1 ส.ค. 2020 เวลา 09:14 • ท่องเที่ยว
ประสบการณ์หนีเที่ยว และที่มาของชื่อเพท "คนหนีเที่ยว"
ประตูใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย (大门口: ต้าเหมินโข่ว)
ผมนั่งนึกชื่อเพทที่ผมจะเขียนในบล๊อคดิท คิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก ไม่รู้จะใช้ชื่ออะไรดี นึกไปนึกมาย้อนเวลากลับถึงบางอ้อเมื่อครั้งไปเรียนที่เมืองจีน เออ เราเคยปีนหอตอนหลังเที่ยงคืนเพื่อหนีเที่ยว งั้นใช้ชื่อเพทว่า คนหนีเที่ยวแล้วกัน สุดท้ายจึงลงเอยกับชื่อนี้ครับ
ที่มาของชื่อเพท "คนหนีเที่ยว"
แล้วเหตุผลว่าทำไมจะต้องปีนหอเพื่อหนีเที่ยวเหรอครับ ต้องเล่าก่อนว่า ที่มหาลัยที่ไปเรียนนั้น มีหอพัก 17 หอ ผมอยู่ที่หอ 5 (อู่ห้าวโหลว: 五号楼) ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ผมอยู่ชั้น 2 ใครที่ดูในครั้งที่แล้วคงพอเห็นภาพว่าหอสร้างแบบจีนเป็นอย่างไร นั่นล่ะครับ
หอพักของมหาวิทยาลัยมีกฎเรื่องเวลาเปิดตีห้า ปิดตอนเที่ยงคืน เมื่อคนไทยอย่างผมและเพื่อนๆ ต้องการหนีเที่ยวหลังเที่ยงคืน ปฏิบัติการปีนหอจึงเกิดขึ้น
ภาพประกอบเท่านั้น ส่วนสถานที่จริงกำแพงคล้ายในภาพแต่มีเนินดินและเก้าอี้วางไว้ให้ปีนขึ้นได้ง่ายๆ ครับ
ซึ่งการปีนหอนี้ไม่ใช่จะมีแต่รุ่นผมนะครับ เหมือนคนไทยที่ไปเรียนรุ่นก่อนนี้ ก็ได้ทำทางไว้ให้รุ่นน้องปีนได้อย่างสะดวก แม้ว่าจะสูงเกือบๆ 5 - 7 เมตร แต่ดีหน่อยตรงข้างๆ มีเนินดินสูงๆ และมีคนหวังดีหรือเปล่าเอาเก้าอี้มาวางไว้ให้ปีน จึงทำให้ความพยายามในการปีนผ่านไปด้วยดีทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เชื่อว่ามหาลัยเขาก็รู้ แต่คงทำอะไรมากไม่ได้
และผมคิดว่าเขาคงคืนความสุขให้นักศึกษาจากต่างแดนครับ ไม่อย่างนั้นคงห้ามมากกว่านี้ นี่เพียงบอกเป็นกฏไว้ที่หอของเวลาเปิดปิดเท่านั้น ยากจะต้านแรงอยากและความต้องการ ออกไปข้างนอกของคนในหอได้
การปีนหอหนีเที่ยวของผมจะไปกับน้องๆ คนไทย ที่พักอยู่ชั้นเดียวกัน และน้องๆ จากหอ 7 ครับ ซึ่งหอ 7 นี่ก็มีรุ่นพี่ทำทางไว้ให้อีกเหมือนกัน โดยรุ่นไหนไม่รู้ล่ะ ได้เตะรั้วกระเบื้องหักเป็นทางลอดไว้ให้ เด็กหอ5 และหอ 7 จึงหนีเที่ยวด้วยกันแบบสบายๆ
รั้วกระเบื้อง ภาพจาก pxhere.com
แหล่งที่เราจะไปเที่ยวแหล่งแรก ภาพคุ้นตาคนไทยนั่งเต็มร้านข่าวโล่ว หรือร้านปิ้งย่างหม่าล่านี่เอง เพราะคนไทยชอบสนุก รักการสังสรรค์พบปะพูดคุยกัน ร้านนี้จึงเป็นที่นิยมของนักศึกษาไทย จะมีคนจีนและชาติอื่นๆ บ้างเล็กน้อย ร้านนี้ปิดประมาณตีหนึ่งเกือบตีสอง ขากลับเข้ามหาลัย ต้องปีนกำแพงเข้าอยู่ดี แต่ดีหน่อยไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก
ข่าวโล่วหรือร้านหม่าล่า ภาพจาก steemit.com
ข่าวโล่วหรือร้านหม่าล่า ภาพจาก rent2rich.com
บางวันเบื่อข่าวโล่วแล้ว พวกเราก็จะจ้างรถตู้เล็ก เพื่อเข้าไปเที่ยวผลับในเมืองเซี่ยะเหมิน ซึ่งผลับในจีนหรือที่เรียกว่าจิ่วปา (酒吧) มีให้เลือกหลากหลายเหมือนไทยครับ ทั้งสายนั่งชิลล์และสายตื๊ดๆ มีให้เลือกมากมาย
จะไปร้านหรูก็ต้องยอมจ่ายแพงหน่อยกว่าร้านนั่งชิลล์ธรรมดาครับ (อย่าลืมคิดต้นทุน ×5 ตามค่าเงินเสมอนะครับ) แต่สิ่งที่ผมเห็นคือไม่ได้ต่างอะไรจากที่ไทยเท่าไหร่ เพราะเข้าไปดื่มๆ เมาแล้วก็เต้นๆ แล้วกลับ อย่างไรก็ตามก็ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาในต่างแดนครับ
1
ผลับสายตื๊ดๆ ภาพจาก google.com
ผลับนั่งชิลล์ ภาพจาก google.com
นอกจากนั้นยังมีแหล่งหนีเที่ยวยามราตรีอีกแห่งที่ชอบไปคือ KTV หรือร้านคาราโอเกะ แต่เป็นร้านคาราโอเกะหรูหน่อย มีเครื่องอำนวยความสะดวกค่อนข้างดีครับ จะร้อง จะกิน นั่งนอนในนั้นกี่โมงก็เช่าชั่วโมง หารกันกับน้องๆ ถ้าจำไม่ผิดไม่ถึงร้อยหยวน หรือไม่ถึงห้าร้อยบาทครับ เช่าหลายคนหน่อยอยู่ได้ยาวเกือบเช้าเลย
KTV ภาพจาก futurehanding.com
ภายในKTV ภาพจาก g-switch.org
ไม่อยากปีนหอในตอนก่อนตีห้า เพราะเวลาเกือบเช้า คนเรียบร้อยอย่างผมและเพื่อนๆ หน้าไม่ด้านพอเผื่อคนมาเจอครับ ดังนั้นวันไหนที่ไป KTV เราก็จะอยู่ที่นั่นจนเกือบเช้า หรือบางทีก็นอนที่นั่นเกือบตีสี่ ก่อนจะมาหาที่ต่อกัน
เพราะรุ่งเช้าตีสี่กว่าๆ ท้องเริ่มจะหิวแล้ว จะกลับหอก่อนตีห้าก็ยังไม่อยากปีนหอ จึงจำเป็นต้องมาหาของกินต่อที่ แม็คโดนัล ร้านประจำที่เราต้องมาพักก่อนเข้าหอในตอนเช้า นั่งกินไป คุยกันไปก็เพลินดี รอเวลาตีห้า เดินเข้าหอเท่ๆ เนียนๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเหมือนเมื่อคืนเรายังอยู่ในหอปกติ
2
ประสบการณ์การหนีเที่ยวที่ผมเล่ามานั้น เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรเลียนแบบนะครับ แต่ดูเหมือนว่าคงกลายเป็นประเพณีของนักศึกษาไทย ในมหาลัยนี้ในตอนนั้นครับ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไปตอนที่แล้ว คือการหาประสบการณ์ และเข้าสังคมบ้าง ทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง ก็เป็นสีสันของชีวิตดีครับ แต่ต้องไม่ลืมจุดประสงค์หลัก คือการไปเรียนนะครับ สโลแกนของกลุ่มเรา "เที่ยวได้ต้องไปเรียนได้" ใครไปเที่ยวแล้วไม่ไปเรียน มีตามถึงห้องแน่ๆ บอกเลย
โฆษณา