3 ส.ค. 2020 เวลา 13:00 • ธุรกิจ
#ทำความรู้จัก “Bolt” แอปเรียกรถน้องใหม่ล่าสุดที่พึ่งเปิดให้ใช้งานในเมืองไทย เจ้านี้เป็นใครมาจากไหน เรื่องราวมันเป็นยังไง #เดี๋ยวสรุปให้ฟัง
1) วันก่อนแอดมินเห็นข่าวแอปเรียกรถเจ้าใหม่ล่าสุด “Bolt” ที่เปิดตัว (อย่างไม่เป็นทางการ) ในประเทศไทย ไม่รู้ทำไม…แอปพลิเคชันพวกนี้ชอบใช้ “สีเขียว” กันไปหมด ทั้ง Grab, LINE MAN, Gojek (GET) ล่าสุดก็มี Bolt ใช้สีเขียวไปอีกเจ้า…
2) Bolt เป็นแอปพลิเคชันสัญชาติเอสโตเนีย (Estonia) พูดชื่อนี้คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ใช่มั้ยครับ… เอสโตเนียเป็นประเทศอยู่ในทวีปยุโรป (ตั้งอยู่ตรงข้ามกับฟินแลนด์) ถ้าพูดถึงธุรกิจที่ดังๆ ของเอสโตเนียก็น่าจะเป็น “Skype” แอปพลิเคชันสำหรับ video call ออนไลน์ที่เคยฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง (ก่อนเราจะรู้จัก Zoom กันเสียอีก)
3) Bolt เป็นแอปพลิเคชันที่ถือว่าโตไวมาก เริ่มต้นเมื่อปี 2013 (7 ปีที่แล้ว) โดยเด็กมัธยมปลายวัย 19 ปี ชื่อ มาร์คัส วิลลิก (Markus Villig) ผู้ที่พบปัญว่าการที่จะเรียกรถแท็กซี่ในเมืองที่เค้าอยู่นั้นมันช่างยากเย็นเหลือเกิน โดยเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์ที่ไม่ค่อยมีแท็กซี่ให้เรียก หรือถ้าโทรไปศูนย์แท็กซี่ (Call Center) ก็ชอบเจอปํญหาว่าเรียกแล้วไม่ค่อยจะมาตามนัด ทำให้เค้าอยากจะลุกขึ้นมาอะไรสักอย่างกับปัญหานี้…
1
4) ว่าแล้วมาร์คัสก็ไม่รอช้า… เค้าเลยลองสร้าง Survey สั้น ๆ ง่าย ๆ ผ่าน Google Form นี่แหละ โดยถามเพื่อนๆ ใน Facebook ว่าใครมีปัญหาคล้ายๆ กับเค้าบ้างเรื่องการเรียกแท็กซี่ ปรากฏว่ามีคนตอบ Survey ของเค้ามากกว่า 600 คน! นอกจากนี้มาร์คัสก็ได้ไปลงพื้นที่คุยกับเหล่าคนขับแท็กซี่จริงๆ ว่าอะไรคือปัญหาของเค้า รวมถึงชวนมาสมัครเป็นคนขับในแอป (ที่ยังไม่มีจริงในตอนนั้น) ด้วยตัวเอง…
5) ประเด็นอยู่ที่ว่า… มาร์คัสก็เป็นเด็กทั่วไปไม่ได้มีทุนอะไร เลยเริ่มต้นจากการขอเงินที่บ้าน (อย่างยากเย็น) มา 5,000 ยูโร (ประมาณ 1.8 แสนบาท) เพื่อมาทำแอปพลิเคชันตัวต้นแบบ (prototype) เพื่อทดลองใช้จริง… เริ่มต้นตอนแรกก็ไม่สวยงามเท่าไหร่ แอปมีปัญหา มี Bug เต็มไปหมด จนเค้าบังเอิญไปเจอกับนักพัฒนาซอฟท์แวร์คนนึงที่ได้ไปขายไอเดียร์เอาไว้ ปรากฏว่านักพัฒนาซอฟแวร์คนนี้ชอบไอเดียร์มาก ทำแอปให้โดยไม่ได้คิดเงินในตอนแรกแลกกับการเป็นหุ้นส่วน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตอย่างรวดเร็วของแอปพลิเคชัน “Taxify” ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนมาเป็นชื่อ “Bolt”
4
6) ปัจจุบัน Bolt เป็นแอปพลิเคชันขนส่งที่เติบโตรวดเร็วมาก ให้บริการกว่า 150 เมือง ใน 35 ประเทศ และเป็นแอปพลิเคชันอันดับต้นๆ ของยุโรปและแอฟริกา เน้นการ “ส่งคน” ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบริการ “ส่งอาหาร” และ “ให้เช่าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” พ่วงมาด้วย
7) จุดเด่นของ Bolt คือ “ราคา” และ “ความเรียบง่าย” โดยมาร์คัสได้พูดอย่างชัดเจนว่าเค้าต้องการเป็นแอปที่ทำให้พาร์ทเนอร์คนขับนั้น “มีความสุขที่สุด” เพราะเมื่อคนขับมีความสุขแล้วเค้าก็จะให้บริการได้อย่างดี ซึ่งก็จะส่งผลให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นและพอใจในการบริการและเลือกใช้ Bolt มากกว่าแอปอื่นๆ นั่นเอง
8 ) นั่นจึงทำให้ Bolt คิดค่าคอมมิชชั่นกับพาร์ทเนอร์คนขับ “ถูกกว่าเจ้าอื่น” ประมาณ “10%” โดยตัวเองยอมได้กำไรน้อยหน่อย แต่ก็เชื่อว่าถ้าคนขับมีความสุข มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้มากกว่าเจ้าอื่น ก็ย่อมทำให้มีลูกค้าตามมาใช้มากกว่า…
1
9) นอกจากนี้ Bolt ก็ยังคิดค่าโดยสารกับลูกค้าเฉลี่ยแล้ว “ถูกกว่าเจ้าอื่น” ประมาณ “20%” เช่นเดียวกัน เหตุผลที่ Bolt ลดราคาแบบนี้ได้ก็เพราะว่า Bolt ใช้วิธีการทำธุรกิจที่เรียกว่า lean สุดๆ และใช้เทคโนโลยีมาทำงานทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ใช้เงินไปกับ “การตลาด” หรือ “การจ้างคนเยอะๆ” มาทำงาน โดยเน้นเฉพาะคนที่ “เก่งจริงๆ” และพยายามจะรักษาวิธีเหล่านี้เอาไว้แม้ปัจจุบันบริษัทจะใหญ่ขึ้นมากกว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วมากก็ตาม…
10) ปัจจุบัน Bolt กลายเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านเหรียญ ขึ้นแท่นสตาร์ทอัพ “ยูนิคอร์น” เป็นที่เรียบร้อย… โดยได้รับเงินลงทุนจากแอปเรียกรถสัญชาติจีนชื่อดัง “Didi” และบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ “Daimler” ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ Mercedes-Benz ที่จะช่วยเป็นพาร์ทเนอร์ทางด้านกลยุทธ์ (Strategic Partner) ในการใช้เทคโนโลยี หรือ know-how ต่างๆ อีกด้วย
1
11) สำหรับในประเทศไทย ถึงแม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการรวมถึงการตั้งบริษัทในเมืองไทย แต่ Bolt ก็ได้ทดลองเปิดให้บริการวันแรกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (29 ก.ค. 63) โดยบอกว่ามีพาร์ทเนอร์คนขับประมาณ 2,000 คนพร้อมให้บริการ และมีรถให้เลือก 5 ประเภท
.
- Bolt : เรียกรถเร็วที่สุด เริ่ม 45฿
- Economy : ราคาถูกทีสุด เริ่ม 35฿
- Comfort : รถไซส์ใหญ่ เริ่ม 100฿
- XL : รถตู้ เริ่ม 100฿
- Taxi : รถแท็กซี่ เริ่ม 35฿
#สรุปแล้ว Bolt ถือว่าเป็นแอปน้องใหม่ที่น่าสนใจมาก แม้ตอนนี้จะยังมีให้บริการแค่การเรียกรถส่งคน แต่จากที่แอดมินลองใช้แอปแล้วก็เรียกว่าใช้งานง่ายมากๆ และราคาก็ถูกกว่าเจ้าอื่นๆ ในตลาดอยู่จริง (ณ ตอนนี้) ในอนาคตแอดมินก็เดาว่าคงน่าจะขยายให้บริการอย่างอื่นด้วย ตามรอยแอปเจ้าตลาดรุ่นพี่ แต่ก็มีข้อเสียคือรถยังมีน้อยมากๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง โซนธุรกิจซะเป็นส่วนใหญ่
#ทิ้งท้าย ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะได้รับการตอบรับดีแค่ไหน แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน สมรภูมิแอปพลิเคชันเรียกรถนี้น่ากลัวจริงๆ เจ้าที่ยังอยู่กันก็แทบจะกระอักเลือด… เจ้าใหม่นี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน หรือจะถอนตัวกลับบ้านซะก่อน ก็ต้องรอดูกันครับ…
โฆษณา