผล บางอย่างที่ถูกค้นพบจึงอาจดูไม่เมคเซ้นส์ได้ในตอนแรก แต่มันอาจจะเมคเซ้นส์สำหรับคนคนนึงเมื่อเห็นว่ามันสัมพันธ์กับชีวิตของคนคนนั้นอย่างไรได้บ้าง
.
ปล. ลองดูบทความ “การสำรวจจิตใจเชิงลึกผ่านการเดินทางของ โกเรง (Goreng) ใน ‘The Platform’” ได้ครับ อาจจะพอเห็นภาพมากขึ้นอีก (link >> https://www.facebook.com/k.therapeutist/posts/215438806539878?__tn__=K-R)
ปล.2 หากใครมีคำถามหรือความคิดเห็นยังไงสามารถคอมเมนต์ใต้โพสได้เลยครับ
.
เจษฎา กลิ่นพูล (K. Therapeutist นักจิตวิทยาการปรึกษา)
เพิ่มเติม: บทความเกี่ยวกับการสะกดจิตและนักจิตวิทยาครับ https://www.facebook.com/…/a.125878814749…/498184260851971/…
โฆษณา