3 ส.ค. 2020 เวลา 23:32 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
"กฎแห่งแรงดึงดูด" เป็นสิ่งที่มีคนพูดถึงกันมากเหลือเกิน แต่มันกลับเป็นกฎที่มีคนเข้าใจผิดมากที่สุดในโลก เพราะเรามักจะเข้าใจว่า แค่คิดถึงสิ่งใดบ่อยๆ แล้วสิ่งนั้นจะมาหาเราเอง แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย...
เคยสงสัยไหมว่าทำไมทุกคนที่มีความ "อยาก" เหมือนๆ กัน จึง "ไม่ได้ในสิ่งที่อยาก" เหมือนๆ กัน เหตุผลก็เพราะว่า อันที่จริงแล้ว...
เราไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่เราต้องการ แต่เราดึงดูดสิ่งที่เราคู่ควร
ใครๆ ก็อยากรวย ใครๆ ก็อยากประสบความสำเร็จ และใครๆ ก็อยากมีคู่ชีวิตที่ดี แต่คนที่แค่ “อยาก” ก็ไม่ใช่คนที่จะได้สิ่งเหล่านั้นมาครอบครอง และคนที่ “อยากที่สุด” ก็ไม่ใช่คนที่จะมีโอกาสได้มันมา “มากที่สุด” เพราะตราบใดที่เรายังไม่มีชีวิตและจิตใจที่ “คู่ควร” กับสิ่งที่เรา “อยาก” ต่อให้นั่งพยายาม “ดึงดูด” มันด้วยความคิดมากแค่ไหน สิ่งนั้นก็จะไม่เข้ามาหาเรา และถึงแม้สิ่งนั้นพลัดหลงเข้ามา มันก็จะจากเราไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง สิ่งของ หรือคนรัก
คุณบอย-วิสูตร แสงอรุณเลิศ ยังได้เขียนถึงกฎสากลของรายได้ไว้ในหนังสือ งานไม่ประจำ 2: อิสระเรา ราคาเท่าไหร่ ว่า “เราจะมีเงินมากเท่าที่เราคิดว่าตัวเองคู่ควรเสมอ” ซึ่งก็หมายความว่า หากตอนนี้เรามีเงิน 7,000 บาท แต่เราคิดว่าตัวเองคู่ควรกับเงิน 10,000 บาท เราจะหาทางหาเงิน 10,000 บาทมาจนได้
ในทางกลับกัน (ซึ่งเป็นความจริงที่น่าตกใจมาก) คือหากตอนนี้เรามีเงิน 13,000 บาท แต่เราคิดว่าตัวเองคู่ควรกับเงิน 10,000 บาท เราก็จะหาทางใช้ แจก หรือ ผลาญมันด้วยวิธีการต่างๆ จนตัวเองเหลือเงิน 10,000 บาทจนได้!
ดังนั้น นอกจากจะขยายรายได้แล้ว คุณบอยบอกว่าเราต้องขยายจำนวนในใจด้วยว่า “เราคิดว่าตัวเองคู่ควรกับเงินเท่าไหร่” ซึ่งสิ่งนี้ ที. ฮาร์ฟ เอเคอร์ (T. Harv Eker) ปราชญ์ด้านการเงิน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน (Secrets of the Millionaire Mind) เรียกมันว่า “เครื่องวัดอุณหภูมิการเงิน” ในสมองของเรา
ที. ฮาร์ฟ เล่าว่า ในสมองของแต่ละคนจะมี “เครื่องวัดอุณหภูมิการเงิน” อยู่คนละเครื่อง โดยเครื่องวัดนี้จะทำหน้าที่ “รักษาระดับการเงิน” ของเราให้อยู่ในจุดที่เราคิดว่าตัวเองสบายใจ เหมาะสม และคู่ควรที่สุด
“หากเงินที่มีอยู่นั้นน้อยไป เราจะหาทางเพิ่มมันจนได้ และหากเงินที่มีอยู่นั้นมากไป เราจะหาทางกำจัดมัน!” ไม่ต่างจากเครื่องปรับอากาศในห้องของเราที่จะพยายามปรับระดับความร้อนและเย็นของบรรยากาศให้เท่ากับระดับที่เราตั้งค่าเอาไว้เสมอ ถ้าเย็นไปมันก็จะทำให้ห้องอุ่นขึ้น แต่ถ้าร้อนไปมันก็จะทำให้ห้องเย็นลง
ดังนั้นเศรษฐีจึงไม่ใช่คนที่แค่ “ตั้งเป้าว่าจะรวย” แต่เขาคือคนที่ตั้งเป้าว่าจะ “มีสมองแบบคนรวย” เนื่องจากความรวยได้มาแล้วก็อาจจะหมด แต่หากมี “สมองแบบคนรวย” แม้จะเกิดวิกฤติจนตัวเองล้มละลายก็จะสามารถหาทางกลับมารวยได้อีกครั้งเสมอ
แม้แต่ในเรื่องความรักก็ใช่ หลายคนสงสัยว่าทำไมคนบางคนจึงทนอยู่กับคนที่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเศษขยะหรือกระสอบทรายได้ ทำไมไม่เลิก ทำไมไม่หนีหรือที่หนักกว่านั้นคือ ทำไมหนีแล้วยังไปคบคนใหม่ที่ปฏิบัติต่อตัวเองแบบเดิมอีก!
สาเหตุก็เพราะจิตใต้สำนึก (Subconscious mind) หรือที่เรียกว่า “สมองส่วนใน” (limblic brain) ของคนคนนั้นเชื่อว่าตัวเองคู่ควรกับคนแบบนี้ ไม่ได้คู่ควรกับคนที่ดีไปกว่านี้ เขาจึงดึงดูดคนแบบนี้เข้ามาและพยายาม “รักษา” คนแบบนี้เอาไว้ในชีวิตเสมอ
แม้ปากอาจจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ “ต้องการ” คนแบบนี้ แต่อย่าลืมว่าจิตใจและสมองส่วนในนั้นทรงพลังยิ่งกว่าปากนับล้านเท่า ฉะนั้น ถ้าอยากจะปรับชีวิตอย่างแท้จริง จึงต้องเริ่มปรับจากภายในตัวเองก่อนเสมอ
1
ผู้ที่สมหวังในความรักและเศรษฐีทุกคนทราบความจริงข้อนี้ดี พวกเขาจึงไม่ได้เอาแต่ตะบี้ตะบันหาเงินหรือตามหาคนรักเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะเริ่มปรับจากตัวตนภายในว่าเขาคู่ควรกับเงินจำนวนเท่าไหร่ และคู่ควรกับคนแบบไหน (แบบที่คุณบัณฑิตและจิม แคร์รีย์ ทำ) จากนั้นเขาจึงสามารถดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามาในชีวิตได้ เพราะ RAS จะเริ่มทำงานและหาทางสร้าง “ตัวตนภายใน” ให้คู่ควรกับสิ่งที่เราต้องการเสมอ
ตราบใดที่เรายังไม่มี “ความคิด” ที่คู่ควรกับสิ่งที่เราต้องการ เราก็จะไม่เริ่มใช้ “ชีวิต” ให้คู่ควรกับสิ่งที่เราต้องการ และตราบใดที่เรายังไม่ใช้ชีวิตในแบบที่คู่ควรกับสิ่งที่เราต้องการ เราก็จะไม่มีวันได้สิ่งนั้นมาครอบครองอย่างยั่งยืนนาน เพราะอย่าลืมว่าเราจะดึงดูดความสำเร็จ ความสุขและความมั่งคั่งได้ ก็ต่อเมื่อจิตใต้สำนึกของเราเป็น “แม่เหล็ก” ไม่ใช่เศษเหล็ก”!
โปรดท่อง “กฎแห่งความคู่ควร” นี้ไว้ให้ขึ้นใจ เพราะมันสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรักและการเงิน ซึ่งเป็นสองด้านที่ส่งผลต่อความสุขในชีวิตของเรามากที่สุด
นอกจากนั้น อย่าลืมว่าคำว่า “ดึงดูด” แปลว่า “เกิดแรงดึงทั้งสองข้าง” ดังนั้นในจักรวาลนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดอีกสิ่งหนึ่งอยู่เพียงฝ่ายเดียว
2
ตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังดึงดูดโลก โลกก็กำลังดึงดูดดวงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน และตอนที่โลกกำลังดึงดูดดวงจันทร์ ดวงจันทร์ก็กำลังดึงดูดโลกด้วย เพียงแต่ดวงจันทร์มีแรงดึงดูดน้อยกว่าโลกมาก โลกจึงไม่ได้หมุนรอบดวงจันทร์ แต่กระนั้นโลกและสสารขนาดใหญ่บนโลก (เช่นมหาสมุทร) ก็ยังเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากการหมุนและดึงดูดของดวงจันทร์ ซึ่งหลายคนคงรู้จักกันดี...เพราะเราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “น้ำขึ้น-น้ำลง” นั่นเอง
1
ความจริงที่ว่า “สิ่งที่เราดึงดูดก็กำลังดึงดูดเราเช่นกัน” นั้นเป็นความจริงที่สำคัญมาก เพราะมันหมายความว่า เมื่อคุณกำหนดอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวเองคู่ควรกับอะไร คุณก็จะเริ่มใช้ชีวิตให้คู่ควรกับสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นหรือคนคนนั้น (เช่น คุณแมรี่ หรือผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Dumb and Dumber) ก็จะมองเห็นคุณ และค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาหาคุณ จนสุดท้ายคุณกับเขาก็จะเริ่มเข้ามาอยู่ใน “วงโคจร” เดียวกัน
2
กฎของจักรวาลและกฎของจิตใจไม่ได้ทำงานต่างกันมากนัก เนื่องจากจิตใจก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ฉะนั้น เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจกฎเหล่านี้อย่างแท้จริง ทุกสิ่งที่เราปรารถนาก็ไม่ไกลเกินจะไขว่คว้ามาครองอย่างแน่นอน
1
โฆษณา